โลงศพหินภูเขาไฟใหญ่มาก เหมือนกับภูเขาขนาดย่อม เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงยืนอยู่ด้านใน ก็เหมือนกับยืนอยู่ในภูเขา ไม่รู้การไหลของเวลา
สวีโหย่วหรงชมตามลำดับปกติ หนึ่งรูปต่อด้วยหนึ่งรูป ค่อยๆ ก้าวเท้าขยับช้าๆ จากซ้ายไปขวา ลำดับของเฉินฉางเซิงตรงข้ามกับนาง ค่อยๆ ขยับจากขวาไปซ้าย การบรรลุจดจำง่ายดายกว่ามาก ทว่าจะจำวิชาดาบที่มหัศจรรย์ยากจะบรรยายเช่นนี้ให้ขึ้นใจก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ไหล่ซ้ายของเฉินฉางเซิงชนกับไหล่ขวาของนาง สองคนถึงได้ฟื้นสติกลับมา สังเกตว่าได้พบกันแล้ว
ถ้าเป็นถังซานสือลิ่ว น่าจะพูดอย่างขี้เล่นเชิงหยอกล้อว่า “พอดีจัง ไม่คิดว่าจะได้เจอเจ้าตรงนี้”
แต่เฉินฉางเซิงไม่พูดเช่นนี้ สวีโหย่วหรงก็ไม่ได้พูดจา สองคนจ้องมองซึ่งกันและกันแล้วยิ้ม จากนั้นก็ดูรูปภาพสองรูปสุดท้ายต่อไป
นี่เป็นรูปภาพรูปที่หกสิบเก้าที่เฉินฉางเซิงชมอยู่ แปลว่าเขาจำวิชาดาบสองท่อนหกสิบเก้าท่าได้แล้ว สวีโหย่วหรงเนื่องด้วยสภาพบาดแผล ค่อนข้างอ่อนแอ ดูน้อยกว่าเขา จำวิชาดาบได้สามสิบเจ็ดท่า
ผ่านไปอีกช่วงเวลาหนึ่ง สองคนดูรูปภาพสองรูปสุดท้ายเสร็จ ฟื้นสติกลับมาแทบจะพร้อมกันอีกครั้ง จ้องมองซึ่งกันและกันแล้วยิ้มอีกครา
จากนั้นในเค่อต่อไป รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาหายวับไร้วี่แวว กลายเป็นความสะเทือนใจและอ้างว้าง
เหล่ารูปภาพและตัวอักษรบนกำแพงโลงศพหินภูเขาไฟ กำลัง…อันตรธาน!
หินภูเขาไฟเป็นวัตถุดิบหินที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก เส้นสายของรูปภาพเหล่านั้นน่าจะสลักจากดาบเทพอันมหัศจรรย์ด้วยตัวโจวตู๋ฟูเอง ลึกเข้าหินสามส่วน แม้ประสบการผุกร่อนเป็นเวลาร้อยปี ก็ไม่จางลง ยิ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะสลายเพราะแรงลม แต่แล้วเวลานี้ ขอบข้างของเส้นสายเหล่านั้นราวกับผุกร่อนลงไปมาก เพียงลมครึ้มในสุสานพัดแผ่วเบา เส้นขอบข้างของหินภูเขาไฟถูกพัดเป่าเป็นธุลีทราย ตกลงมาด้วยเสียงซู่ๆ บนพื้น!
เพียงแต่ในชั่วครู่ เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงตอบสนองไม่ทัน ตัวอักษรและรูปภาพทั้งหมดบนกำแพงโลงศพหินภูเขาไฟ ก็ถูกลบออกทั้งหมด กลายเป็นความขรุขระที่หยาบทื่อเล็กน้อยหนึ่งร้อยเก้าแผ่น
นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ภาพที่มหัศจรรย์นี้ ทำให้พวกเขาสองคนสะเทือนใจไร้คำพูด หรือว่าวิชาดาบเหล่านี้หลังถูกจำได้แล้วจะหายไปเอง? กลวิธีที่มหัศจรรย์ขนาดนี้ โจวตู๋ฟูทำได้อย่างไร?
เคล็ดวิชาดาบสองท่อนกลายเป็นเม็ดทรายสีดำใต้โลงศพแล้ว ไม่อยู่แล้ว ในโลงศพหินภูเขาไฟกลายเป็นว่างเปล่าไร้สิ่งของแม้แต่ชิ้นเดียวอย่างแท้จริง แน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้หยุดลงอีกต่อไป
เฉินฉางเซิงแบกนางออกจากโลงศพหินภูเขาไฟ กลับไปบนพื้นหินของโถงสุสาน นึกย้อนหลังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในก่อนหน้านี้ สภาพจิตใจยากจะสงบ
“ดีที่จำได้หมดแล้ว” สวีโหย่วหรงพูดว่า “หลังจากออกไป พวกเราลอกวิชาดาบเหล่านั้นลงมา ก็จะสมบูรณ์แบบ”
ใช้ชีวิตอยู่ในวัดเก่าเมืองซีหนิงตั้งแต่เด็ก เฉินฉางเซิงหนุ่มน้อยวัยสิบห้า แน่นอนว่าหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะโง่งมเรื่องชายหญิง แต่เวลานี้ไม่รู้ทำไม กลับมั่นใจความหมายของนางได้อย่างแม่นยำ เคล็ดวิชาดาบสองท่อนที่สะท้านฟ้าขย่มสวรรค์ชุดนี้ ตอนนี้อยู่ในครอบครองของพวกเขา ซ้ำยังไม่เป็นการครอบครองที่แบ่งแยก เหมือนกับเคล็ดวิชาดาบ เป็นของพวกเขาที่เป็นร่างเดียวกัน
ถ้าพวกเขาไม่อาจเชื่อใจกัน หรือซื่อสัตย์ต่อกันได้ไม่เพียงพอ ฉะนั้นเคล็ดวิชาดาบชุดนี้ก็จะไม่มีความหมายใดๆ
“อืม พวกเราฝึกด้วยกัน” เฉินฉางเซิงพูด
“ถ้าพวกเราไม่สามารถออกจากสวนโจวได้ ทำอย่างไร?” สวีโหย่วหรงมองตาของเขาที่เปล่งประกายสุกสว่าง มีความโศกเศร้าที่บางเบา พูดว่า “หรือว่าเคล็ดวิชาดาบชุดนี้จะไปจากโลกนี้พร้อมพวกเรา?”
เฉินฉางเซิงพูดว่า “อย่าได้กดดัน ถ้าโจวตู๋ฟูยังมีชีวิตอยู่จริง เคล็ดวิชาดาบสองท่อนไม่ขาดการสืบทอดอย่างแน่นอน”
สวีโหย่วหรงเงียบขรึมสักพัก พูดว่า “ตอนนี้ข้าไม่มีความคิดต่าง ถ้าโจวตู๋ฟูยังไม่ตาย ทำไมเขาถึงเหลือเคล็ดวิชาดาบเหล่านี้ไว้ในสุสานของตัวเอง?”
เฉินฉางเซิงคิดแล้วก็คิด พูดเชิงคาดเดาว่า “เป็นไปได้ว่าเขาจะไปทำเรื่องที่ไม่มั่นใจ เหลือเคล็ดวิชาดาบเหล่านี้ไว้ ก็เพราะไม่อยากให้การประดิษฐ์คิดค้นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตนี้ของตัวเองหายไปอย่างไร้คำพูด”
สวีโหย่วหรงมองตาเขา พูดว่า “อย่างไรก็ตาม เจ้าต้องพยายามดิ้นรนมีชีวิตอยู่รอดต่อไป”
เฉินฉางเซิงมองตาของนางกลับ ใจคิดถ้ามีโชคชะตา เงื่อนไขที่โชคชะตาให้มานั้นชัดเจนมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาดาบสองท่อน หรือหากอยากจดจำสิ่งสวยงามเหล่านี้ ล้วนต้องมีชีวิตอยู่ทั้งสองคน จากนั้นก็อยู่ด้วยกัน ถึงจะมีความหมาย
“ขอให้แสงศักดิ์สิทธิ์สถิตกับเจ้า” นางพูดอวยพรอย่างจริงใจ
ร่างกายของเฉินฉางเซิงขยับไปข้างหน้า กอดนางหลวมๆ ทีหนึ่ง พูดว่า “สถิตกับพวกเรา”
……
……
พื้นดินสั่นสะเทือนอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่การเปิดของโลงศพหินภูเขาไฟ ไม่ได้มาจากกระบี่สั้นของเขา แต่เป็นการมาถึงของคลื่นสัตว์อสูร เฉินฉางเซิงจำได้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นานนางเคยบอกว่าตัวเองไม่อยากตายในสุสานของคนอื่น ดังนั้น จึงพยุงนางเดินออกไปนอกสุสานอย่างเป็นธรรมชาติ ตอนที่ผ่านถนนสู่ใจกลางสุสานสายยาวเส้นนั้น ไม่ลืมที่จะเก็บเหล่าไข่มุกราตรีที่ประดับบนกำแพงทั้งหมด
มองภาพฉากนี้ สวีโหย่วหรงรู้สึกถึงความสนุกเล็กน้อย และก็เกิดความนับถือด้วยเช่นกัน…สามารถเงียบสงบเช่นนี้ก่อนตาย ไม่ใช่ว่าใครก็สามารถทำได้ อีกทั้งชัดเจนมากว่า เขาเป็นคนกลัวไม่ตายจริงๆ สภาพจิตใจเช่นนี้ คล้ายคลึงกับจอมปราชญ์
ที่จริงแล้วเฉินฉางเซิงไม่ค่อยได้คิดถึงเรื่องเป็นตาย สิ่งที่คิดมากกว่าคือมังกรดำที่นอนหลับลึกอยู่ในทะเลสาบนอกแดนลี้ลับ เวลานี้สิ่งที่เขาไม่มั่นใจ ในขณะเดียวกันก็มีความกังวลเล็กน้อยก็คือ ถ้าตัวเองตายอยู่ในสุสานโจว แล้วมังกรดำจะทำอย่างไร? มันจะเข้าสู่นิทรารมณ์ชั่วนิรันดร์ตามตัวเอง หรือว่าถึงแม้จะฟื้นตื่นกลับมาไม่ได้ ก็ยังคงมีชีวิตอยู่ อย่างไรตอนนี้มันก็เป็นเพียงกายทิพย์ร่างหนึ่ง?
เดินออกจากสุสาน มาถึงบนแท่นสูงของปลายทางถนนเสิน ไม่ทันมองไปยังที่ราบทุ่งหญ้าที่อยู่เบื้องล่าง เฉินฉางเซิงมองต้นอู๋ถงที่ลมเบาพัดเขย่าแผ่นเปราะนับหมื่นพันใบต้นนั้น บอกกับนางว่า “ศาสตราของเจ้าจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะกำบังอยู่ตลอดเวลา เก็บกลับมาไม่ดีกว่าหรือ”
สวีโหย่วหรงพูดว่า “แต่สามารถดิ้นรนเพิ่มเวลาให้พวกเราอีกนิด”
ไม่เหมือนกับผู้บำเพ็ญเพียรที่มองระดับขั้นและศาสตราเหล่านั้นสำคัญกว่าชีวิต นางมองว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งของนอกตัวมาตลอด ถ้าเอามาแลกเปลี่ยนเป็นเวลาที่ล้ำค่าหรือว่าโอกาส ไม่ต้องพูดถึงสูญเสียมหาศาล แม้จะทำลายมันโดยตรงแล้วมีอะไรน่าเสียดาย
เฉินฉางเซิงพูดว่า “สิ่งที่ตอนนี้พวกเราไม่ต้องการมากที่สุดก็คือเวลา”
ก่อนท่องจำเคล็ดวิชาดาบสองท่อน เวลานั้นเร่งรีบ ต่อมา เวลาสำหรับพวกเขาล้วนไม่มีความหมายใดๆ แม้สวีโหย่วหรงจะถูกเลือดของเขาดึงกลับมาจากอเวจี แต่ยังคงบาดเจ็บสาหัสและอ่อนแอ เวลาที่สูญเสียไปยิ่งมากยิ่งอันตราย ที่สำคัญที่สุดคือ เวลาในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหลต่างกับความจริงของโลก ยิ่งเข้าใกล้สุสานโจว เวลาไหลผ่านไปยิ่งช้า แม้พวกเขาก็พึ่งพาต้นอู๋ถงอดทนอีกสักหลายวัน โลกความเป็นจริงนอกสวนโจวอาจจะเพิ่งผ่านไปสักพัก จะมีโอกาสอะไร?
“มีเหตุผล” สวีโหย่วหรงยื่นมือเก็บต้นอู๋ถงกลับเป็นธนูยาว แบกไว้บนไหล่
ใบไม้เขียวอยู่ๆ พลันหายวับไป รอบจตุรทิศของแท่นหินกลายเป็นพื้นที่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง เฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงเผชิญหน้าโดยตรงกับศัตรูที่แข็งแกร่งและจุดจบที่ยังไม่รู้ชะตา สิ่งที่ต้อนรับมาตรงหน้านั้นแม้จะไม่มีฝนโลหิต แต่ก็เป็นลมคาวเลือดสายหนึ่งเช่นกัน
ท่ามกลางฟ้าดินที่มืดมน ครืนครั่นไปด้วยสัตว์อสูรจำนวนเหนือคณานับ บนที่ราบทุ่งหญ้าและหน้าสุสาน จากเบื้องหน้าถึงขอบฟ้า ดำทมิฬหนักอึ้งกดดันทุกอณู