องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 483 กำแพงมีหู
หนานกงเย่หันหลังออกไปนอกวัง ส่วนหวังฮวายอันนั้นอยู่ด้านนอกนั้นจริงๆ หนานกงเย่คิดที่จะบอกกล่าวให้หวังฮวายอันไปจัดการ แต่ทันทีที่เขาออกไปขันทีน้อยก็ขยิบตาเป็นการส่งสัญญาณให้ปิดประตูอย่างรวดเร็ว

ฉีเฟยอวิ๋นรีบเดินไป เช่นไรทั้งสองคนก็ยังห่างกันในช่วงระยะหนึ่ง ไม่คาดคิดว่าไม่รอให้ฉีเฟยอวิ๋นออกไปประตูวังก็ได้ปิดลงเรียบร้อยแล้ว หนานกงเย่หันกลับมาเห็นฉีเฟยอวิ๋นเรียกเขาโดยที่อีกไม่กี่ก้าวก็ถึงหน้าประตูวังโดยที่ทั้งสองคนถูกกั้นด้วยประตู ฉีเฟยอวิ๋นตบประตู: “ท่านอ๋อง!”

หนานกงเย่โมโหจึงยกมือและกำลังจะตบประตู หวังฮวายอันลงมาจากรถม้าแล้วกล่าวว่า: “ต่อให้เจ้าเข้าไปได้แล้วเช่นไรเล่าตามข้าไปยังจะดีซะกว่า พบตำแหน่งของหนานกงเซวียนเหอแล้ว หากว่าเจ้าไม่ไปก็จะหนีไปอีก เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่มีความสามารถดังเช่นเจ้า”

หนานกงเย่กำหมัดเอาไว้แล้วหันกลับมาจ้องเขม็งด้วยความโกรธไปยังหวังฮวายอัน” ท่านกล้าคิดการณ์เอาไว้กับข้าหรือ?”

“มิใช่ข้าคิดการณ์กับเจ้าแต่มีคนคิดการณ์กับเจ้า หลายวันก่อนเจ้าเข้าวังไปโวยวายรอบหนึ่ง เจ้าคลุ้มคลั่งแล้วผ่านพ้นไป ตอนนี้ถูกคนแยกออกจากกันก็เป็นผลที่เจ้าต้องรับเอาไว้ นอกจากนี้เจ้ามีเรื่องอยู่กับตัวอยู่ในวังใช่ว่าจะไม่ปลอดภัย”

“สงบกับหัวเจ้าสื” หนานกงเย่ด่าจบแล้วจึงหันกลับไปมองยังในประตูวัง จากนั้นก็เคาะประตู

“อวิ๋นอวิ๋น ฟังอยู่หรือไม่?” เสียงของหนานกงเย่ในเวลานี้อ่อนลงยิ่งนักราวกับเกรงว่าจะทำให้ผู้ใดตกใจกลัว

ฉีเฟยอวิ๋นั้นฟังเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วตอบกลับว่า: “ฟังอยู่ ท่านอ๋องท่านไปเถอะ ข้าก็จะไปน้อมทักทายเสด็จแม่ เห็นแก่ท่านอ๋องที่หยิ่งผยองเช่นนี้นั้นก็ไม่กระทำสิ่งใดได้หรอก”

ที่จริงนั้นฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจแจ่มแจ้งว่าผู้คนเหล่านี้ในวังล้วนคาดเดาไม่ได้ นางไม่สามารถจัดการกับผู้ใดได้เลย

หนานกงเย่หมองหม่นอยู่ครู่หนึ่ง: “ไปที่มู่เหมียนโน่น”

ฉีเฟยอวิ๋นพยักหน้ากล่าวอืมเสียงหนึ่ง:“รู้แล้ว”

หนานกงเย่จึงได้จากไปโดยวางใจ

ฉีเฟยอวิ๋นได้ยินว่าหนานกงเย่ขึ้นรถม้าไปแล้วจึงได้หันไปมองขันทีน้อย แววตาอันเยือกเย็นของนางจดจ้องไปยังตัวขันทีน้อยจนขันทีน้อยเนื้อตัวสั่นเทาแล้วรีบคุกเข่าลงบนพื้นขอความเมตตา

“พระชายาเย่ไว้ชีวิตด้วย บ่าวก็ได้รับคำสั่งให้กระทำการ”

ฉีเฟยอวิ๋นมองขันทีน้อยซึ่งกำลังร้องห่มร้องไห้ และไม่ได้ทำให้เขาลำบากใจโดยกล่าวกับเขาว่า: “ลุกขึ้นเถอะ อย่าได้คุกเข่าแล้วพื้นมันเย็น!”

ขันทีน้อยตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งและค่อยๆเงยศีรษะขึ้นมองดูฉีเฟยอวิ๋นด้วยความระมัดระวัง

หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งขันทีน้อยก็ลุกยืนขึ้นและรีบยื่นมือให้กับฉีเฟยอวิ๋น: “บ่าวจะนำทางให้พระชายาเย่”

ฉีเฟยอวิ๋นจัดเสื้อผ้าในกาย: “ไม่ต้องแล้ว นำทางตรงหน้า”

ขันทีน้อยเดินไปด้านหน้า ฉีเฟยอวิ๋นเดินตามอยู่ด้านหลัง

เดินมาตลอดทางฉีเฟยอวิ๋นจึงถามว่า: “ไม่รู้ว่าฝ่าบาททรงกำชับเช่นไร?”

ขันทีน้อยเพิ่งมารับใช้ที่พระตำหนักบำรุงฤทัย ขันทีน้อยผู้เดิมนั้นเนื่องจากหวาดกลัวพอมาถึงแล้วตกใจกลัวจนเสียชีวิตไปแล้ว เป็นเรื่องในสองวันนี้เอง เขาเป็นผู้มาใหม่แต่เขาก็หวาดกลัวเช่นกัน!

เมื่อได้ยินฉีเฟยอวิ๋นกล่าวก็รีบเดินไปยังตรงหน้าฉีเฟยอวิ๋นทำท่าต้องการคุกเข่าลงตอบกลับคำพูดของฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นเรียกคนมาในทันที: “ลุกขึ้นพูดไม่จำเป็นต้องคุกเข่า หัวเข่าของเจ้าไม่เจ็บหรือ?”

ขันทีน้อยเกือบร้องไห้เมื่อได้ยิน เขาเข้าวังมารับใช้ตั้งแต่ยังเด็ก แต่ไม่มีนายท่านผู้ใดสนใจความเป็นความตายของพวกเขา

ขันทีจำนวนนับไม่ถ้วนที่เสียชีวิตในวังแห่งนี้ ชีวิตของพวกเขานั้นไม่เทียบเท่าแม้แต่มดสักตัว

ในวันนี้เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของฉีเฟยอวิ๋นก็ปลื้มใจจนคัดจมูกเลย

“ขอบพระทัยพระชายาเย่!”

ขันทีน้อยกล่าวแล้วก็เช็ดน้ำตา ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้ว่าชีวิตในวังนั้นทุกข์เข็ญยิ่งนัก

“เจ้าอย่าได้ร้องไห้เลย ติดตามอยู่ข้างพระวรกายของฝ่าบาทให้ดีแล้วจะดีขึ้นเอง” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวคำพูดจากมโนธรรม หากว่าสวีกงกงไม่กลับมาแล้ว เช่นนั้นก็ต้องมีคนเคียงข้างพระวรกายของฝ่าบาท สามารถอยู่ข้างพระวรกายและอยู่รับใช้ให้ดี ก็จะอยู่ดีกินดีอยู่ในวังได้อย่างแน่นอน

“บ่าวเกรงว่าจะไม่มีบุญนี้” ขันทีน้อยอดร้องไห้เอาไว้ไม่ได้ ฉีเฟยอวิ๋นนั้นถอนหายใจราวกับว่าได้เห็นอาอวี่ ช่างไม่ได้เรื่องจริงๆ

ฉีเฟยอวิ๋นเห็นว่าทั้งสองข้างไร้ซึ่งคนจึงถามว่า: “ก่อนหน้านี้เจ้าติดตามผู้ใด?”

“สวีกงกง” ขันทีน้อยรีบตอบกลับ

“เจ้าติดตามสวีกงกงหรือ?”

“พะย่ะค่ะ เดิมทีผู้ติดตามสวีกงกงมีอยู่สี่คน พวกเราสี่คนเข้าวังมาเกือบจะพร้อมกัน ขณะที่สวีกงกงไปคัดเลือกนั้นบอกว่าพวกเราเชื่อฟังและมีเหตุผล หน้าตาก็นับว่าใช้ได้จึงได้นำมาไว้ข้างกายอบรมสั่งสอน บอกว่าในภายภาคหน้าสามารถนำมารับใช้ฝ่าบาทได้พร้อมบอกว่าเขาแก่ชราแล้วไม่รู้ว่าวันใดจะจากไป

หลายวันนี้สวีกงกงออกนอกวัง พวกเราทั้งสี่คนถูกแบ่งให้ไปยังตำหนักเฟิ่งอี๋ผู้หนึ่ง ตำหนักหรงเต๋อผู้หนึ่ง ที่เหลือคือข้าน้อยและอีกผู้หนึ่งถูกส่งมารับใช้ข้างพระวรกายของฝ่าบาท

ผู้ที่เดิมวางแผนให้มานั้นเจ็บป่วย จากนั้นกลับไปได้ไม่นานก็เสียชีวิตแล้ว”

ขันทีน้อยกล่าวอยู่ก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ขึ้นมา ฉีเฟยอวิ๋นก็รู้สึกเช่นเดียวกัน อยู่เคียงพระวรกายฝ่าบาทนั้นอันตรายจริงๆ

“เจ้าก็อย่าร้องไห้อีกเลย บางทีผู้ที่มาพร้อมด้วยกับเจ้าผู้นั้นโชคไม่ดี เป็นหรือตายมีชะตาลิขิตจากฟากฟ้า ในเมื่อมาแล้วก็ต้องสงบ เพียงแค่เจ้าครุ่นคิดเพื่อฝ่าบาท วันดีๆนั้นเช่นไรก็ต้องมีอยู่เสมอ”

ขันทีน้อยรีบปาดน้ำตา: “บ่าวเป็นผู้ที่ซุ่มซ่ามจึงเกรงว่าจะทำให้ฝ่าบาททรงกริ้ว”

“ไม่หรอก ฝ่าบาททรงมีพระเมตตาและเอาใจใส่ต่อราษฎร เวลาใดก็ตามพระองค์ก็จะไม่ถูกขันทีน้อยผู้หนึ่งเช่นเจ้าทำให้ทรงกริ้ว ในสายตาของพระองค์เจ้าไม่ได้คู่ควรที่จะทรงกริ้ว ส่วนเจ้านั้น……เจ้าเพียงแค่ต้องปรนนิบัติรับใช้ฝ่าบาทอย่างสุดความสามารถซึ่งในที่สุดก็จะทำให้ฝ่าบาททรงชอบพระทัยได้

กระทำการใดๆก็อย่าได้ตื่นตระหนก เจ้าอยู่กับสวีกงกงแล้วทำเช่นใดก็ปฏิบัติต่อฝ่าบาทเสมือนความกตัญญูจากสวีกงกงก็พอแล้ว “ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวจากก้นบึ้งของหัวใจ ไม่คาดคิดว่ากำแพงนั้นมีหูมีผู้ฟังอยู่ตลอดเวลา

ขันทีน้อยก็มิได้สังเกตเช่นกันจึงกล่าวอีกว่า: “จริงตามนั้น ปกติสวีกงกงก็ดีต่อพวกเรา”

“ฝ่าบาทนั้นเช่นไรก็ต้องเกลี้ยกล่อม พระองค์ทรงพอพระทัยแล้วก็จะทรงปูนบำเหน็จเป็นธรรมดา เจ้าก็อย่าได้กลัว ในวังนั้นมีแต่คนทั้งนั้นมิได้มีเสือที่กินเนื้อผู้คน เจ้าจะค่อยๆรู้เอง

ที่จริงแล้วในบรรดาสี่คนนั้นเจ้าโชคดีที่สุด เพื่อนทั้งสามคนนั้นของเจ้าคนหนึ่งขลาดเขลาหวาดกลัวจนตาย คนหนึ่งไปยังตำหนักหรงเต๋อ ตำหนักหรงเต๋อของพระสนมเต๋อนั้นฝ่าบาททรงเสด็จไปไม่บ่อย แม้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างสบายเช่นไรก็ต้องขึ้นอยู่กับฝ่าบาท ในวังหลวงแห่งนี้สิ่งนั้นมิใช่ว่าจะขึ้นอยู่กับฝ่าบาท

เจ้าอยู่ต่อหน้าพวกเขาเช่นไรก็เหนือกว่าผู้อื่น

นอกจากนี้ทางฝั่งฮองเฮานั้นหรือว่าฮองเฮาจะไม่ทรงฟังฝ่าบาทหรอกหรือ? ฝ่าบาทไปยังตำหนักเฟิ่งอี๋ก็ไม่ใช่เจ้าเป็นผู้ถ่ายทอดรับสั่งหรือ?

หากว่ามีเรื่องดีเจ้าไป ฮองเฮาทรงพอพระทัยก็จะทรงให้รางวัลไม่เว้นของเจ้า

เจ้าเข้าวังทำสิ่งนี้ก็เนื่องจากครอบครัวยากจน พ่อแม่ต้องการให้เจ้านำเงินกลับไปใช้เลี้ยงดูในเรือน เจ้าได้บำเหน็จรางวัลมากหน่อยนำกลับไปพ่อแม่ของเจ้าก็สุขใจกับเจ้า ไม่ถึงขั้นต้องคิดถึงเจ้า”

ขันทีน้อยรู้สึกมีเหตุผลจึงรีบพยักหน้า

ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “จำไว้ ผู้คนในวัง ผู้คนนอกวัง ไม่ว่าผู้ใดจะให้รางวัลแก่เจ้าก็ยิ้มอย่างมีความสุขให้มากๆ ไม่ให้ก็อย่าได้โลภ ไม่ให้ก็ไม่ให้
แต่ไม่ว่าผู้ใดจะให้เงินแก่เจ้า ใจของเจ้าก็อยู่ข้างฝ่าบาท มีเรื่องใดก็ต้องทูลต่อฝ่าบาท

เจ้าเป็นคนข้างพระวรกายของฝ่าบาทต้องเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือฝ่าบาท คุ้มครองฝ่าบาท แม้ว่าในตอนนี้ฝ่าบาทจะไม่รู้ ในภายภาคหน้าท้ายที่สุดแล้วก็จะรู้ถึงความจงรักภักดีของเจ้า

เป็นบ่าวรับใช้ข้างพระวรกายของฝ่าบาทก็ต้องจงรักภักดีต่อฝ่าบาท

บ่าวผู้หนึ่งไม่รับใช้นายสองคนถึงจะเป็นหนทางแห่งการเป็นบ่าวรับใช้!

เจ้ายังเยาว์วัยและสวีกงกงอาจจะไม่เคยสั่งสอนพวกเจ้า ต่อไปพวกเจ้ามีนายแล้ว ทั้งชีวิตติดตามนายท่านผู้นี้ได้ถึงจะดี

ไม่ว่าในภายภาคหน้านายท่านผู้นี้จะเป็นเช่นไร วันนี้เจ้าติดตามพระองค์ วันข้างหน้าก็ต้องเห็นพระองค์สำคัญ

แน่นอนว่าในวังมีกฎเกณฑ์มากมายและนายท่านก็มีมากโข ไม่แน่ว่าจะพบนายที่ดี แต่ว่าเจ้านั้นโชคดีที่ได้พบกับนายที่ดี

เจ้าดูสวีกงกงก็รู้แล้ว ฝ่าบาททรงปฏิบัติต่อเขาเช่นไร? ”

ขันทีน้อยเต็มไปด้วยความยินดี: “ฝ่าบาททรงดีต่อสวีกงกงนัก!”

“เช่นนั้นก็ถูกแล้ว แล้วเจ้ายังจะทุกข์เรื่องใดอีก? กลัวสิ่งใด? ยิ่งเจ้าเป็นเช่นนี้ยิ่งมีโอกาสผิดพลาด ถึงเวลานั้นผู้ที่ทนทุกข์ทรมานก็เป็นตัวเอง ทำให้ดีท้ายที่สุดแล้วก็ต้องมีวันดีๆอันสดใส”

“บ่าวทราบแล้ว ขอบพระทัยพระชายาเย่ที่ชี้แนะ!” ขันทีน้อยสุขใจทั่วทั้งใบหน้า แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นและเห็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังฉีเฟยอวิ๋นก็ตกใจจนตัวสั่น คุกเข่าลงดังพรึ่บโดยที่กางเกงนั้นเปียกโชกซะแล้ว!