บทที่ 110 หอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย
การต่อสู้ที่อีกฝ่ายโจมตีอยู่ลูกเดียวเช่นนี้ส่งผลให้คนตระกูลหลินพูดอะไรไม่ออก
ใบหน้าหลินซิงหรงชะงักค้าง ศิษย์ตระกูลหลินทั้งหลายเต็มไปด้วยความคับข้องในใจ ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเหตุใดสถานการณ์จึงเปลี่ยนมาเป็นเช่นนี้ได้ มีเพียงกู่ชิงลั่วที่ยกยิ้มอย่างมีความสุข
สูญเสียคางคกบูชาจันทร์ไปโดยเปล่าประโยชน์เช่นนี้ พวกเขาจะอารมณ์ดีได้อย่างไร ?
สมาชิกตระกูลหลินบางคนต้องการต่อสู้ต่อ หากแต่กู่ชิงลั่วกลับออกปากหยุดการท้าประลอง ซึ่งเหตุผลของนางก็ทั้งเที่ยงตรงและยุติธรรม
ไม่ว่าอย่างไร ซูเฉินก็เป็นแขกที่ตระกูลหลินเชิญมา ประลองกันเท่านี้นับว่ามากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องต่อสู้กันให้ครบทุกคน
ดังนั้นจึงไม่มีใครโต้แย้ง พวกเขาต่างหันไปทางหลินซิงหรงที่ใบหน้าไม่สู้ดีนัก อีกฝ่ายสะบัดแขนเสื้อ จากนั้นจากไปโดยไม่เอ่ยคำใด
เขาไปแล้ว !
ผู้นำตระกูลโบกผ้าขาวยอมแพ้เช่นนี้ ทุกคนจึงได้แต่กล้ำกลืนฝืนทน หากต่อไปถูกนำเรื่องที่ซูเฉินมาเป็นแขกตระกูลหลินและเอาชนะศิษย์ตระกูลหลินหลายคนขึ้นมาพูด พวกเขาก็คงได้แต่นิ่งเงียบ
ดังนั้นเรื่องราวจึงจบลงเพียงเท่านี้ หลังจากดื่มชากับกู่ชิงลั่ว และได้ระบายอารมณ์เกลียดชังในใจส่วนมากออกไป ซูเฉินก็กลับคฤหาสน์ตระกูลหลินไปอย่างแนบเนียน
หลังจากออกมา ซูเฉินก็มุ่งหน้าไปยังศาลาหยกพิสุทธิ์ ก่อนหน้านี้ถังเจิ้นส่งคนมาตามตัวเขา แต่เขายังไม่มีเวลาไปเนื่องจากต้องจัดการเรื่องตระกูลหลินเสียก่อน
หลังจากมาถึงศาลาหยกพิสุทธิ์ เด็กหนุ่มก็พบว่าเวลาหนึ่งร้อยกว่าวันที่ผ่านมา ถังเจิ้นได้ถอดความอักษรอาร์คานาโบราณทั้งหมดแล้ว
ในนั้นมีวิชาตรึงวิญญาณ กระสุนพลังต้นกำเนิด และวิชาที่ซูเฉินต้องการมากที่สุด วิชาเปลี่ยนเงา..
หากแต่สำหรับอูเอ่อร์หลี่มันไม่ใช่วิชาเปลี่ยนเงา ทว่าเป็น หอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย
หอคอยพิสุทธิ์คือองค์กรเผ่าอาร์คานาขนาดใหญ่เมื่อครั้งอาณาจักรอาร์คานายังรุ่งเรือง พวกเขามุ่งค้นคว้าและพัฒนาการใช้พลังต้นกำเนิด องค์กรของเหล่าผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดแห่งนี้ชอบใช้ชื่อ “หอคอยพิสุทธิ์” ขึ้นต้นทักษะต้นกำเนิดที่ตนพัฒนาขึ้น และด้วยเหตุนี้จึงมีวิชาอาร์คานาแห่งหอคอยพิสุทธิ์อยู่หลากหลายวิชาด้วยกัน
หอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายคือหนึ่งในนั้น
เดิมทีซูเฉินคิดว่า ทักษะต้นกำเนิดที่คล้ายกับวิชาเปลี่ยนเงานี้ คือทักษะต้นกำเนิดที่ใช้ภาพลวงในการเลียนแบบวิชาประเภทย่นระยะ หากแต่ไม่คิดว่าวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายจะเป็นวิชาอาร์คานาประเภทย่นระยะไปได้
วิชาอาร์คานาประเภทย่นระยะเป็นวิถีการใช้พลังต้นกำเนิดที่สูงส่งที่สุด นับเป็นทักษะต้นกำเนิดขั้นสูง มีเพียงผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่เก่งกาจและทรงพลังเท่านั้นที่จะสามารถใช้ได้
หากแต่ผู้คนกลับไม่รู้ว่าในช่วงอาณาจักรอาร์คานาอันรุ่งโรจน์ ชนเผ่าอาร์คาน่าบางคนได้พยายามลดระดับความสูงส่งของทักษะต้นกำเนิดประเภทย่นระยะนี้ลง ทำให้ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่มีขั้นพลังต่ำกว่าสามารถใช้วิชาเหล่านี้ได้เช่นเดียวกัน
หอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายถูกพัฒนาขึ้นมาภายใต้เงื่อนไขเช่นนั้น
ด้วยเหตุนี้ จุดที่สำคัญที่สุดของวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายคือการที่ข้อกำหนดในการใช้ค่อนข้างต่ำ กระทั่งผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่มีขั้นพลังระดับต่ำยังสามารถใช้งานได้ พลังงานต้นกำเนิดที่ใช้ก็ไม่สูงมากนัก
หากแต่ผลคือมันมีรูปแบบพลังต้นกำเนิดที่ลึกลับซับซ้อนยิ่ง และยังสามารถย่นระยะไปได้ไม่ไกลมากนักในการใช้แต่ละครั้ง
ระยะทางที่วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายสามารถย่นได้สัมพันธ์กับน้ำหนักของตัวผู้ใช้วิชา ยิ่งมีน้ำหนักเบายิ่งสามารถกระโดดไปได้ไกลมากขึ้น หากแต่ไม่อาจกระโดดไปไกลมากเกินกว่า 2 จั้ง หมายความว่าวิชานี้เหมาะกับการต่อสู้เท่านั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ในการหลบหนี ดังนั้นจึงไม่อาจใช้วิชานี้เพื่อหลบหนีออกจากที่ปิดตายหรือเคลื่อนผ่านวัตถุใดได้
รูปแบบพลังต้นกำเนิดของวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายเป็นรูปแบบการใช้พลังต้นกำเนิดที่ซับซ้อนที่สุดเท่าที่ซูเฉินเคยเห็นมา มีชิ้นส่วนรูปแบบพลังต้นกำเนิดมากกว่าพันส่วน ตอนนี้ซูเฉินไม่สามารถควบคุมรูปแบบพลังต้นกำเนิดหนึ่งร้อยส่วนได้ด้วยซ้ำ กล่าวได้ว่าเขามีทางเลือกสองทาง หนึ่งคือฝืนเรียนทักษะต้นกำเนิดนี้ไปเลย หรือจะรอจนสามารถเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้ และเรียนเรื่องวิธีการสร้างรูปแบบพลังต้นกำเนิดก่อนค่อยฝึกวิชานี้
ซูเฉินมีนัยน์ตาวิญญาณ ผู้พิทักษ์แห่งเม็กและทักษะลูกไฟ เขาเรียนรู้ทั้งหมดนี่ผ่านการท่องจำ แต่ด้วยเหตุนี้พื้นฐานพลังจึงไม่มีประโยชน์ในการเรียนวิชา และการที่เขาสามารถเรียนวิชาหนึ่ง มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถเรียนรู้อีกวิชาหนึ่งได้โดยง่าย แท้จริงแล้วรูปแบบของวิชานัยน์ตาวิญญาณเองก็ซับซ้อนไม่น้อย แต่มันเป็นทักษะต้นกำเนิดที่ได้รับการปรับแก้ให้ง่ายขึ้นแล้ว ทั้งยังเป็นทักษะอาร์คาน่าฉบับปรับปรุงที่จำต้องใช้การผสานของรูปแบบพลังต้นกำเนิดและยันต์พลังต้นกำเนิด สัดส่วนของรูปแบบพลังต้นกำเนิดของวิชานี้ค่อนข้างเรียบง่าย
หากแต่วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายคือวิชาโบราณอาร์คาน่า เป็นวิชาที่ไม่มียันต์พลังต้นกำเนิดกำเนิดขึ้นบนร่าง ดังนั้นจึงจำเป็นต้องใช้รูปแบบพลังต้นกำเนิดในการเปิดใช้งาน ดังนั้นจึงซับซ้อนกว่าวิชานัยน์ตาวิญญาณมากนัก
ยามที่เจอกับทักษะต้นกำเนิดอันซับซ้อนเช่นนี้ ซูเฉินก็ได้แต่ยอมแพ้โดยดี
เพราะหากเด็กหนุ่มใช้วิธีท่องจำในการฝึกฝน เวลาหนึ่งหรือสองปีอาจยังไม่พอด้วยซ้ำ
ส่วนกระสุนพลังต้นกำเนิดและวิชาตรึงวิญญาณเองก็ไม่ใช่วิชาที่เรียนรู้ได้ง่าย เป็นวิชาโบราณอาร์คาน่าที่ซับซ้อนมากเช่นกัน ไม่อาจฝืนเรียนให้ทันก่อนการประลองเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้เลย
ซูเฉินนิ่งไป เขามีทักษะต้นกำเนิดอยู่ในมือ แต่ไม่อาจเรียนรู้มันได้ เช่นนี้ยิ่งทำให้เขาต้องการเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นมากขึ้นไปอีก
มีเพียงสถาบันอันดับต้นเช่นที่นั่นที่จะสามารถทำให้เขาเข้าใจวิชาโบราณอาร์คาน่าได้อย่างถ่องแท้
เดี๋ยวก่อน !
มันจะเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ?
ซูเฉินพลันคิดเรื่องบางอย่างขึ้นได้ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อย
——————————————
ตอนที่เด็กหนุ่มเดินทางกลับมายังเรือนตน พระอาทิตย์ก็ตกดินไปเรียบร้อยแล้ว
หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จ ซูเฉินก็บอกหมิงชูให้ถอยออกไป จากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ออกมาได้แล้ว”
เยี่ยเม่ยเผยร่างออกมาจากมุมมืด
ทักษะการเร้นกายของนางสูงส่งไม่น้อย เข้า ๆ ออก ๆ ตระกูลซูมาหลายต่อหลายครั้ง หากแต่ไม่มีใครเคยจับนางได้ ที่ซูเฉินเห็นนางซ่อนอยู่ในห้องเป็นเพราะเขาแกล้งทำตาบอด แต่เขาไม่เคยเห็นว่านางเข้ามาได้อย่างไร คงได้แต่กล่าวว่านางคงเหมาะกับการทำเช่นนี้
เยี่ยเม่ย “ซูเฉิน ต้องทำอย่างไรเจ้าจึงจะยอมช่วย ? ”
“หือ ? ” ซูเฉินทำเป็นประหลาดใจ “ข้าพูดไปแล้วมิใช่หรือ ? ข้าช่วยเจ้าเรื่องนี้ไม่ได้”
เยี่ยเม่ยเอ่ยขึ้นน้ำเสียงโมโห “พอเถอะซูเฉิน หากเจ้าไม่อยากช่วยก็คงไม่บอกว่าให้ส่งข้ามาได้เท่านั้น เจ้าเตรียมการไว้ตั้งนานแล้ว”
“หือ ? เจ้าสามารถเดาความคิดคนจากคำพูดได้ด้วยหรือ ? ” ซูเฉินมีสีหน้าประหลาดใจ หากแต่พริบตาต่อมาน้ำเสียงกลับเปลี่ยนแปลงไป “ไหวพริบดีเช่นนี้ ไม่ใช่เจ้าแน่”
เยี่ยเม่ยทำท่าเหมือนถูกฟ้าผ่าลงกลางกระหม่อม นางนิ่งเงียบไปนานก่อนเอ่ยขึ้น “ซูเฉิน ทางองค์กรสัญญาว่าสมบัติภายในนั้นมีมูลค่าไม่ต่ำกว่าหินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำหนึ่งล้านก้อนแน่ หากเจ้ายอมช่วย สมบัติเหล่านั้นเป็นของเจ้า หากสมบัติภายในยังไม่พอ ทางองค์กรยินดีชดใช้ให้เจ้า”
ซูเฉินส่ายหัว “แค่นั้นยังไม่พอหรอกแม่นาง อย่าคิดว่าข้าเป็นเพียงเจ้าโง่คนหนึ่ง”
เขาชูนิ้วขึ้นสามนิ้ว “ประการแรก แม้ในเนินกลบวิญญาณจะมีสมบัติมากมาย แต่ผ่านมากว่าพันปีย่อมเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา ไม่อาจนำมาใช้ได้อีกต่อไป ประการที่สอง หากเราคาดเดาว่าด้านในมีค่ายกลพลังต้นกำเนิดที่ช่วยปกป้องไม่ให้สมบัติเหล่านั้นเสื่อมสลายไป แล้วเจ้ากล่าวว่าสมบัติในนั้นมูลกว่าพอกับหินพลังต้นกำเนิดหนึ่งล้านก้อน เช่นนั้นหมายความว่าสมบัติย่อมต้องมีมูลค่าสูงกว่านั้นมากเป็นแน่ ขุมสมบัติล้ำค่าขนาดนี้ย่อมไม่ได้มาโดยง่าย ประการสุดท้าย สำคัญที่สุดคือหากข้าตาย ความลับของพวกเจ้าก็จะถูกเผยแพร่ออกมา หากแต่เนินกลบวิญญาณจวนจะเปิดอยู่อีกไม่เท่าไหร่เช่นนี้ ไม่สำคัญที่ต่อไปว่าความลับจะถูกเปิดเผยหรือไม่ หากลองคำนวณดู ข้าช่วยเจ้านำสมบัติออกมา เจ้าคิดว่างานจบแล้วจะเกิดอะไรขึ้น ? ข้าจะได้หินพลังต้นกำเนิดหนึ่งล้านก้อนหรือข้าจะถูกสังหารแล้วเรื่องทุกอย่างจบ เป็นข้อใดกัน ? ”
เยี่ยเม่ยได้ยินแล้วก็ตกตะลึงไป
สิ่งที่ซูเฉินกล่าวนั้นคิดได้ละเอียดรอบคอบ ตรงกับสิ่งที่ทางองค์กรคาดคิดไว้
หากแต่ไม่มีใครคิดว่าซูเฉินจะมีความคิดซับซ้อนจนสามารถคิดคำนวณเรื่องทุกอย่างไว้ล่วงหน้าแล้ว
เยี่ยเม่ยเผยท่าที ในที่สุดเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าต้องทำเช่นไร ? ”
ซูเฉินได้ยินแล้วก็คลี่ยิ้ม
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าต้องทำเช่นไร” เป็นคำที่มีแต่นักเจรจาฝีมือใช้ไม่ได้เท่านั้นที่จะเอ่ยออกมา ด้วยคำประโยคนี้ มันก็ถือได้ว่าเป็นการเปลี่ยนถ่ายให้อำนาจตกอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย
อารามนิรันดร์ไม่อาจหาแผนการดี ๆ ได้ หรือถึงจะมีแผนการ แต่ก็ไม่อยากบอก
เช่นเดียวกับตอนกองกำลังหุบเขาเงา พวกเขาทำเพียงเพิ่มความน่าดึงดูดใจของข้อเสนอให้มากขึ้นเท่านั้น
หินพลังต้นกำเนิดหนึ่งล้านก้อนหรือ ? บัดซบสิ้นดี
คำสัญญาใดที่ไม่ได้ยื่นหมูยื่นแมวย่อมเป็นคำลวงทั้งสิ้น !
แม้ซูเฉินจะเป็นเพียงเด็กหนุ่ม แต่ก็เห็นโลกมามาก เห็นกลลวงต่าง ๆ ในระหว่างที่ตนตาบอดมานับครั้งไม่ถ้วน
สมัยที่เขายังมองสิ่งใดไม่เห็น เขาเรียนรู้ว่าตนจำต้องใช้สมองและเล่ห์กล
ยามเผชิญหน้ากับคำถามเช่นนี้ของเยี่ยเม่ย ซูเฉินเพียงกล่าว “หากเราต้องการร่วมมือกัน อย่างแรกคือต้องมีความไว้วางใจซึ่งกันและกัน ในอดีตข้ากับทางองค์กรร่วมมือกันไม่บังคับก็เพราะความจำเป็น แต่หลังจากเนินกลบวิญญาณเปิดออก ข้อบังคับทั้งหลายจะหายไป หากต้องการร่วมมือกัน เราต้องสร้างรากฐานใหม่ขึ้นมาก่อน”
“ยามที่ที่มีความไว้วางใจซึ่งกันและกันเช่นนี้ เราจึงจะสามารถร่วมมือกันเป็นอย่างดีได้ ! ”
“ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าจะแสดงความจริงใจของเจ้าออกมาอย่างไร ? ”