ราชันเร้นลับ 442 : ภารกิจสำรวจ โดย Ink Stone_Fantasy
อัลเจอร์มองไปทางฟอร์สพร้อมกับตั้งคำถาม
“คุณถูกสถานการณ์บังคับให้ต้องดื่มโอสถผู้ฝึกหัดอีกรอบใช่ไหม?”
ทำไมถึงเดาแม่นขนาดนี้… ยังกับอยู่ในเหตุการณ์ด้วยกัน…
ฟอร์สกระแอมและอธิบาย
“จะคิดว่าเป็นแบบนั้นก็ได้… แล้วดิฉันควรแก้ปัญหาอย่างไร? คุณต้องการสิ่งใดแลกเปลี่ยน?”
อัลเจอร์ชำเลืองเดอะฟูล เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีคำแนะนำ จึงหันกลับมาตอบมิสเมจิกเชียนด้วยน้ำเสียงสุขุม
“คุณไม่ต้องจ่าย เพราะคำแนะนำของผมอาจไม่เป็นประโยชน์ต่อคุณมากนัก”
โดยไม่เปิดโอกาสให้ฟอร์สซักถาม อัลเจอร์อธิบายเข้าประเด็นทันที
“ในกรณีของผู้วิเศษลำดับสูง พวกเขามีสิทธิ์เลือกว่าจะแบ่งตะกอนพลังบางส่วนของตนให้ทายาทหรือไม่ และในปริมาณเท่าไร ในกรณีของลำดับ 6 และ 5 ตะกอนพลังบางส่วนจะถูกแบ่งไปยังทายาทโดยอัตโนมัติ เป็นปรากฏการณ์นอกเหนือความควบคุม แม้จะไม่ใช่ปริมาณมาก แต่ถ้ามีทายาทหลายคนก็อาจทำให้ลำดับผู้วิเศษลดลง”
“หมายความว่า ทายาทของพวกเขาจะเกิดมามีสัมผัสวิญญาณเฉียบแหลมและครอบครองพลังพิเศษแบบไม่สมบูรณ์ใช่ไหมคะ?”
ออเดรย์พลันกระจ่างในบางสิ่ง เธอเริ่มเข้าใจว่าทำไมเด็กบางคนถึงได้เกิดมาพิเศษกว่าคนอื่น
แฮงแมนพยักหน้า
“ถูกต้อง พวกเขาจะเกิดมาพร้อมกับสถานภาพผู้วิเศษลำดับ 9 ครึ่ง สามารถใช้พลังพิเศษได้บางส่วน แต่จะไม่สามารถเลือกเส้นทางได้หากต้องกลายเป็นผู้วิเศษเต็มตัว อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเด็กพิเศษจะเกิดจากเหตุการณ์ข้างต้นเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีการอวยพรจากเทพ และการถูกกัดกร่อนจากวิญญาณมาร ในกรณีของผู้วิเศษลำดับสูง ทายาทของพวกเขาจะออกมาเป็นผู้วิเศษลำดับ 5 ทันที บางรายสามารถเลื่อนลำดับต่อได้โดยไม่เกิดอาการคลุ้มคลั่ง แต่ก็พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก”
“อย่างนี้นี่เอง…” ออเดรย์ถอนหายใจเสียงแผ่ว แต่สีหน้าบ่งบอกชัดเจนว่าพึงพอใจกับข้อมูลของแฮงแมนมาก
สำหรับเด็กสาว การได้เข้าถึงความเร้นลับของโลกใบนี้มีค่ายิ่งกว่าการได้รับอัญมณีหรือเสื้อผ้าราคาแพงหลายเท่า
ด้านฟอร์สเองก็เริ่มกระจ่าง เธอรีบซักถามข้อสงสัยในส่วนอื่น
“แล้วในกรณีของลำดับ 7 8 และ 9?”
“ในทางทฤษฎี ตะกอนพลังของผู้วิเศษลำดับต่ำจะไม่ถูกส่งต่อมายังทายาท แต่ก็ไม่เสมอไปเสียทีเดียว เศษตะกอนพลังมีโอกาสส่งต่อมายังลูกหลานได้ในกรณีพ่อแม่มีความเข้มข้นของตะกอนพลังสูงเกินไป สรุปโดยสั้น ในกรณีของคุณ การตั้งครรภ์จะช่วยลดความเข้มข้นของตะกอนพลังลงได้ แต่ไม่รับประกันว่าจะสำเร็จตั้งแต่หนแรก อาจต้องตั้งครรภ์ราวสามถึงสี่หนจึงจะเห็นผล”
สามถึงสี่…? ฟอร์สพลันอ้าปากค้าง
ไคลน์ ผู้ได้ทราบเทคนิคดังกล่าวจากไดอารีจักรพรรดิโรซายล์ ผุดตลกฝืนขึ้นในหัว
มิสเมจิกเชียน ในอนาคต คุณสามารถตะคอกใส่ลูกได้ว่า ‘แกน่ะเกิดมาจากส่วนเกินโอสถ!’ …
จริงอยู่ ทฤษฎีของมิสเตอร์แฮงแมนอาจไม่ผิดพลาด แต่กว่าตะกอนพลังจะถูกแบ่งออกไปก็ต้องรอให้ทารกในครรภ์คลอดเสียก่อน การตั้งครรภ์ทั่วไปต้องใช้เวลาอย่างน้อยสี่สิบสัปดาห์ ไม่สิ อาจนานกว่านั้น คนเป็นแม่คงไม่สามารถอยู่ห่างจากทารกไปได้สักพัก… แต่ในทางกลับกัน เทคนิคสวมบทบาทและการสร้างกฎจะทำให้เราย่อยโอสถได้สมบูรณ์ภายในระยะเวลาสองเดือนหรือน้อยกว่า เพราะลำดับ 9 คือระดับต่ำสุดของผู้วิเศษ…
ฟอร์สเริ่มยิ้มแห้ง
“เข้าใจแล้วค่ะ แต่ดิฉันชอบวิธีย่อยตามปรกติด้วยเทคนิคสวมบทบาทมากกว่า”
อัลเจอร์ยิ้มรับ
“ถ้ามีลำดับสูงกว่า 7 คุณต้องเปลี่ยนความคิดแน่”
เพราะหากลำดับสูงกว่า 7 ขึ้นไป การย่อยโอสถส่วนเกินอาจต้องใช้เวลานานถึงหนึ่งหรือสองปี ลำดับถัดไปยิ่งนานสามปีห้าปี และเมื่อเป็นเช่นนี้ การมีลูกจึงเป็นทางเลือกฉลาดและประหยัดเวลากว่ามาก… แฮงแมนเสริม
หลังจากได้รับความรู้ใหม่ สตรีทั้งสองก้มหน้าเงียบงันอยู่พักใหญ่
พวกเธอไม่เคยทราบมาก่อนว่าการตั้งครรภ์สามารถนำมาใช้ประโยชน์แบบนี้ได้ด้วย!
แต่สำหรับเดอร์ริค บทเรียนดังกล่าวมีสอนมาตั้งแต่ชั้นประถม เด็กหนุ่มจึงไม่แสดงสีหน้าประหลาดใจนัก เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปยังประเด็นใหม่
“ผมถูกบรรจุชื่อลงในหน่วยสำรวจ”
“เป้าหมายการสำรวจ?” อัลเจอร์เอียงคอ
“ยังคงเป็นซากปรักหักพังวิหารของพระผู้สร้างเสื่อมทรามแห่งเดิม” เดอร์ริคมอบคำตอบด้วยน้ำเสียงค่อนข้างสดใส
หือ… คงมีสัญญาณบางอย่างบ่งชี้ว่าการสำรวจคราวนี้ไม่อันตราย… ออเดรย์อ่านใจ
แฮงแมนก้มหน้าครุ่นคิดราวสองวินาที
“อาวุโสโลเฟียร์ยังอยู่ในคุกใช่ไหม”
“ใช่ครับ การสำรวจคราวนี้นำทีมโดยท่านผู้นำสูงสุดด้วยตัวเอง” เดอะซันไม่ปิดบัง
“หมายความว่าระดับของอันตรายจะลดลงอย่างมาก และคุณควรเข้าร่วม” อัลเจอร์แอบชำเลืองไปทางเดอะฟูลอีกครั้ง
เมื่อไม่สามารถอ่านอารมณ์หรือความคิดของอีกฝ่ายได้เพราะถูกม่านหมอกหนาทึบบดบัง แฮงแมนหันกลับมาอธิบายเดอะซัน
“นี่คงเป็นการทดสอบสุดท้าย หากคุณผ่านไปได้อย่างราบรื่น ความหวาดระแวงจากสภาอาวุโสก็คงจะยุติลง จากเหตุการณ์ในคราวก่อน พวกเขาได้ทราบว่าอามุนด์เป็นอริกับพระผู้สร้างเสื่อมทรามอย่างรุนแรง จนถึงขั้นยอมสละร่างแยกอันมีค่าเพื่อทำลายแผนการของอีกฝ่ายโดยไม่นึกเสียดาย ฉะนั้น การพาคุณไปสำรวจซากวิหารพระผู้สร้างเสื่อมทราม มีจุดประสงค์เพื่อจับตามองพฤติกรรมของคุณอย่างใกล้ชิด หากคุณไม่แสดงอาการผิดปรกติใดออกมา แปลว่าคุณหลุดพ้นจากอิทธิพลของอามุนด์โดยสมบูรณ์”
มิสเตอร์แฮงแมนอ่านขาดอะไรเช่นนี้ ราวกับเขาเป็นผู้วางแผนทั้งหมดตั้งแต่ต้นด้วยตัวเอง… เดอร์ริคคิดในใจสักพักและถามต่อ “แล้วผมต้องระวังในเรื่องใดเป็นพิเศษ”
ทันใดนั้น เดอะฟูลบนเก้าอี้ประธาน ผู้เฝ้ามองการชุมนุมอย่างเงียบงันมาตลอด ตัดสินใจเปล่งถ้อยคำกระชับ
“เลือดเนื้อและเสียงเพรียก”
ไคลน์เอ่ยเพียงสองสิ่ง ปล่อยให้สมาชิกชุมนุมทาโรต์หาคำตอบกันเอาเอง
นี่คือพฤติกรรมทั่วไปของตัวตนระดับสูง
จากคำใบ้ของเดอะฟูล แฮงแมนก้มหน้าครุ่นคิดสักพักจึงค่อยมอบคำแนะนำกับเด็กหนุ่มเดอะซัน
“ห้ามมองส่งเดช ห้ามฟังส่งเดช ห้ามกินส่งเดช และห้ามจับส่งเดช”
“หมายถึงการมองและฟังสิ่งใด?” เดอร์ริคซักถามอย่างสับสน
แฮงแมนตอบเสียงทุ้ม
“ทุกสิ่งหลังจากเข้าไปในวิหาร”
“แล้วผมจะสำรวจวิหารอย่างไร?”
เดอร์ริคขมวดคิ้วงุนงง
แฮงแมนยิ้ม
“ก็มีคนอื่นร่วมทีมไปด้วยไม่ใช่หรือ และเหนือสิ่งอื่นใด คุณยังมีท่านผู้นำสูงสุด”
คำตอบสมกับเป็นมิสเตอร์แฮงแมน…
ออเดรย์เกิดความรู้สึกอยากเลื่อนมือขึ้นมาปิดหน้า แต่การศึกษาและประสบการณ์ได้สอนว่า พฤติกรรมดังกล่าวไม่เป็นสิ่งสง่างาม จึงทำเพียงเปลี่ยนท่านั่งและใช้มือสางปอยผมมาทัดหลังใบหู
“…” เดอะซันแสดงออกชัดเจนว่ารับไม่ได้กับคำแนะนำ
เมื่อเห็นท่าทีตอบสนอง อัลเจอร์สบถในใจเล็กน้อยก่อนจะรีบอธิบายเพิ่มเติม
“ความหมายของผมคือ ทำตามคำสั่งของท่านผู้นำอย่างเคร่งครัดเพียงอย่างเดียว ห้ามทำนอกเหนือจากคำสั่งโดยเด็ดขาด”
“อา… ขอบคุณมาก มิสเตอร์แฮงแมน” เดอะซันเริ่มผ่อนคลาย
ฟู่ว! อัลเจอร์พ่นลมหายใจและหันกลับมามองเด็กสาวฝั่งตรงข้าม
“มิสจัสติส ผมต้องการทราบสถานการณ์ทางการเมืองหลังจากดยุคนีแกนถูกสังหาร”
ออเดรย์ทำหน้าทบทวนความทรงจำ เธอพยายามเค้นข้อมูลเกี่ยวกับการเมืองซึ่งได้ยินมากับตัวหรือได้ฟังทางอ้อมในระยะหลัง
“การตายของดยุคนีแกนทำให้สภาขุนนางแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ถึงแม้บุตรชายคนโตของท่านจะขึ้นมาดำรงตำแหน่งดยุคแทน แต่ก็ยังขาดบารมีในการห้ามศึก สมาชิกสภาขุนนางเกือบสิบรายได้เสนอให้เพิ่มเก้าอี้สภาขุนนาง และนำเหล่าขุนนางพระราชทานหน้าใหม่เข้ามาร่วมสภา จะได้มีลักษณะเหมือนกับสภาสามัญ สรุปก็คือ ขุนนางพระราชทานหน้าใหม่ซึ่งได้รับแต่งตั้งบรรดาศักดิ์จากการกว้านซื้อดินแดนและการบริจาคเงิน อาจมีสิทธิ์กลายเป็นสมาชิกสภาขุนนางในอนาคต”
ฟังมาถึงตรงนี้ แฮงแมนพลันหัวเราะ
“หือ… ไม่ใช่ว่าพวกขุนนางเก่ามักรังเกียจกลุ่มขุนนางพระราชทานเข้าไส้หรอกหรือ? พวกมันมองว่าการได้บรรดาศักดิ์ด้วยวิธีกว้านซื้อดินแดนและบริจาคการกุศลล้วนเป็นพวกไร้เกียรติ พวกมันมองว่าสภาขุนนางต้องมีเพียงตระกูลนักรบเก่าแก่เท่านั้น และมองว่าสภาขุนนางคือเครื่องหมายของชนชั้นสูงลำดับบนสุดอย่างแท้จริง แล้วทำไมจู่ๆ ถึงต้องการให้สภาขุนนางอ้าแขนรับกลุ่มขุนนางพระราชทานเข้ามา?”
โดยไม่แยแสถ้อยคำเหน็บแนม ออเดรย์อธิบายอย่างสุขุม
“หากคุณกำลังเป็นหนี้นับหมื่นนับแสนปอนด์ ก็คงไม่มีทางเลือกในชีวิตมากนัก”
จริงอยู่ การเป็นหนี้อาจฟังดูไม่ใช่เรื่องร้ายแรงของขุนนาง แต่จะเกิดปัญหาใหญ่แน่ถ้าเจ้าหนี้ฟ้องร้องต่อศาลให้ลูกหนี้ชดใช้ด้วยการขายดินแดน เพราะถ้าขุนนางคนใดมีดินแดนไม่ครบตามกำหนดขั้นต่ำของอาณาจักร บรรดาศักดิ์ขุนนางก็จะถูกถอดถอนทันที
“เชิญเล่าต่อ” อัลเจอร์ไม่แยแสประเด็นเล็กน้อยและน่าเบื่อ
ออเดรย์เริ่มอธิบายอย่างคร่าว
“การโต้เถียงของกลุ่มสภาขุนนางทำให้ร่างกฎหมายหลายข้อต้องชะงัก เช่นร่างกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำ ร่างกฎหมายชั่วโมงทำงานของคนงาน รวมถึงร่างกฎหมายแก้ไขคุณภาพชีวิตคนจน แต่โชคยังดี ร่างกฎหมายสำคัญยังคงดำเนินต่อไปได้ เช่น ร่างกฎหมายการสอบบรรจุข้าราชการ ร่างกฎหมายมลพิษทางอากาศในกรุงเบ็คลันด์”
“คงไม่มีสงครามไปอีกพักใหญ่…” อัลเจอร์พึมพำพลางหันไปพูดคุยกับสมาชิกคนอื่น
เมื่อไคลน์เริ่มกังวลว่าการเข้าห้องน้ำของตนอาจใช้เวลานานเกินไปจนน่าสงสัย มันตัดสินใจประกาศยุติชุมนุมทาโรต์ลง
…
เมื่อกลับถึงห้องนอน ออเดรย์ไม่รีบร้อนลุกขึ้นยืน ปล่อยให้สมองวางแผนและจัดระเบียบการกระทำในอนาคตของตัวเอง
ดวงตาเด็กสาวจ้องมองเข้าไปในกระจกเงาตรงหน้า มือข้างหนึ่งลูบคลำอัญมณีตรงติ่งหู พลางอมยิ้มกับตัวเองและพึมพำ
พรุ่งนี้ตอนบ่ายจะมีคาบเรียนจิตวิทยา เราต้องบอกกับมาดามเอสลันด์ว่า ใครบางคนในชุมนุมลับของเราประสงค์จะซื้อตะกอนพลังของเงามืดหนังมนุษย์ในราคาสูง แล้วมาดูกันว่าสมาคมแปรจิตจะมีท่าทีเช่นไร…
ต้องไม่ลืมไดอารีจักรพรรดิโรซายล์กับสูตรโอสถผู้รับใช้วายุด้วย…
ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งตามหาวัตถุดิบหลักของโอสถนักจิตบำบัดโดยเร็ว… ออเดรย์ เธอห้ามขี้เกียจ! ตอนนี้ซูซีอยู่ลำดับ 8 จะปล่อยให้ซูซีตามทันไม่ได้เด็ดขาด!
…
หลังจากเดินวนเวียนในห้องสักพัก ฟอร์สตัดสินใจดึงเก้าอี้ออกและนั่งลง
หญิงสาวหยิบกระดาษและปากกาขึ้นมาถือพร้อมกับก้มหน้า สมองไตร่ตรองเรื่องราวนานหลายนาทีจนกระทั่งเริ่มเขียนจดหมายถึงโดเรียน·เกรย์
ฟอร์สแต่งเรื่องขึ้นมาใหม่ แสร้งทำเป็นทราบโดยบังเอิญว่า เพื่อนบางคนของเธอกำลังต้องการตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์และสูตรโอสถผู้รับใช้วายุ ปิดท้ายด้วยการพรรณนาความสนใจในสมุดบันทึกจักรพรรดิโรซายล์ของตัวเธอเอง
…
เมืองหลวงแห่งหมู่เกาะรอสต์ เมืองแห่งการให้
อัลเจอร์·วิลสันเดินออกจากโรงแรมและมุ่งหน้าไปยังตลาดมืดใต้ดินโดยไม่รีรอ
เป้าหมายหลักของมันคือเส้นผมของนากาทะเลลึก แต่ก็ไม่เกี่ยงหากมีใครเสนอขายตะกอนพลังของเงามืดหนังมนุษย์
…
ทำไมเราถึงจนแบบนี้.. ไคลน์นั่งในห้องรับแขกพลางถอนหายใจอย่างห่อเหี่ยว
มันต้องการเงินอีกจำนวนหนึ่ง จึงจะมั่นใจได้ว่าตนสามารถซื้อตะกอนพลังเงามืดหนังมนุษย์ได้ทุกราคาเมื่อบังเอิญได้พบเบาะแส
ไคลน์กำลังครุ่นคิดเป็นจริงเป็นจัง มันควรนำตะกอนพลัง ‘นักสอบสวน’ ไปขายในช่องทางอื่นโดยไม่รอมิสซิลดีไหม?
เวลาเลือนผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ จนกระทั่งเสียงกริ่งบ้านดังขึ้นทำลายความเงียบงันยามเย็น
……………………