ตำหนักเฟิ่งอี๋ได้จุดตะเกียงไว้แล้ว เดินผ่านทางเดินยาวของตำหนักเฟิ่งอี๋มีโคมไฟสีแดงขนาดใหญ่แขวนอยู่ทั้งสองฟากฝั่ง ในวังนั้นโคมไฟก็ถูกแบ่งตามลำดับชั้นด้วย โคมไฟสีแดงมีเพียงตำหนักเฟิ่งอี๋ของฮองเฮาเท่านั้นที่สามารถแขวนได้
นางสนมอื่นๆนั้นจะมีโคมไฟสีต่างกัน
ฮองเฮาระดับชั้นหนึ่ง พระสนมเอกระดับชั้นหนึ่ง พระสนมระดับชั้นหนึ่ง ระดับชั้นถัดลงไประดับหนึ่งไม่เทียบเท่าระดับหนึ่ง
ฮองเฮาเป็นโคมสีแดงขนาดใหญ่ พระสนมเอกเป็นโคมสีแดง โคมของพระสนมนั้นงดงามเป็นที่สุดซึ่งมีสีที่อ่อนกว่าเล็กน้อย
ทางเดินอันยาวนักโดยมีความยาวหน้าหลังสองร้อยกว่าเมตรซึ่งแสดงให้เห็นว่าตำหนักเฟิ่งอี๋เป็นที่หนึ่งในวังหลวง
ตลอดทางนั้นฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกแปลกเนื่องด้วยไร้ซึ่งผู้คน ในอดีตไม่ว่าองค์จักรพรรดิอวี้ตี้จะเสด็จไปยังตำหนักใด ก็จะมีข้าหลวงคอยรับเสด็จอยู่ไม่น้อย วันนี้มีเพียงขันทีน้อยที่อยู่เบื้องหลังของพระองค์
“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ” มีคนออกมาจากตำหนักเฟิ่งอี๋และคลานเข้าไปยังด้านใน
“ลุกขึ้น ฮองเฮาอยู่ที่ใด?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงถาม
“ทูลฝ่าบาท ฮองเฮงเพิ่งจำอ่านบทธรรมะเพคะ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทอดพระเนตรมองแล้วเสด็จเข้าไปก่อน จากนั้นฉีเฟยอวิ๋นก็ตามมา
เมื่อถึงห้องบรรทมของตำหนักเฟิ่งอี๋สิ่งแรกที่ฉีเฟยอวิ๋นเห็นคือสถานที่ไหว้พระซึ่งจัดตั้งใหม่ ในวังจัดสถานที่ไหว้พระใหม่หรือ?
ฉีเฟยอวิ๋นเสียอาการเล็กน้อย
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงเสด็จไปยังอีกฝั่งหนึ่งของห้องพระ ตรงนั้นมีโต๊ะอยู่ ถัดจากโต๊ะเป็นเตียงมังกรที่ห้องบรรทมของฮองเฮาเฉินอวิ๋นชู
“ฮองเฮา ฝ่าบาทเสด็จมาเพคะ” สาวใช้ในวังทูลเฉินอวิ๋นชู จากนั้นเฉินอวิ๋นชูก็วางลูกปัดพุทธในมือแล้วออกมาจากห้องพระ
ฉีเฟยอวิ๋นยืนอยู่ฝั่งหนึ่ง เฉินอวิ๋นชูออกมาแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็รีบถวายเคารพ: “ถวายความเคารพฮองเฮาเพคะ”
“สีกาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้” เฉินอวิ๋นชูตรัสแล้วก็เสด็จไปยังที่องค์จักรพรรดิอวี้ตี้จากนั้นย่อกายถวายพระพร
แล้วไม่ได้ตรัสสิ่งใดก็ทรงลุกขึ้นแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นมอง เฉินอวิ๋นชูอย่างละเอียดซึ่งสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างเรียบง่ายและสง่างาม ไม่มีเครื่องประดับผมบนศีรษะเพียงแค่ม้วนผมและไม่ได้แต่งหน้า ตัวคนนั้นก็ซูบผอมลง
“วันนี้ข้ามาต้องการพักอยู่ในตำหนักเฟิ่งอี๋นี้ ไม่รู้ว่าฮองเฮาจะสมัครใจหรือไม่?” องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงตรัสเช่นนี้ฉีเฟยอวิ๋นก็เกิดเสียงดังครึกโครมขึ้นในใจ รู้สึกว่าฝ่าบาทก็มีเวลาที่ขึ้นเตียงไม่ได้เช่นกัน
“วันนี้ไม่สะดวกเพคะ ฝ่าบาททรงอภัยด้วย!” การปฏิเสธของเฉินอวิ๋นชูนั้นไม่ได้ปฏิเสธเด็ดขาดเช่นนั้น แต่ในตัวอักษรนั้นมีความขัดแย้งอยู่ในความนึกคิดของพระนาง
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ทรงทอดพระเนตรไปยังฉีเฟยอวิ๋น: “วันนี้พระชายาเย่ข้าวังมา ฮองเฮาสวดมนต์อยู่ในวังเพียงลำพังเช่นนั้นมานั่งสมาธิด้วยกันดีกว่า”
เฉินอวิ๋นชูมองย้อนกลับไปยังฉีเฟยอวิ๋นแล้วจึงได้เชิญฉีเฟยอวิ๋นให้ไปนั่งลง
ในใจของฉีเฟยอวิ๋นคลุ้มคลั่งไม่สงบสุข นี่คือสิ่งใดกันนะ?
เดินเข้าไปนั่งลงกับฮองเฮาแล้วฉีเฟยอวิ๋นก็เงียบเชียบ
เฉินอวิ๋นชูทรงถามว่า: “พระชายาเย่มองเรื่องเหตุจูงใจเช่นไร?”
“หม่อมฉันไม่เชื่อเรื่องเหตุและผลเท่าไรนัก” ในเมื่อถูกถามฉีเฟยอวิ๋นก็ทำได้เพียงพูดคุยเป็นเพื่อนพระนาง
เฉินอวิ๋นชูทอดพระเนตรไปยังฉีเฟยอวิ๋น”เพราะเหตุใดหล่ะ?”
“ไม่ได้เพราะเหตุใด มองจากในมุมมองใดๆ สาเหตุคือต้นกำเนิดและเหตุคือโอกาส เมื่อมีที่มารวมถึงโอกาสก็คือการได้รับ
ง่ายดายเช่นนี้เอง”
เฉินอวิ๋นชูทอดพระเนตรไปยังฉีเฟยอวิ๋นอย่างไม่ใส่ใจ องค์จักรพรรดิอวี้ตี้ก็กำลังคิดคำอธิบายไว้เช่นนี้จึงเห็นด้วยอยู่บ้างถึงได้ทรงพระสรวลขึ้น
เฉินอวิ๋นชูทรงถามว่า: “พระชายาเย่รู้เรื่องหลักธรรมหรือไม่?”
“รู้อยู่บ้าง หนทางแห่งพุทธศาสนา!” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวต่อ
ใบหน้าของเฉินอวิ๋นชูค่อยๆบังเกิดความสับสนขึ้น: “หนทางแห่งพุทธศาสนา?”
“ธรรมนั้นเป็นกายของผู้บำเพ็ญหลังจากตรัสรู้แล้ว ส่วนหลักบัญญัตินั้นเป็นวิถีทางของพระพุทธศาสนาซึ่งครอบคลุมทุกสิ่งนับพันนับหมื่น
ในนั้นได้แก่ บุญ ปรากฏการณ์ หนทาง ความดีชั่ว ความโลภ ความเกลียดชัง ความไม่รู้ ความสงสัยและอื่นๆ……
กล่าวง่ายๆ ก็คือ สิ่งที่ต้องประสบพบเจอในระหว่างทางปฏิบัติ และพลังที่ได้รับในภายหลัง
เป็นสิ่งที่ฮองเฮาทรงเห็น ทรงเรียนรู้ และคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ”
องค์จักรพรรดิอวี้ตี้รู้สึกงุนงงเล็กน้อย ฮองเฮาเฉินอวิ๋นชูก็ตกตะลึงเช่นกัน
“พระนางจดจ่อในทางธรรมนั้นไม่ผิด แต่การออกบวชนั้นเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง”
“เช่นไร?” เฉินอวิ๋นชูงุนงง
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “พระพุทธเจ้ามาจากทางตะวันตกส่วนพุทธศาสนานั้นไร้ซึ่งขอบเขต ส่องสว่างไปทั่วทุกหนแห่ง พระพุทธเจ้าตรัสว่ามีพระพุทธเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง บนท้องฟ้า บนพื้นดิน ในน้ำ รอบกาย…….
ที่เรือนนั้นพระพุทธเจ้าคือธรรม แต่งงานแล้วสวามีคือธรรม บุตรธิดาคือธรรม พี่น้องคือธรรม ธรรมไร้ขอบเขต กายของธรรมนั้นมีนับพันล้าน
ฮองเฮาคือธรรม ฝ่าบาทคือธรรม แม้แต่หม่อมฉันก็คือธรรม
“พระชายาเย่กล่าวเช่นนี้ ข้านั้นไม่เชื่อซะแล้ว” เฉินอวิ๋นชูก้มศีรษะลงไม่เชื่อฉีเฟยอวิ๋นอีก
ฉีเฟยอวิ๋นก็ประหลาดใจ พระนางไม่รู้เรื่องเหล่านี้เลย แต่ภาพที่แว๊บผ้านเข้ามาในสมองของนางนั้นชัดเจนแจ่มแจ้งมากเช่นนี้
“เช่นนั้นฮองเฮาทรงฟังหม่อมฉันเล่านิทานนะเพคะ” ฉีเฟยอวิ๋นเหนื่อยใจแต่ปากของนางราวกับว่ามิใช่ของนางซึ่งได้เริ่มกล่าวพูดจาขึ้นมา
เฉินอวิ๋นชูทอดพระเนตรไปยังฉีเฟยอวิ๋นและไม่ต้องการฟัง แต่พระนางยังคงทอดพระเนตรฉีเฟยอวิ๋นอยู่
“จักรพรรดินี้เป็นกษัตริย์ของแผ่นดิน เหตุใดถึงเรียกว่าจักรพรรดิหล่ะ นั่นเป็นเพราะพระองค์มาจากฟากฟ้า แล้วผู้ใดที่สามารถเป็นจักรพรรดิได้ซึ่งนั่นย่อมเป็นผู้บำเพ็ญเพียรมาแล้วนั่นเอง
กล่าวกันว่าพุทธสาวกในทิศตะวันตก ขณะที่ฟังพุทธวจนะนั้นได้นอนหลับไป เพระองค์ทรงฝันถึงความวุ่นวายโกลาหล พอตื่นแล้วทรงถามพระพุทธเจ้าว่าที่นั้นคือที่ใด เหตุใดประชาราษฎร์จึงทุกข์เข็ญ
พระพุทธเจ้าตรัสว่าไม่มีผู้ใดบรรเทาได้ เช่นนั้นพุทธสาวกต้องการไปจึงได้ขอไปบรรเทาทุกข์
พระพุทธเจ้าทรงโบกพระหัตถ์จึงเห็นว่าพุทธสาวกได้ไปในโลกมนุษย์ ในไม่ช้าก็กลายเป็นกษัตริย์ คนผู้นี้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียว ใจกว้าง ขยันขันแข็งและมีสติสัมปชัญญะในทุกวี่วัน การสืบทอดราชบัลลังก์ของพระองค์ได้เริ่มในการราชกิจ……
พริบตาเดียวก็ผ่านไปร้อยปี คนผู้นี้ก็มาถึงเวลาที่น้ำมันหมดและตะเกียงก็ดับ
ตรงหน้านั้นเขามีความเป็นอยู่อันรุ่งโรจน์ เช่นนั้นเขาก็สามารถกลับไปรายงานได้แล้ว! ”
“เจ้าว่าสิ่งใด?” เฉินอวิ๋นชูตกใจและไม่กล้าคิด
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวว่า: “พระนางเพคะ การปฏิบัติธรรมไม่ผิดแต่รบกวนถึงผู้อื่นนั้นเป็นความผิดพลาดอันใหญ่หลวง ในตำแหน่งใดๆก็มีหน้าที่นั้นๆ ภาระหน้าที่ของพระนางคือดูแลประชาราษฎร์ใต้หล้า ดูแลวังหลวงเพื่อฝ่าบาท และเป็นแบบอย่างให้แก่สตรีทั่วทั้งใต้หล้า
คิดว่าเมืองต้าเหลียงในตอนนี้เจริญรุ่งเรืองประชาราษฎร์แข็งแกร่งและบ้านเมืองสงบสุข หากฮองเฮาทรงออกบวชแล้วสตรีแต่ละคนกระทำตาม บุรุษในเมืองต้าเหลียงรักแต่ไม่สามารถมีได้ เช่นนั้นไม่ใช่ว่าจะท้อแท้สิ้นหวังหรอกหรือเพคะ?”
เฉินอวิ๋นชูงุนงง: “บุรุษท้อแท้สิ้นหวังแล้วเกี่ยวข้องกับสตรีเช่นไร?”
“เกี่ยวข้องกันแน่นอน บุรุษหาเลี้ยงชีพอยู่นอกบ้านเพื่อให้ภรรยาและลูกๆมีชีวิตที่ดี ส่วนทหารที่ปกป้องชายแดนเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูมารุกรานปกป้องคุ้มครองภรรยาและลูกๆในเรือน
หากภรรยาออกบวช บุรุษคิดว่าสู้ตายในสนามรบก็ไม่มีความหมาย การที่ชาติบ้านเมืองจะล่มสลายลงก็อยู่ไม่ไกลแล้ว”
“…….แต่พระพุทธเจ้าของข้า……”
“พระพุทธเจ้านั้นทรงมีพระเมตตาอย่างยิ่ง แต่พระพุทธเจ้าไม่เคยบอกว่าสตรีจะทำตามสามีไม่ได้ และไม่เคยบอกว่าไม่สมดังใจหมายก็ออกบวช
โคมไฟสีเขียวและธรรมเก่าแก่นั้นย่อมดีอยู่แล้ว แต่ไร้บุญวาสนาแล้วไม่กลัวว่าจะไปรบกวนพุทธศาสนาหรือ?
พระพุทธศาสนาเป็นสถานที่แห่งการปฏิบัติธรรมอันบริสุทธิ์ เหตุใดพระนางถึงได้นำความวุ่นวายโกลาหลทางโลกนี้เข้ามาสู่ประตูพระพุทธศาสนาด้วยหล่ะ?
หากพระนางพบเจอปมในใจจริง ก็ปล่อยปมในใจลงจะไม่ดีกว่าหรือ
การปล่อยวางคือการเติมเต็ม เติมเต็มตนเองและเติมเต็มผู้อื่นด้วย อีกทั้งยิ่งเติมเต็มทั่วหล้า
คิดว่าพุทธสาวกนั้นมีฤทธานุภาพพิชิตโลกได้จริงหรือ?
หากเป็นเช่นนั้นพุทธสาวกนั้นรู้แจ้งถึงความปั่นป่วนและกระวนกระวายของสิ่งทั้งปวงและความเศร้ารันทด แต่กลับไม่เข้าใจในความรักและเกลียดชังที่พัวพันอยู่ในโลกนี้ เมื่อเขาเข้าสู่โลกมนุษย์แล้วนั้นมิใช่การบำเพ็ญพียรที่ใดกัน!
หากพุทธสาวกปฏิบัติธรรม เช่นนั้นผู้คนรอบกายเขาที่เคยถือกำเกิดพบเจอจะไม่หลุดพ้นหรือ?
ในเมื่อเป็นการหลุดพ้นเช่นนั้นทุกคนที่เคยพบเจอต่างก็ปฏิบัติธรรมอยู่ในโลกนี้ทั้งสิ้น
การปฏิบัติธรรมเดิมทีนั้นไม่ตายตัว เป็นทุกข์ เป็นสุข……เป็นหนทางสุดท้ายแห่งการปฏิบัติธรรมนี้ทั้งสิ้น พระพุทธเจ้าของเราทรงเห็นอกเห็นใจจึงหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง หวังว่าพระนางจะทรงปล่อยอสูรร้ายในใจไป ไม่เสียแรงที่พระพุทธเจ้าของเราได้หลุดพ้น! ชีวิตในชาติหน้าจึงจะหลุดพ้นจากทะเลแห่งความทุกข์ได้! เข้าสู่ความสุขสันต์ในเร็ววัน! ”