บทที่ 2 บทที่ 2 ตอนที่ 101

สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด

สืบทอดเชื้อสาย

 

ถ้าให้พูดตามหลักแล้วลั่วชิวไม่ถือว่าเป็นเด็กกำพร้า เพราะเขามีญาติมิตรและผู้ปกครองตามกฎหมาย ใช่แล้ว

 

นั่นคือภรรยาคนใหม่ของพ่อเขา หรือถ้าพูดกันง่ายๆ ก็คือ แม่เลี้ยง

 

ใช่ แม่เลี้ยงนั่นแหละ…

 

แต่ถึงอย่างนั้น คำพวกนั้นก็ไม่เคยที่จะออกจากปากหรืออยู่ในชีวิตของลั่วชิวเลย

 

แต่ผู้หญิงคนนั้นทำงานอย่างหนักเพื่อเขา และอยากมอบความรักของแม่ให้กับเขา ลั่วชิวจึงค่อนข้างพอใจในตัวผู้หญิงคนนี้

 

แน่นอนว่ามันคงจะเป็นอย่างนั้น ถ้าหากไม่ใช่เพราะผู้หญิงคนนี้ถูกเพิ่มชื่อเข้ามาในทะเบียนบ้าน ที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่ของตนทางกฎหมาย อีกทั้งยังอยู่ในวัยสาวอย่างนี้ล่ะก็ ลั่วชิวก็คงจะเรียกผู้หญิงคนนี้ว่า ‘แม่’ ได้เต็มปาก

 

มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้จักหลีกเลี่ยงความเศร้าโศก และรู้จักทำตัวให้คุ้นชินกับคนรอบข้าง

 

ถ้าพูดตามหลักทฤษฎีแล้ว คงไม่มีใครปรารถนาที่จะอยู่ตัวคนเดียว

 

“แต่ทำไม ฉันถึงปรารถนาสิ่งนั้นล่ะ?”

 

ลั่วชิวเขียนคำว่า ‘ผมออกไปข้างนอก’ ลงบนโพสต์อิทแล้วติดไว้บนตู้เย็น จากนั้นก็เดินออกบ้านโดยอาศัยช่วงเวลาที่อากาศข้างนอกยังไม่ร้อนมากนัก

 

ในวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ไม่มีเรียน เขาเพียงแต่คิดอยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียว

 

เพียงเท่านี้จริงๆ

 

 

 

ถนนหนทางในตอนเช้าเริ่มคึกคักมากขึ้น อาจด้วยเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ทำให้คนออกจากบ้านตั้งแต่เช้า

 

พ่อกำลังจะพาลูกสาวไปว่ายน้ำ คู่รักคนชราจูงมือกันเดินเล่นอยู่ริมแม่น้ำ บางคนอาศัยช่วงเวลาในวันหยุดสุดสัปดาห์ไปออกกำลังกายเพื่อให้รู้สึกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น และบางคนก็เริ่มวางแผนการดำเนินชีวิต

 

ผู้คนมากมายปรากฏอยู่ในสายตาของลั่วชิว และผ่านหายไปราวกับว่าพวกเขาเป็นนักแสดงที่ยืนอยู่บนเวทีของโรงละครขนาดใหญ่ ทำการแสดงบทบาทของพวกเขาให้ดีที่สุด ราวกับว่าพวกเขาเกิดมาเพื่อเป็นสุดยอดนักแสดง

 

ลั่วชิวเคยชินกับการสังเกต แต่เขากลับไม่ชินที่จะอ้าปากพูดมันออกมา เขาอยากจะรู้ว่าใจคนกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่อยากทำตัวสนิทสนมกับคนเหล่านั้นมากจนเกินไป

 

นี่เป็นเพราะอะไรกัน?

 

หรือเป็นเพราะเพิ่งจะเข้าสู่ช่วงวัยหนุ่มที่กำลังสับสน?

 

แค่อยากจะอยู่เงียบๆ คนเดียวก็เท่านั้น… บรรยากาศรอบๆ ตัวเขาเริ่มคึกคักขึ้น เขาส่ายหัวแล้วเดินตรงไปยังร้านค้าที่ยังไม่เปิดอย่างเป็นทางการบนถนนสายหนึ่ง

 

คราวนี้ก็คงจะเงียบหน่อย อาจจะมีสักคนสองคนที่เดินผ่านไปมา สังเกตพวกเขาเหล่านั้นสักหน่อย?

 

เขาเสียบหูฟังมือถือ แล้วฟังเพลงที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมสักเท่าไร และแล้วลั่วชิวก็เดินเข้าไปในถนนคนเดินโดยที่ไม่ทันได้รู้ตัว

 

และนี่ก็เป็นไปตามอย่างที่เขาหวังไว้ ที่นี่ยังไม่มีร้านค้าเปิดให้บริการ หรือถ้ามีส่วนมากก็จะเป็นร้านที่ยังไม่เปิดดีนัก ส่วนร้านที่เปิดแล้วก็เป็นร้านขายขนมปังอาหารเช้าและอื่นๆ ประมาณสองสามร้าน

 

ลั่วชิวซื้อซาลาเปาสองลูกแล้วนั่งลงบนม้านั่งยาวริมถนนสายนั้น ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสนใจเขาสักเท่าไร แม้เขาจะดูแปลกแค่ไหนก็ตาม

 

—สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ด—

 

ลั่วชิวหันไปเห็นชื่อนี้เข้าโดยบังเอิญ

 

ถึงแม้จะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเขาจดจำทุกเรื่องราวที่อยู่รอบตัวเขาได้ทั้งหมด แต่ถ้าเป็นชื่อร้านแปลกประหลาดแบบนี้ มันก็น่าจะคุ้นหูคุ้นตาอยู่บ้างหรือเปล่า?

 

ป้ายร้านถูกประกอบขึ้นในรูปแบบของคำแต่ละคำมาต่อเรียงกัน ส่วนประตูโดยรวมแล้วจะเป็นโครงสร้างไม้ ทางด้านซ้ายของประตูถูกประดับไปด้วยตะเกียงน้ำมันสไตล์ยุโรป ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นเป็นกระจกใส ซึ่งสามารถมองเข้าไปเห็นสิ่งตกแต่งภายในได้อย่างชัดเจน และนั่นก็เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ลั่วชิวเดินเข้าไป…

 

ตุ๊กตาที่สวมใส่ชุดอันสวยงาม และนาฬิกาลูกตุ้มที่ดูเหมือนว่าจะหยุดทำงานไปแล้ว ผลงานศิลปะที่คล้ายกับจำพวกอุ้งตีนหมี หมวกใบเก่าๆ ที่ดูฉีกขาดของชาวประมงแต่กลับดูมีแรงดึงดูดบางอย่าง

 

“คุณลูกค้า สนใจเข้ามาดูด้านในไหมคะ?”

 

ในขณะที่ลั่วชิวกำลังจ้องมองการตกแต่งอันแปลกประหลาดเหล่านั้นผ่านกระจกใส ทันใดนั้นก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างตัวของเขา

 

เป็นหญิงสาวที่มีตัวขาวซีดผิดปกติ ดูท่าทางแล้วน่าจะมีอายุพอๆ กับเขา

 

เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายโทนสีขาวดำสไตล์โกธิค ดูรวมๆ แล้วเป็นผู้หญิงที่มีความงดงามยิ่ง แต่ลั่วชิวไม่มีเวลามากพอมาสนใจสิ่งเหล่านี้

 

สิ่งที่ดึงดูดเขามากกว่านั้นคือดวงตาสีฟ้าของหญิงสาว มันดูคล้ายกับลูกแก้ว ลูกแก้วที่แฝงไว้ซึ่งเวทมนตร์อันแปลกประหลาดดุจกระแสน้ำวน

 

ทันทีที่ลั่วชิวรู้สึกตัว เขาก็เดินเข้ามาอยู่ในสมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ดอันประหลาดแห่งนี้เสียแล้ว เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเข้ามาในนี้ได้อย่างไร ความรู้สึกเหมือนภาพตัดเปลี่ยนฉากในรายการโทรทัศน์

 

“คุณลูกค้า น้ำชาค่ะ”

 

หญิงสาวที่มีดวงตาดุจไพลินสีฟ้า รูปร่างเพรียวบาง และสวมใส่เครื่องแต่งกายสไตล์โกธิคแบบปัจจุบันยื่นแก้วน้ำชาให้กับเขา

 

“ชากระเจี๊ยบนี้จะทำให้ท่านรู้สึกสงบ เมื่ออยู่ในสภาวะที่จิตใจสงบแล้วมนุษย์มักจะหยั่งรู้ถึงความต้องการของตนเอง”

 

“อ้อ…ในร้านนี้มีแค่คุณคนเดียวเหรอ?”

 

เขาคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะพูดอะไรต่อจากนี้ แต่ในเมื่อเดินเข้ามาแล้ว เขาก็ทำตัวปกติ เดินดูของต่างๆ ในร้านแต่ไม่ได้ซื้อ นี่ก็เป็นเรื่องปกติที่เห็นได้ทั่วไป

 

อย่างไรก็ตาม ร้านประหลาดนี้ก็ทำให้ลั่วชิวรู้สึกสงสัยอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ถึงแม้ว่าเขาได้เดินเข้ามาในร้านแล้ว แต่กลับไม่รู้เลยว่าร้านนี้ขายอะไรกันแน่

 

“ไม่ค่ะ…ถ้าคุณหมายถึงนายท่าน อีกเดี๋ยวเขาก็คงจะออกมาพูดคุยกับคุณ” หญิงสาวยิ้มเพียงเล็กน้อยแล้วเดินเข้าห้องไป

 

นายท่าน? รสนิยมของเจ้าของร้านเหรอ?

 

ลั่วชิวส่ายหัวแล้วลบความคิดทั้งหมดออกจากหัว เขาเริ่มสังเกตและมองไปรอบๆ ถ้ามองเข้ามาจากด้านนอกทุกอย่างในนี้ล้วนดูประหลาดไปเสียหมด การตกแต่งทุกอย่างดูไม่เข้ากันแต่ก็ไม่ทำให้รู้สึกแปลกตาและยิ่งดูลึกลับมากขึ้น

 

ในส่วนห้องรับแขกของร้าน ให้บรรยากาศเหมือนห้องทำนายดวงของชาวตะวันตกที่ลั่วชิวเคยเห็น ทั้งห้องดูมืดมิด แสงไฟที่ใช้ให้ความสว่างไม่ใช่ไฟนีออนแสงสีขาว แต่เป็นแสงจากเทียนเล่มสีขาวที่จุดไว้บนเชิงเทียน

 

ดูท่าแล้วเจ้าของคงจะใช้เวลาตกแต่งร้านนี้นานพอสมควร

 

ลั่วชิวรอคอยนานเกินกว่าที่เขาคิดไว้ แต่เพราะความสงสัยและอยากรู้ทำให้เขาอดทนรอต่อไป แต่ความสนใจของเขากลับตกไปอยู่ที่ของชิ้นหนึ่งซึ่งวางอยู่บนชั้นตู้โชว์ในห้องนี้

 

นั่นเป็นไข่มุกสองเม็ดที่ซึ่งวางอยู่บนแท่น มีสีแดงเข้ม คล้ายลูกแก้วชนิดหนึ่ง ที่ถูกครอบไว้ในตู้แก้ว

 

ไม่รู้ทำไมลั่วชิวถึงคิดว่าพวกมันคือพระจันทร์ที่อยู่บนท้องฟ้า แต่ก็คิดอีกว่าแล้วทำไมถึงมีพระจันทร์สองดวงใต้ฟ้าเดียวกันล่ะ แถมยังเป็นสีแดงเข้มอีกด้วย และเมื่อมองมันลั่วชิวก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา

 

“ชอบพระจันทร์สีเลือดคู่นี้หรือ?”

 

ในที่สุดก็ได้ยินเสียงที่ต่างไปจากเสียงของหญิงสาวดังขึ้น คราวนี้คงจะเป็นเสียงของเจ้าของร้านสินะ…

 

เมื่อลั่วชิวหันกลับมา เขาก็เห็นชายวัยกลางคนที่แต่งตัวเรียบร้อย ถ้าจะพูดให้ถูกต้องบอกว่าเขาเป็นชายต่างชาติวัยกลางคน

 

เขาดูต่างจากหญิงสาวคนที่เขาพบเมื่อสักครู่นี้ นัยน์ตาของชายคนนี้เป็นสีเทาขุ่น เขาพูดภาษาท้องถิ่นของที่นี่ อีกทั้งยังพูดได้คล่องแคล่วอย่างน่าประหลาดใจ ถ้าได้ฟังแค่เสียงคงจะไม่รู้ว่าเขาเป็นชาวต่างชาติ อีกทั้งยังมีหน้าตาหล่อเหล่าดึงดูดสายตาเป็นอย่างมาก

 

“ผมแค่ดูเฉยๆ” ลั่วชิวตอบอย่างไม่ทันตั้งตัว สิ่งที่เจ้าของร้านและหญิงสาวคนนั้นมีเหมือนกันก็คือความลึกลับ

 

ทันใดนั้น เจ้าของร้านก็ยิ้มอ่อนๆ แล้วเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าของชั้นตู้โชว์แล้วหยิบเอา ‘ดวงจันทร์สีเลือด’ นั่นขึ้นมาเบาๆ เขามองลั่วชิวแล้วพูดว่า ‘ดวงจันทร์สีเลือด’ คู่นี้เป็นสิ่งที่ถือครองโดยชนเผ่าโบราณอาศัยอยู่ในแผ่นดินใหญ่ของลาตินอเมริกา กลุ่มชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่นี้ เมื่อเขาไม่สามารถที่จะอดทนต่อความทุกข์ระทมและความโกรธ รวมถึงทั้งในช่วงเวลาที่คนเหล่านี้มีความสุข นัยน์ตาของพวกเขาจะเปลี่ยนเป็นสีแดงเลือดอย่างงดงาม นอกจากนี้ยังมีเรื่องน่าอัศจรรย์คือตาของพวกเขาจะแผ่ประกายแสงอันงดงามภายใต้แสงจันทร์ในยามค่ำคืน และแน่นอน กลุ่มคนชนเผ่านี้ได้สูญพันธุ์ไปแล้ว… เหตุก็เพราะดวงตาคู่ที่มีความวิเศษเหล่านี้ของพวกเขานั่นเอง และ ‘ดวงจันทร์สีเลือด’ คู่นี้อาจจะเป็นคู่สุดท้ายของโลกที่ยังหลงเหลืออยู่

 

นี่คือดวงตางั้นเหรอ?

 

ลั่วชิวยืนอึ้ง และรู้สึกว่าตนเองกำลังฟังเรื่องงี่เง่าอยู่ แต่ที่งี่เง่าไปกว่านั้นคือเขาฟังมันจนจบ…

 

แต่เขารู้สึกว่าการปรากฏตัวของเจ้าของร้านนี้ดูจะแปลกไปสักนิด ลั่วชิวจึงถามกลับไปว่า “ในเมื่อมันเป็นสิ่งที่มีค่ามากขนาดนี้ คุณต้องการจะขายมันในราคาเท่าไร?”

 

เจ้าของร้านยิ้มอ่อนแล้วตอบว่า “จะต้องให้ผู้ซื้อเป็นผู้กำหนดราคาเอง เพราะสมาคมแลกเปลี่ยนนี้เป็นสมาคมที่ขึ้นกับผู้ซื้อ” ดังนั้นหากอยากได้ ‘ดวงจันทร์สีเลือด’ ไปครอบครอง ท่านต้องเอาของที่มีค่าเทียมเท่ากันมาแลกกับมัน ซึ่งของสิ่งนั้นจะไม่อยู่ในรูปแบบของสกุลเงินใดๆ ทั้งสิ้น

 

ถ้าอย่างนั้นที่นี่คงเป็นร้านแปลกประหลาดที่เปิดโดยเจ้าของประสาทน่ะสิ?

 

“ไม่ชอบเหรอ?”

 

เจ้าของร้านไม่ได้มีทีท่าผิดหวังแต่อย่างใด เขาวางของลงแล้วเชิญเด็กชายนั่งลงอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นเรามาคุยกันก่อน ไม่ทราบว่าคุณลูกค้าปรารถนาจะซื้ออะไร?”

 

“อยากซื้ออะไรน่ะเหรอ…” ลั่วชิวยิ้มแล้วพูดว่า “ผมยังไม่รู้เลยว่าแท้จริงแล้วที่นี่ขายอะไรกันแน่” เขาส่ายหัวแล้วลุกขึ้นยืน พร้อมกับพูดว่า “ต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมไม่อยากซื้ออะไรเลย แน่นอนว่าร้านของคุณพิเศษมาก และผมจะมาอีกเมื่อมีเวลา”

 

“คุณซื้อมันได้ทุกอย่าง เพียงแค่ใจคุณต้องการ คุณซื้อมันได้ทุกอย่าง…แน่นอนว่า ขอเพียงแค่คุณลูกค้ามีกำลังที่จะซื้อไหว แล้ว…สิ่งที่คุณลูกค้าต้องการคืออะไร?” เจ้าของร้านนั่งนิ่งด้วยท่าทีมั่นใจพร้อมรอยยิ้ม แล้วมองไปที่ลั่วชิวเงียบๆ

 

วันนี้ไม่ได้ดูน่าเบื่อดั่งเช่นทุกวัน

 

ลั่วชิวมองเข้าไปในตาเจ้าของร้าน และนี่ก็ทำให้เขาเสียการควบคุมในตนเอง

 

“ปรารถนาอะไรกันแน่?” ลั่วชิวครุ่นคิดกับคำถามนี้โดยไม่รู้ตัว ทุกอย่างรอบตัวเขาอยู่ในสภาวะเงียบสงัด เงียบจนทำให้เขารู้สึกสงบ เหมือนกับว่าที่นี่กลายเป็นอีกโลกหนึ่งเลยทีเดียว โลกที่สามารถมองเห็นผู้คนเดินผ่านไปมาด้านนอก แต่ดูเหมือนว่าคนด้านนอกจะมองไม่เห็นการดำรงอยู่ของคนด้านในเลย ก็ทำได้เพียงมองและมองอยู่อย่างนั้น…

 

“ที่นี่…ผมอยากได้ที่นี่” ลั่วชิวค่อยๆ พูดสิ่งที่เขาคิดในขณะนั้นออกมา

 

และแน่นอน มันเป็นเพียงช่วงเวลาแค่เสี้ยวนาที เขากลับรู้สึกตัวขึ้นมา แล้วรู้สึกว่าที่นี่มีสิ่งเหลือเชื่อเกิดขึ้น ตัวของเขาเริ่มเย็นและเต็มไปด้วยเหงื่อ

 

ทันใดนั้นเจ้าของร้านก็มองเขาอย่างดีใจแปลกๆ เหมือนกับกำลังรอคอยอะไรสักอย่าง แต่สิ่งที่มากไปกว่านั้นคือ เขาดูเหมือนกำลังกังวลและไม่อยากรอช้าแม้แต่วินาทีเดียว

 

“เรียนคุณลูกค้าที่รัก” ที่สมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ดแห่งนี้มีกฎอยู่ข้อหนึ่ง คือเมื่อคุณพูดในสิ่งที่คุณต้องการแล้ว การแลกเปลี่ยนก็จะเกิดขึ้นทันที และถ้าคุณไม่พูดสิ่งที่คุณจะนำมาแลกกับความต้องการของคุณ ทางเราจะเป็นผู้กำหนดราคาของสิ่งนั้นเอง ดังนั้น ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่คุณต้องการ เราจะขายสมาคมแลกเปลี่ยนทราฟฟอร์ดให้กับคุณ แต่ต้องแลกมาซึ่งอิสรภาพของคุณเป็นค่าธรรมเนียม”

 

ตอนนั้นเหมือนโลกทั้งใบกำลังถล่มลงมา แล้วปิดทับทุกอย่างจนมืดมิดไปหมด

 

หนังแพะเก่าๆ ตรงหน้าของลั่วชิวค่อยๆ กางออก เขามองไม่เห็นข้อความในหนังแพะ ยกเว้นแต่ชื่อของเขาที่ค่อยๆ ปรากฏขึ้นอย่างช้าๆ

 

จากนั้นมันก็ลุกไหม้

 

ถูกแผดเผาไปอย่างรวดเร็ว

 

และถูกกลืนกินเข้าไปในความมืด….