ภาคที่ 5 ตอนที่ 5 ความรู้สึกประหลาด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

แม้คุณหนูจวินอยากควบเร็วรี่เช่นนี้ไปตลอด แต่ต่อให้นางไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ม้าก็ทนไม่ไหว

 

 

พลบค่ำนางรั้งม้าหยุด

 

 

“จิ่วหลิง”

 

 

เสียงของจูจั้นดังขึ้นด้านหลัง

 

 

คุณหนูจวินคล้ายตกใจสะดุ้งโหยง

 

 

“อย่าเรียกคนกะทันหันสิ” นางเอ่ย นั่งตัวตรงบนม้าศีรษะก็ไม่หันกลับเอ่ยเสียงนิ่ง

 

 

“นี่เรียกกะทันหันอย่างไร” จูจั้นเอ่ยอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าอยู่ดีๆ ก็หยุด ข้า…”

 

 

“ท่านทำไมคำพูดมากปานนั้น?” คุณหนูจวินหันหน้ามองเขาทีหนึ่ง เอ่ยขึ้นอย่างโมโหอยู่บ้าง

 

 

จูจั้นยิ่งไม่เข้าใจ

 

 

ในใจคิดว่าข้าเพิ่งเอ่ยประโยคเดียวเท่านั้นนะ

 

 

ทำไมโมโหแล้วเล่า?

 

 

นางไม่ใช่คนบันดาลโทสะตามใจเช่นนั้น ตลอดมาเยือกเย็นสำรวมทั้งยังไม่พาลโกรธ

 

 

เขาเพ่งสายตาสำรวจคุณหนูจวินเล็กน้อยคิดอยากมองให้ออกว่านางคิดอะไรอยู่

 

 

คุณหนูจวินหันกลับมาแล้ว

 

 

“คืนนี้จะเดินทางกลางคืนหรือพักล่ะ?” นางเอ่ยขึ้น เสียงนิ่งสงบคล้ายโทสะก่อนหน้านี้เป็นจูจั้นเข้าใจผิดไปเอง

 

 

“เร่งเดินทางตอนกลางคืนต่อกันมาหลายวันแล้ว วันนี้พักผ่อนคืนหนึ่งเถอะ” จูจั้นเอ่ยพลางมองไปข้างหน้า

 

 

ด้านหน้าเมืองแห่งหนึ่งเลือนรางอยู่

 

 

“ตัดผ่านหมู่บ้านแห่งนี้พักแรมนอกเมือง หรือตอนนี้จะเข้าเมืองพักผ่อน?” เขาเอ่ยถาม

 

 

“พักแรมนอกเมืองเถอะ” คุณหนูจวินเอ่ย มองสีท้องฟ้า “เวลายังเช้าอยู่”

 

 

จูจั้นพยักหน้ากระตุ้นม้า

 

 

“ไปเถอะ” เขาเอ่ย “ไม่ต้องเข้าเมืองอ้อมไปก็ได้”

 

 

เพิ่งกระตุ้นม้า คุณหนูจวินกลับร้องเฮ้ทีหนึ่งอีก

 

 

“เข้าเมืองพักผ่อนดีกว่านะ” นางเอ่ย

 

 

นางตัดสินใจเด็ดขาดมาเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างการเดินทาง ยามเอ่ยออกมา ในใจย่อมขบคิดทุกสิ่งฃเสร็จสรรพเรียบร้อย เลือกสิ่งที่ดีที่สุดออกมาแล้ว

 

 

กลับคำไปมาเช่นนี้เพิ่งเป็นครั้งแรก

 

 

เหมือนก่อนหน้านี้ที่ตอบว่าไม่เข้าเมืองเป็นเพียงคำพูดหลุดปากที่ไม่ทันคิดให้ละเอียด

 

 

นางไม่ใช่คนเช่นนี้ น่าจะมีเรื่องอันใดต้องการเข้าเมืองหรือไม่สะดวกพักแรมนอกเมือง

 

 

“ทำไมหรือ?” จูจั้นเพ่งสมาธิจดจ่อ เอ่ยถามพลางมองรอบด้านอีกหน “มีเรื่องอะไร?”

 

 

ตลอดทางนี่สงบสุขนักจนทำให้คนรู้สึกไม่อยากเชื่อ ไม่มีการสอดแนมอย่างใด แม้คุณหนูจวินวิเคราะห์ว่าโอกาสซ่อนเงินตระกูลฟาง ฮ่องเต้อย่อมต้องป้องกันผู้ใดก็ตามสอดแนมที่นี่อย่างเคร่งขรัด ดังนั้นถึงไม่สนใจไยดีพวกเขาด้วย แต่จูจั้นไม่เชื่อหรอกว่าลู่อวิ๋นฉีจะว่าง่ายเชื่อฟังเช่นนั้น

 

 

ถ้าเช่นนั้นตอนนี้คือรู้สึกว่ามีสิ่งใดไม่ชอบมาพากลหรือ?

 

 

“มีทำไมที่ไหน” คุณหนูจวินเอ่ย แล้วท่าทางโมโหอีกหน “ก็แค่อยากเข้าเมือง”

 

 

ทำไมโมโหอีกแล้วเล่า?

 

 

จูจั้นมองนางอย่างไม่เข้าใจ

 

 

คุณหนูจวินก็มองเขา เหมือนเช่นก่อนหน้านี้ หยิ่งทะนงและนิ่งสงบ แต่สีแดงแต้มหนึ่งบนปลายใบหูหนีไม่พ้นดวงตาของจูจั้น

 

 

นี่โมโหหรืออาย? เพราะตนเองจี้ถามสาเหตุที่เข้าเมืองรึ? สาเหตุใดทำให้สตรียามถูกถามไม่สะดวกตอบแล้วอับอายโกรธเคือง?

 

 

ความคิดของจูจั้นชั่วความคิดก็กระจ่าง มองคุณหนูจวินแล้วยิ้ม

 

 

“ได้ ถ้าเช่นนั้นก็เข้าเมือง” เขาหุบรอยยิ้มอีกหน พยักหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าก็อยากเข้าเมืองเหมือนกัน”

 

 

เอ่ยจบก็กระตุ้นม้าเดินไปข้างหน้าก่อนหนึ่งก้าว

 

 

ไม่รู้ในใจคิดไร้สาระอะไรอีก คุณหนูจวินมองท่าทางของเขาพลางพึมพำในใจคำหนึ่ง แต่เขาไม่จี้ถามอีกก็ทำให้นางโล่งออก นางมองบุรุษที่เดินทางอยู่ข้างหน้าคนนั้น ยื่นมือลูบใบหูอย่างระวัง ตื่นเต้นอยู่บ้างเล็กน้อยพยายามถูให้ความร้อนสลายไป

 

 

เมืองยามพลบค่ำยังคงครึกครื้นยิ่งนัก ท้องถนนในฤดูใบไม้ร่วงผลหมกรากไม้ธัญญาหารที่เพิ่งเก็บเกี่ยวมาใหม่ๆ นานาชนิดวางแผงขายเบียดเสียดครึกครื้น ทั้งสองคนไม่อาจไม่จูงม้าตัดผ่านในนั้น

 

 

“เจ้าตามมาล่ะ” จูจั้นหันกลับมาเป็นระยะ มองสตรีที่ตามอยู่ด้านหลัง

 

 

นางเดินช้ายิ่งแล้วยังสนใจตลาดร้านค้าแผงลอยด้านข้างยิ่งนัก มักจะหยุดเสมอ ไม่ระวังปุบหันกลับมาก็ไม่เห็นคนแล้ว

 

 

พริบตานี้ที่ห่างออกจากกันไม่กี่ก้าวนี่เองพลันมีสตรีอุ้มเด็กน้อยและชายชราแบกตะกร้าผ่านมา แยกพวกเขาออกจากกัน

 

 

จูจั้นไม่อาจไม่ยื่นร่างไปซ้ายขวา เดินผ่านคนเหล่านี้ถึงมองเห็นคุณหนูจวินได้

 

 

บนหน้าคุณหนูจวินประดับรอยยิ้ม เชือกบังเหียนถูกนางไพล่อยู่หลังร่างแกว่งไกวเบาๆ เดินทอดน่องคล้ายไม่ได้ยินถ้อยคำเร่งของจูจั้น

 

 

เข้าเมืองถูกแล้วจริงๆ นางมองดูผู้คนที่เบียดเต็มข้างกาย รู้สึกว่าหัวใจในที่สุดก็สงบลงแล้ว

 

 

“เฮ้” จูจั้นเบียดมาจากด้านหน้าคล้ายจนปัญญาอยู่บ้าง “เจ้าจะซื้อของหรือ?”

 

 

“ไม่ซื้อหรอก” คุณหนูจวินเอ่ย

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าดูอะไร?” จูจั้นเอ่ยถาม

 

 

“ข้าอยากดู” คุณหนูจวินเลิกคิ้วเอ่ย

 

 

จริงๆ เลย ไม่จริงจังอีกแล้ว แต่ก็ไม่เหมือนความไม่จริงจังก่อนหน้านี้อยู่บ้างอีก ความไม่จริงจังก่อนหน้านี้เผยออกมาอย่างเป็นธรรมชาติเป็นโดยกำเนิด ส่วนตอนนี้จงใจขึ้นมาหลายส่วน

 

 

จูจั้นขมวดคิ้วมองนาง แต่เหมือนได้ยินมาว่านี่ก็ปกติ เขาท่าทางเข้าใจอยู่บ้างอีก

 

 

“พวกเราจะพักที่ไหน?” เขาเอ่ยถาม ไม่ยุ่งกับคำถามน่ากลัวเรื่องซื้อกับดูอันนี้อีก มองไปด้านหน้า “ด้านหน้ามีโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่ง ดูแล้วคนมากนัก เอะอะ แต่หน้าประตูเมืองด้านนั้นต้องมีเหมือนกันแน่ ที่นั่นน่าจะสงบเงียบ…”

 

 

คำพูดของเขายังเอ่ยไม่ทันจบ คุณหนูจวินก็ยื่นมือชี้

 

 

“พักที่นี่” นางเอ่ยเด็ดขาดฉับไว พูดจบแล้วก็เห็นจูจั้นมองตนเอง นางเบิกตาจนกลม “ท่านมองข้าทำอะไร?”

 

 

“จะเปลี่ยนอีกไหม?” จูจั้นลังเลนิดหนึ่งถามขึ้นมา

 

 

คำพูดเอ่ยออกจากปากปุบก็เสียใจแล้ว นี่ไม่ใช่กำลังตำหนินางที่ก่อนหน้านี้ที่นางตามใจตัวไม่เข้าเมืองแล้วก็จะเข้าเมืองชัดๆ หรือ เป็นอย่างที่คิดสตรีตรงหน้าหน้าบึ้งตึง ไม่พูดสักคำก็เดินผ่านเขาจากไปแล้ว

 

 

ถ้อยคำบางอย่างในใจคิดก็เอ่ยออกมาไม่ได้นะ แน่นอนนอกจากจงใจ หรือพูดได้ว่าหากเป็นก่อนหน้านี้เขาคงระริกระรี้เอ่ยออกมา แต่ที่สำคัญคือตอนนี้ไม่ใช่ก่อนหน้านี้แล้ว

 

 

ในใจจูจั้นอารมณ์เสียไม่เลิก จูงม้าสองตัวคิ้วลู่ก้มหน้าติดตามไป พลางอธิบายหลายประโยค

 

 

“ตอนนี้ไม่ใช่ก่อนหน้านี้อย่างไร?” คุณหนูจวินเอ่ยถาม “ข้ามีสิ่งใดไม่เหมือนกัน?”

 

 

แม้เสียงของนางนิ่งสงบอย่างก่อนหน้านี้ แต่จูจั้นย่อมไม่คิดว่านางเหมือก่อนหน้านี้จริงๆ

 

 

คำอธิบายนี่ยังไม่สู้ไม่อธิบาย แล้วก็พูดถึงตอนนั้นอีกแล้ว

 

 

ตอนนั้นกระทำเรื่องโง่เง่ามากมายใส่นาง จูจั้นสักนิดก็ไม่อยากนึกขึ้นมาเหมือนกัน ยิ่งไม่อยากให้นางนึกขึ้นมาด้วย

 

 

“เปล่า ข้าไม่ได้ว่าเจ้านะ” เขาจริงจังแล้วก็เคร่งขรึม ไม่มีหยอกล้อสักนิด “ข้าว่าตัวเอง เป็นข้าไม่เหมือน”

 

 

“ท่านอย่างไร…” คุณหนูจวินเอ่ย “…กินข้าวเถอะ”

 

 

จูจั้นกำลังตั้งหูฟังอยู่แน่ะ รู้สึกว่าประโยคนี้คล้ายไม่ใช่ความหมายนี้

 

 

“อะไร?” เขาเอ่ยถาม “กินข้าวเถอะอะไร?”

 

 

เวลานี้พวกเขาเข้ามาในโรงเตี๊ยมแล้ว โรงเตี๊ยมในเมืองเล็กๆ เรียบง่าย ทั้งยังตั้งอยู่ในตลาดคึกคัก เห็นเพียงโถงด้านหน้าเรือนด้านหลังคนมาคนไปพ่อค้าหาบเร่เดินกันฉวัดเฉวียน ครึกครื้นเหมือนบนท้องถนน

 

 

พนักงานโรงเตี๊ยมที่เข้ามารับก็หูไวได้ยินแล้ว

 

 

“ท่านลูกค้าต้องการรับประทานอาหารหรือขอรับ?” เขาเอ่ยอย่างกระตือรือร้น พาดผ้าขนหนูในมือไปไว้บนหัวไหล่ ชี้ไปด้านข้าง “โรงเตี๊ยมของพวกเราก็มี”

 

 

คล้ายร้านพักเท้า ในโรงเตี๊ยมยังมีบริการอาหารเครื่องดื่มด้วย เวลานี้ในโถงด้านหน้าคนนั่งอยู่ไม่น้อย สุรากับเนื้อชามโตกินกันคึกคัก มองแวบเดียวก็ไม่มีที่เหลือ

 

 

“ไม่สู้ไปกินในห้อง” จูจั้นเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินกลับส่ายศีรษะ

 

 

“ที่นี่เแหละ ข้างในยังมีที่หนึ่ง” นางเอ่ย

 

 

พนักงานขานรับดังกังวาน พลางเอ่ยทักลูกค้าด้านในโถงใหญ่ที่ยื่นขาเท้ายาวออกมาให้หลีกทางหน่อย พลางเชิญพวกเขาเดินไปด้านใน

 

 

จูจั้นไม่ได้ก้าวเท้าแต่มองคุณหนูจวิน

 

 

“ข้าเข้าใจแล้ว” เขาพลันเอ่ยขึ้น

 

 

คุณหนูจวินมองเขานิ่งๆ สีหน้ายิ่งสงบ แต่มือที่ทิ้งอยู่ข้างตัวกำนิดๆ โดยไม่ทันรู้ตัว เล็บกดลงกลางฝ่ามือ

 

 

“อะไร?” นางเอ่ยขึ้น

 

 

“วันนี้เจ้าจะตั้งตัวเป็นอริขัดข้า” จูจั้นเอ่ย

 

 

มือที่กำอยู่ของคุณหนูจวินคลายออก เม้มปากยิ้ม

 

 

“ทำไมไม่ใช่ท่านจะต้องขัดที่ข้าคิดให้ได้เล่า?” นางเลิกคิ้วเอ่ยขึ้น

 

 

จูจั้นมองนาง

 

 

“เจ้าพูดมีเหตุผลยิ่ง” เขาพยักหน้าเอ่ยอย่างจริงจัง

 

 

…………………………