ตอนที่ 727 ไปเรียกจางย่วนพั่นมา / ตอนที่ 728 ไต่สวน

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 727 ไปเรียกจางย่วนพั่นมา

 

 

สายตาของฉินเย่หานนั้นทำให้ผู้ที่ถูกมองนั้นรู้สึกกลัวโดยแท้ ซูหลีถูกเขามองเช่นนี้จนอ้ำอึ้งไป

 

 

“ซูหลี?” ทางด้านฉินม่อโจวมองนางด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวล

 

 

“ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร! ขอบพระทัยท่านอ๋องมากพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อซูหลีหวนสติกลับคืนมา ก็รีบเอ่ยตอบเขาเป็นอันดับแรก

 

 

ฉินม่อโจวได้ยินนางเอ่ยปากพูดเช่นนี้ เขาถึงเบาใจลง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “พวกเราขึ้นไปก่อนเถอะ”

 

 

ท่อนแขนที่แข็งแกร่งดุจเหล็กกล้าของเขาโอบร่างของซูหลีไว้อย่างแน่นหนา

 

 

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสายตาที่ฉินเย่หานจับจ้องพวกเขาอยู่นั้นจะรุนแรงเกินไป หรือเป็นเพราะอย่างอื่น ซูหลีรู้สึกไม่สบายใจเท่าไรนัก นางชะงักไปเล็กน้อยแล้วรีบเอ่ยว่า

 

 

“ท่านอ๋อง ท่านรีบปล่อยข้าเถิด ข้าว่ายน้ำเป็น!”

 

 

เอวเล็กที่อยู่ในฝ่ามือของเขานุ่มนิ่มเกินไปบ้าง ฉินม่อโจวที่กำลังสติล่องลอย เมื่อได้ยินคำพูดของซูหลีแล้ว เขาพลันหยุดชะงักไปวูบหนึ่ง ในเวลานี้เขาพึ่งจะนึกได้ว่า ซูหลีว่ายน้ำเป็นจริงๆ

 

 

หากนางว่ายน้ำไม่เป็น ในคราก่อนที่จวนของเขา นางคงไม่กระโดดลงไปช่วยองค์หญิงจินเย่ว์มิได้

 

 

เมื่อฉินม่อโจวคิดได้ดังนั้น อารมณ์บนใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป นี่เป็นสิ่งที่ประหลาดนัก เรื่องนี้เขาก็ทราบแล้วเช่นกัน ทว่าเมื่อเห็นซูหลีตกลงไปในน้ำ เขากลับไม่คำนึงถึงสิ่งใดทั้งสิ้น

 

 

หลังจากดึงสติกลับมา เขาก็กระโดดลงไปช่วยซูหลีเสียแล้ว

 

 

นี่มัน…

 

 

“ท่านอ๋อง?” ซูหลีเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของฉินม่อโจว ไม่รู้ว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรอยู่ ทว่าแรงโอบรัดเอวของนางจากมือใหญ่คู่นั้นกลับมีจำนวนไม่น้อย ทำให้นางอดไม่ได้ที่จะใช้มือผลักออกอย่างรุนแรง

 

 

นางดิ้นรนออกจากอ้อมแขนของฉินม่อโจว

 

 

“อ้อ! ไม่เป็นอะไร ถ้าเช่นนั้นก็รีบขึ้นไปเถอะ!” ฉินม่อโจวดึงสติกลับคืนมา เขาเห็นแววตาที่ฉายแววประหลาดเป็นอย่างมากของซูหลี

 

 

เขาไม่รู้ว่าตนเองเป็นอะไรไปแล้ว ทว่าความเป็นห่วงที่มีต่อคนตรงหน้านี้ล้วนไม่ใช่เรื่องเท็จ

 

 

ทางด้านซูหลีเมื่อเห็นว่าในที่สุดเขาก็ดึงสติกลับมาแล้ว ก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง จากนั้นจึงว่ายน้ำขึ้นฝั่ง

 

 

เพียงแต่ทันทีที่ขึ้นฝั่ง สีหน้าของซูหลีก็ย่ำแย่เป็นอย่างมาก

 

 

เสื้อผ้าของนางเปียกชื้นหมดแล้ว เสื้อผ้าที่เปียกน้ำแนบไปกับร่างกาย จึงทำให้เห็นเส้นเค้าเว้าของรูปร่างสตรีที่อ่อนช้อยออกมา

 

 

แม้นางจะใช้ผ้าพันหน้าอกแล้ว ทว่าไม่ได้รับการปกปิดจากชุดอาภรณ์ที่สวมใส่อยู่ ทำให้เห็นรูปร่างอย่างชัดเจนมาก

 

 

“ใต้เท้าซูรีบสวมอาภรณ์ตัวนี้เถิด เดี๋ยวจะไม่สบายเอาขอรับ!” คิดไม่ถึงว่าทันทีที่นางขึ้นฝ่ั่ง จะมีคนทางนั้นเสื้อคลุมตัวใหญ่มาให้

 

 

ซูหลีอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นแหงนศีรษะเงยหน้ามองหวงเผยซานที่อยู่ตรงหน้าเขา

 

 

หวงเผยซานยิ้มให้นางครู่หนึ่ง เขาไม่เอ่ยอะไรมาก จากนั้นจึงมัดเสื้อตัวนั้นเอาไว้บนร่างของซูหลี

 

 

การกระทำของเขานั้นว่องไวเป็นอย่างมาก ในขณะที่หวงเผนซานกระทำเรื่องนี้ เขากลับไม่สัมผัสโดนตัวซูหลีเลยแม้แต่น้อย

 

 

หลังจากที่สวมเสื้อคลุมตัวนั้น ซูหลีถึงหวนสติคืนมาและทันทีที่ก้มศีรษะลง ก็พบว่าเสื้อคลุมตัวนี้เป็นเหลืองเรืองรอง บนเสื้อคลุมยังปักด้วยลวดลายมังกรทองที่กำลังแยกเขี้ยวยิงฟัน

 

 

เสื้อสีเหลืองเรืองรองและปักลวดลายมังกรทองนั้น…

 

 

นี่เป็นเสื้อคลุมของฉินเย่หาน!

 

 

สีหน้าของซูหลีเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ปริปากเอ่ยอะไรออกมา หลังจากก้มศีรษะเอ่ยขอบคุณหวงเผยซานด้วยเสียงต่ำแล้ว ก็สวยเสื้อคลุมสีหน้าที่ไม่เข้ากับรูปร่างของนางเอาไว้ และเดินกลับไปที่ศาลา

 

 

“ถวายบังคมพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท”

 

 

บรรยากาศภายในศาลาแห่งนี้มีกดดันอยู่บ้าง แม้แต่องค์หญิงจินเย่ว์ที่เป็นคนยโสโอหังมาโดยตลอด ในชั่วขณะนี้นางก็ไม่กล้าปริปากพูด เพียงยืนก้มศีรษะอยู่ด้านข้าง ไม่เอ่ยอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย

 

 

“นำตัวพวกเขามา!” สายตาที่เย็นดุจน้ำแข็งมองพินิจที่ร่างของซูหลีอย่างถี่ถ้วน จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยียบ

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“…ไปตามจางย่วนพั่นมา” หลังจากฉินเย่หานถ่ายทอดคำสั่ง ก็ก้าวเท้าเตรียมจะออกไป ทว่าเมื่อก้าวออกไปเพียงหนึ่งก้าว ก็หันศีรษะกลับมาพูดเสริมอีกประโยค

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 728 ไต่สวน

 

 

“…พ่ะย่ะค่ะ!” หวงเผยซานขานรับ สายตาของเขาปรายมองที่ร่างของซูหลีโดยไม่รู้ตัว

 

 

หากคนฉลาดก็จะมาออกว่า ฉินเย่หานอดกลั้นอารมณ์เอาไว้ไม่ได้ แน่นอนว่าต้องอดกลั้นไม่ไหวอยู่แล้ว ในเมื่อประสบกับเรื่องเช่นนี้ อีกทั้งยังเห็นซูหลีถูกผู้อื่นช่วยเหลือเอาไว้อีก

 

 

ไม่มีใครที่จะอารมณ์ดีหรือ

 

 

ทว่า!

 

 

หวงเผยซานอดที่จะมองซูหลีหลายต่อหลายครามิได้ เป็นเพราะช่วงต้นวสันตฤดูค่อนข้างหนาว แม้ในเวลาจะไม่หนาวเย็นแล้ว ทว่านำในบ่อก็ยังเย็นยะเยือกถึงกระดูกอยู่ ซูหลีตกลงไปในน้ำเช่นนี้ ใบหน้าก็เริ่มซีดขาวแล้ว

 

 

หากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าจะไม่สบายได้!

 

 

เขาพอจะสังเกตได้ ฮ่องเต้ก็ทรงสังเกตเห็นเช่นกัน

 

 

ในเวลานี้ยังรับสั่งให้เข้าไปตามหมอหลวง จางย่วนพั่นมาที่นี่ เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าเป็นเพราะเหตุใด!

 

 

หากทำให้ซูหลีป่วยไม่สบายขึ้นมา ฮ่องเต้คงจะเจ็บปวดพระทัยมิน้อย!

 

 

หวงเผยซานเข้าใจทุกอย่างอย่างชัดเจน เขาปฏิบัติต่อซูหลีอย่างนอบน้อม เขาโค้งตัวลงแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าซู โปรดตามข้ามาเถิดขอรับ”

 

 

ซูหลีผงกศีรษะเบาๆ นางลุกขึ้นยืน ทันใดนั้นกลับรู้สึกคันๆที่จะจมูก…

 

 

“ฮัดเช้ย!” นางจามออกมาอย่างอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว

 

 

ทางด้านฉินเย่หานที่รุดหน้าเดินไปก่อนแล้ว เมื่อได้ยินเสียงจามของซูหลี ก็หยุดชะงักครู่หนึ่ง จากนั้นจึงรีบเร่งฝีเท้าของตนเดินไปทางห้องทรงอักษรเร็วขึ้น

 

 

 

 

ภายในห้องทรงอักษร

 

 

“หึ” หวงเผยซานเดินเพียงไม่กี่ก้าวก็หยุดอยู่ห้องรับรองด้านนอกของห้องทรงอักษร ชั่วขณะนี้เขาจึงเห็นองค์หญิงจินเย่ว์ที่ในยามปกติมีท่าทียโสโอหังเป็นอย่างมากกำลังเม้มปากคุกเข่าอยู่ด้านหน้าของโต๊ะมังกร

 

 

เมื่อครู่ทันทีเสด็จเข้ามา ฝ่าบาทก็ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงเยียบเย็นให้จินเย่ว์คุกเข่าลง

 

 

เดิมทีเมื่อครู่นั้นจินเย่ว์ยังไม่ยินยอมที่จะคุกเข่าลงนัก ทว่าเมื่อถูกสายพระเนตรที่เย็นยะเยียบของฮ่องเต้ตวัดมองปราดหนึ่ง จินเย่ว์ก็ปิดปากเงียบทันใด จากนั้นคุกเข่า

 

 

องค์หญิงท่านนี้ถูกตามใจจนเหลิงแล้ว จึงไม่ค่อยได้ประสบกับช่วงเวลาเช่นนี้

 

 

“หวงเผยซาน” องค์หญิงจินเย่ว์ได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้าขึ้นและมองที่หวงเผยซาน

 

 

ดวงตาของนางเป็นประกาย จากนั้นจึงส่งเสียงเรียกหวงเผยซานแล้วเอ่ยว่า “ใต้เท้าซูเป็นอย่างไรบ้าง ได้รับบาดเจ็บหรือไม่”

 

 

ส่วนหลังของห้องทรงอักษรนั้นมีตำหนักข้างที่ขนาบอยู่ 2 ข้าง หลังจากซูหลีกับฉินม่อโจวมาถึงก็ถูกนำไปที่ตำหนักข้าง เพื่อผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า และให้จางย่วนพั่นตรวจอาการของพวกเขาว่าไม่สบายหรือไม่

 

 

“เจ้ายังมีหน้าถามอีกรึ” หวงเผยซานยังทันได้ตอบคำถามของนาง พลันมีเสียงเยียบเย็นดังขึ้น

 

 

หวงเผยซานถึงกับเงียบไป จากนั้นถอยไปหยุดอยู่ที่ด้านข้าง

 

 

จินเย่ว์หันศีรษะมาทันที เมื่อเห็นเสด็จพี่ของตนนั่งอยู่หลังโต๊ะมังกร สีพระพักตร์ของเขาเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม

 

 

ในใจของนางเกิดความหวาดกลัวเป็นอย่างมาก

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงตอนที่เสด็จพ่อยังมีชีวิตอยู่ นางมิเคยกลัวเสด็จพ่อเช่นนี้มานี้

 

 

ทว่ายามอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ของเสด็จพี่ ยามที่นางพูดอะไรออกมาก็ต้องไตร่ตรองให้ดี

 

 

“เสด็จพี่ น้องมิได้ตั้งใจเสียหน่อย…” จินเย่ว์ผงะไปเล็กน้อย นางเม้มริมฝีปาก อยากที่จะลุกขึ้นมาออดอ้อนฉินเย่หาน

 

 

“คุกเข่าให้ดี!” ใครจะรู้ว่าฉินเย่หานจะวางมาดนิ่งเฉย ไม่หลงเหลือความเมตตาให้นางสักนิด

 

 

จินเย่ว์ได้ยินดังนั้น ทั้งร่างจึงสั่นเทิ้ม นางกัดฟันและคุกเข่าลงไปเช่นเดิม

 

 

“เราขอถามเจ้า เจ้าเป็นสตรี เจ้าเรียกขุนนางเข้ามาในวังหลวง เจ้าต้องการกระทำอะไรสิ่งใด” ใบหน้าของฉินเย่หานไร้ซึ่งอารมณ์ เขาไต่สวนจินเย่ว์เสมือนนางเป็นนักโทษ

 

 

จินเย่ว์ได้ยินดังนั้นจึงอึ้งไป ใบหน้าเต็มไปด้วยความลำบากใจ ทว่าก็ยังต้องตอบคำถามของฉินเย่หาน

 

 

“น้อง น้องก็แค่เคยได้ยินใต้เท้าซูดีดพิณได้ไม่เลว จึงอยากให้ต้องการให้ใต้เท้าซูสอนดีดพิณก็เท่านั้น!” จินเย่ว์ใช้คำพูดที่หลิงเอ๋อร์ที่พูดมาเมื่อครู่เป็นข้ออ้าง

 

 

ยามนางอยู่ต่อหน้าพระพักตร์ไทเฮา นางยังกล้าพูดความในใจที่มีต่อซูหลี ทว่ายามที่อยู่ต่อหน้าพระพักตร์เสด็จพี่ นางกลับไม่กล้า…

 

 

ฉินเย่หานมองนางด้วยสายตาเยียบเย็น ใบหน้าที่หล่อเหล่านั้นไร้ซึ่งอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น