ตอนที่ 304 พิโรธ / ตอนที่ 305 โทสะสงบ

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 304 พิโรธ 

 

 

เซียงฉือกินอาหารค่ำก่อนแล้วจึงกลับเข้าตำหนักเจิ้งหยาง นางได้รับข่าวมาจากเสี่ยวลี่จื่อว่าเหลียนชินอ๋องเข้าวังมาแล้ว 

 

 

เมื่อนางรู้ข่าวจึงรีบเดินไปยังห้องโถงหน้า 

 

 

ในโถงหน้าของตำหนักเจิ้งหยางเวลานี้มีชายสองคนหนึ่งนั่งหนึ่งยืนอยู่ เซียงฉือได้ยินเสียงทั้งสองคนคุยกันจึงไม่สะดวกจะเข้าไปรบกวนในตอนนั้น ก็เลยไปยืนอยู่ภายในห้องเล็กด้านข้าง 

 

 

นางมองดูรายงานที่หรงจิงวางไว้บนโต๊ะ เป็นรายงานที่หรงเฉิงเยี่ยนำไปช่วยฝ่าบาทตรวจทาน เอกสารที่พวกขุนนางใหญ่พวกนี้เขียนส่วนมากจะทั้งเหม็นและยาว ทั้งหน้ากระดาษเต็มไปด้วยคำยกยอปอปั้น สำหรับหรงจิงแล้ว แคว้นเซียวจิ่งมีงานล้มหลามมากมาย หากช่วงที่ยุ่งมาก วันหนึ่งๆ เขาจะต้องตรวจแทงรายงานกว่าพันฉบับ 

 

 

แต่เมื่อรายงานส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้ ทำให้เขารังเกียจแค้นเคืองยิ่งจึงต้องมีข้าราชสำนักสตรีขึ้นมาเพื่อช่วยจัดการสรุปให้ฝ่าบาท แล้วคัดแยกตามความสำคัญเร่งด่วน 

 

 

ถึงแม้รายงานส่วนมากจะต้องผ่านการตรวจพิจารณาจากขุนนางใหญ่ในราชสำนักมาเป็นลำดับก่อนจะถึงมือหรงจิง แต่ก็ยังมีรายงานอีกมากที่ส่งขึ้นมาโดยตรง 

 

 

รายงานด่วนจากที่ต่างๆ ก็เป็นเช่นนี้ ถึงจะเป็นการเข้าถึงพระเนตรพระกรรณโดยตรง แต่ว่าเรื่องราวสับสนวุ่นวาย มากมายก่ายกอง ถึงหรงจิงจะมีสามเศียรหกกรก็ไม่อาจจัดการได้ครบถ้วนทุกเรื่อง 

 

 

เซียงฉืออ่านรายงานในมือแล้วอดไม่ได้คิดอยากด่าพวกบัณฑิตคร่ำครึขนานใหญ่ ดีแต่ใช้วาทะศิลป์เล่นสำนวนจึงลอบด่าขึ้นในใจ 

 

 

‘มีเรื่องอะไรพูดออกมาก็ได้แล้ว เอาแต่หลับหูหลับตาเสียเวลาเปลืองแรงไปวันๆ’ 

 

 

เซียงฉือลอบด่า แต่ยังคงบรรจงเขียนคำว่า ‘อ่านแล้ว’ ลงบนรายงานที่มีความจงรักภักดีต่อชาติและกษัตริย์ เห็นอกเห็นใจประชาชนเต็มหน้ากระดาษนั้น 

 

 

นางกลับเข้ามาได้นานพอควรแล้ว เมื่อก้มหน้าอ่านรายงานนานก็รู้สึกปวดศีรษะ จึงเงยหน้าขึ้นทุบหลังทุบไหล่ ขยับที่ขยับทางให้สบายขึ้น 

 

 

เพล้ง! 

 

 

เสียงปัดถ้วยดังก้องออกมาจากโถงหน้าของหรงจิง เซียงฉือหูตั้ง ร่างแข็งทื่อขึ้นทันที 

 

 

เสียงโครมครามนั้นเซียงฉือฟังคล้ายจอกถ้วยถูกคนปัดตก จานร่วงหล่นลงพื้น ตามด้วยขันทีนางกำนัลทั้งห้องคุกเข่าขออภัย 

 

 

“ฝ่าบาทอย่าทรงกริ้วเลยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

เสียงซูกงกงเจือแววขอร้อง เซียงฉือตกตะลึง เกิดเรื่องอะไรขึ้น 

 

 

“สารเลว!” 

 

 

เซียงฉือรีบลุกขึ้นแล้วเดินไปทางตำหนักหน้า เสียงด่าของหรงจิงดังออกมา เซียงฉือเดินไปถึงส่วนหน้าโถงแล้วยืนอยู่ในฉากบังลม นางเห็นหรงจิงยืนอยู่ในตำหนัก หรงเฉิงเยี่ยกลับไปแล้ว เห็นใบหน้าเขาราวถูกเคลือบด้วยน้ำแข็ง ความโกรธถึงขีดสุดเห็นได้ชัด ยืนกำกำปั้นแน่นอยู่กลางห้อง ไม่ปริปาก 

 

 

คนรับใช้เบื้องล่างตัวสั่นงันงกช่วยกันเก็บข้าวของที่ตกกระจัดกระจาย มีเพียงเขาคนเดียวที่มองพระจันทร์เบื้องนอกด้วยท่าทางอ้างว้าง 

 

 

เซียงฉือยืนอยู่ด้านข้างเขา ไม่รู้ว่าเวลานี้สมควรจะเข้าไปหรือไม่ หรงจิงกำลังโกรธขึ้งอยู่ เขาเป็นฮ่องเต้ซึ่งทรงอำนาจอย่างยิ่งอยู่แล้ว ยามกำลังโกรธเช่นนี้ยิ่งไม่กล้าที่จะเข้าใกล้ 

 

 

แววตาเซียงฉือหดลง ในใจตระหนกเล็กน้อย นิ้วมือของหรงจิงมีเลือดซึมออกมา ถึงเขาจะกำไว้แน่น แต่เลือดก็ยังซึมผ่านฝ่ามือออกมา หยดติ๋งลงบนพื้นหยกมรกต 

 

 

เซียงฉือคิดแล้วจึงหมุนกายไปหยิบผ้าพันแผล ยืนกัดฟันพึมพำอยู่หลังฉากบังลม 

 

 

“เป็นคนต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณคน ฝ่าบาทดีกับข้าแล้วข้าจะไม่ใส่ใจพระองค์ได้อย่างไร การดูแลพระองค์เป็นหน้าที่ของข้า” 

 

 

เซียงฉือปลอบตนเองเช่นนั้นแล้วเดินออกจากฉากบังลมไปที่ข้างกายหรงจิง ขณะนั้นแม้แต่ซูกงกงยังค่อยๆ โบกมือไปทางนาง 

 

 

แต่ว่าเซียงฉือมองไม่เห็น 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 305 โทสะสงบ 

 

 

เซียงฉือขบริมฝีปากล่างแล้วเดินไปข้างกายหรงจิง ทำความเคารพแล้วพูดขึ้น 

 

 

“พระหัตถ์ฝ่าบาทมีพระโลหิตหลั่งออกมาแล้วเพคะ หม่อมฉันจะพันแผลถวายนะเพคะ” 

 

 

เซียงฉือพูดเบาๆ ขึ้นที่ข้างกายหรงจิง แล้วคุกเข่าลงโดยไม่รอคำตอบ นางจับหลังมือเขาไว้ ความอุ่นจากฝ่ามือนางส่งผ่านไปถึงมือหรงจิง 

 

 

เขาโกรธถึงขีดสุด นิ้วมือเย็นเฉียบ เมื่อถูกเซียงฉือกุมไว้ก็สะท้านขึ้นน้อยๆ 

 

 

แต่แล้วสายตาเย็นเยียบก็มองลงไปยังเซียงฉือในทันใด 

 

 

ยามเขาโกรธจัดเช่นนี้ไม่ต้องการให้คนไม่รู้กาลเทศะแบบนี้มาอาจหาญเข้าใกล้ 

 

 

เซียงฉือไม่ได้เงยหน้าจึงไม่เห็นสายตาเย็นเยียบนั้น นางก้มหน้าก้มตาแกะมือที่กำไว้แน่นของเขาออก เมื่อเห็นเศษกระเบื้องที่ฝังอยู่ในฝ่ามือจึงดึงออกทันใด ทำให้เลือดสดๆ พุ่งออกมาทันที 

 

 

นางรีบกดไว้ทันใดจนเลือดเปื้อนเต็มมือ กลิ่นคาวเลือดรุนแรงโชยเข้าจมูก 

 

 

เซียงฉือใช้ผ้าพันแผลพันบาดแผลแน่นเพื่อห้ามเลือดอย่างระมัดระวัง 

 

 

หรงจิงที่ยังโมโหโทโสอย่างที่สุด เมื่อเห็นท่าทางใส่ใจของนางในการพันแผลให้เขาเช่นนั้น ถึงมือจะสั่นเพราะใส่ยาแต่ทว่าในใจไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดเลย 

 

 

มองดูนางนิ่งไฟโทสะลดหายไปครึ่งหนึ่ง เขาคิดเสมอมาว่าเซียงฉือเป็นหญิงสาวประเภทไหน เหตุใดถึงได้ประทับลึกอยู่ในความทรงจำของเขา ทำให้เขารู้สึกว่ายามได้อยู่กับนางนั้นสุขสบายใจอย่างที่สุด 

 

 

แล้วเขาก็ได้คำตอบในขณะนี้ แววตานางถึงจะนุ่มนวลขลาดกลัวแต่แฝงความเข้มแข็ง ไม่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น ดุจราวเทพธิดาที่ไม่ข้องแวะกับธุลีบนโลก แต่ว่าพอได้รู้จักนางแล้ว ก็จะเห็นนิสัยซุกซนของนาง 

 

 

หรงจิงไม่รู้ว่าคนไหนกันแน่ที่เป็นตัวตนนาง แต่ความรู้สึกยามมองดูนางในขณะนี้ ความสงบเยือกเย็นและหน้าตาหมดจดเช่นนี้ที่ทำให้เขารู้สึกสบายใจที่สุด 

 

 

ซูกงกงเห็นมือซ้ายของหรงจิงถูกเซียงฉือพันไว้จนกลายเป็นขนมจ้าง อีกทั้งหรงจิงที่เมื่อครู่คิดจะระเบิดโทสะ ได้เปลี่ยนจากราชสีห์มาเป็นแมวตัวใหญ่ ยื่นมือขวาออกไปแตะอยู่บนศีรษะเซียงฉือ 

 

 

ความรู้สึกนั้นดูประหลาด แต่ใจที่หวาดหวั่นเมื่อครู่ก็ได้ผ่อนคลายลงแล้ว 

 

 

ในที่สุดก็มีคนที่สามารถสยบฝ่าบาทได้เสียที น้ำตาเขาไหลพราก 

 

 

วันนี้หรงจิงผิดไปจากปกติ ขณะที่บันดาลโทสะยังทำให้ร่างกายล้ำค่าดุจทองคำนั้นต้องบาดเจ็บไปด้วย แต่เซียงฉือเป็นสิ่งน่าประหลาดใจที่สุดสำหรับเขา ผู้หญิงที่สงบเงียบคนนั้น 

 

 

หากจะพูดถึงความงาม ในวังที่เปี่ยมไปด้วยหญิงงามจนยากแยกแยะว่าใครงามที่สุดนี้ ความงามของนางเพียงจัดอยู่ในระดับเหนือปานกลางเท่านั้น 

 

 

ในวันธรรมดาทั่วไปฝ่าบาทจะเรียกนางว่าเด็กต๊อง ทำอะไรไม่ค่อยเข้าท่า แต่ในเวลาเช่นนี้กลับไม่มีความสะทกสะท้าน ยังคงสงบเยือกเย็น 

 

 

ส่วนฝ่าบาทเมื่อเห็นนางเข้าเช่นนี้ ก็เรียกสติกลับคืนมาจากโทสะพลุ่งพล่านได้ 

 

 

อนาคตภายหน้าของเด็กคนนี้สุดจะประมาณ 

 

 

ซูกงกงสะบัดศีรษะ สั่งการให้เหล่าขันทีน้อยเก็บกวาดจัดการสภาพเละเทะในตำหนักเจิ้งหยางให้เรียบร้อย แล้วเรียกคนเหล่านั้นออกไปข้างนอกสั่งว่า 

 

 

“คืนนี้พวกเจ้าไม่ได้ยินไม่ได้เห็นอะไรทั้งสิ้น หากพูดมากอะไรออกไป ระวังหัวของพวกเจ้าไว้ให้ดี!” 

 

 

ขันทีน้อยทั้งหลายรู้น้ำมือของซูกงกงดี ทั้งยังรู้จักแยกแยะความสำคัญของเรื่องราวจึงตั้งใจแน่วแน่ว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องราวในวันนี้ออกไปแม้เพียงคำเดียว 

 

 

แต่จากวันนี้เป็นต้นไป พวกคนในวังที่เคลื่อนไปตามทิศทางลมได้รู้แล้วว่าเซียงฉือมีความพิเศษต่อฝ่าบาทต่างแอบสาบานในใจว่าจากนี้ไปจะรับใช้เซียงฉือให้เหมือนดั่งนายหญิงน้อยคนหนึ่ง