ตอนที่ 615

The Divine Nine Dragon Cauldron

ในอดีต พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะปรากฏตัวออกมาเมื่อโลกตกอยู่ในอันตรายอยู่เสมอ พันธมิตรผู้คุมสวรรค์คือกลุ่มที่จะปกป้องคนรุ่นหลังมากพรสวรรค์เอาไว้ปกป้องเผ่าพันธุ์มนุษย์อีกทอดหนึ่ง ด้วยเหตุอันนี้ กลุ่มของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จึงเป็นสถานที่ที่รวบรวมคนรุ่นใหม่ที่กล้าแกร่งเอาไว้มากที่สุด

 

พันธมิตรผู้คุมสวรรค์มักจะต่อสู้กับสิ่งที่คุกคามโลกอยู่เสมอ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นกำลังสุดท้ายของมนุษย์

 

เมื่อคนต่างถิ่นบอกเข้ามาในทวีปและก่อโศกนาฏกรรม ตอนนั้นพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ก็จะออกมาปกป้องคนรุ่นหลังที่มีฝีมือ ความบริสุทธิ์ใจของคณะบุคคลนี้จึงทำให้ทุกคนเคารพต่อพันธมิตร

 

แม้แต่ผู้เฒ่าฉิว ฉีตงไล่ กับหลินหยุนฮีก็เต็มใจจะเข้าสู่พันธมิตรผู้คุมสวรรค์แม้จะมีอายุแก่เฒ่าเต็มทีแล้ว และนั่นก็เป็นเพราะความไม่เห็นแก่ตัวและความสูงส่งของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์

 

แม้แต่ซือหยูก็ให้ความนับถือพันธมิตรผู้คุมสวรรค์เป็นอย่างมาก แม้เขาจะเคยมีข้อบาดหมางในอดีตกับเจ้าพันธมิตรหลง แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความนับถือต่อพันธมิตรผู้คุมสวรรค์หายไป เพราะนี่เป็นแหล่งรวมผู้คนที่ไม่ได้ลงแรงเพื่อเกียรติและผลประโยชน์ส่วนตน ที่นี่มุ่งหวังอยู่กับอนาคตอันสดใสของทวีปเท่านั้น

 

แม้แต่สำนักที่ทรงพลังอย่างอาณาจักรทมิฬหรือบางที่อ่อนแอก็ไม่ได้สละตัวเองเพื่อทวีป ดังนั้นพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จึงเป็นสัญลักษณ์อันเที่ยงธรรมแก่คนทั้งทวีป

 

“น้องซือหยู เจ้าไม่ต้องกังวลนักหรอก เราแค่จะรายงานเรื่องสิ่งที่เราเจอ เราแค่พูดไปเท่านั้น ผู้เฒ่าหลายคนในพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ซื่อตรงมีคุณธรรม พวกนั้นคงไม่จงใจทำให้เจ้าลำบากแน่”

 

เมื่อกังต้าเหล่ยเห็นสีหน้าหม่นหมองของซือหยู เขาเข้าใจผิดว่าเป็นความกังวล

 

ซือหยูเพียงยิ้มตอบ เขาไม่ได้เป็นกังวล แม้จะต้องเจอกับภูติสามคนตามลำพังในตอนนี้ เขาที่เป็นกึ่งภูติก็พร้อมจะรับมือ!

 

สองคนพูดคุยกันจนเดินไปถึงโถงหลักที่อยู่กลางเรือรบ ที่นี่มีการตกแต่งอย่างเรียบง่ายไม่ดูหรูหรา มันเข้ากับธรรมเนียมของพันธมิตร

 

มีผู้เฒ่าหลายคนที่นี่ หนึ่งในนั้นคือหลินหยุนฮี เขายิ้มเบาๆเมื่อมองเห็นซือหยู

 

ฉีตงไล่ที่ถูกขับออกจากตำแหน่งจนเป็นธรรมดาอยู่ข้างๆหลินหยุนฮี ความยินดีปรากฏบนใบหน้าเมื่อได้เห็นซือหยู

 

แต่เขาก็อับอายอยู่บ้างเมื่อต้องยืนอยู่ท่ามกลางผู้เฒ่า ฉีหยุนเซี่ยงที่มารายงานภารกิจก็อยู่ข้างๆเขา ดวงตานางจ้องมองชายหนุ่มผมสีเงิน ไม่ว่าจะนางจะมองอย่างไร ซือหยูก็ยังคงตระการตาทุกครั้ง

 

นอกจากคนเหล่านี้ยังมีผู้เฒ่าอีกหลายคนที่เขาไม่รู้จัก คนเหล่านี้จะต้องมาจากตะวันตก ตะวันออก และทางใต้ของทวีป ในทางเหนือมีแค่หลินหยุนฮีกับฉีตงไล่เท่านั้น

 

ในตอนนี้ สามผู้เฒ่าผู้ยิ่งใหญ่ในตอนเหนืออย่างจ้าววิหคเพลิงอาสัญ กระบี่เทพ และหอสดับหิมะ ยังไม่มาถึง

 

“หยินหยู…หรือข้าจะต้องเรียกว่าซือหยูดีล่ะ? นานนักที่ข้าไม่ได้เจอเจ้า”

 

หลินหยุนฮีโบกมือทักทายเขา เขายิ้มอย่างเป็นสุข

 

“มิเพียงแต่จะรอดกลับมา เจ้ายังได้เจอกับเรื่องน่ายินดี! ข้าได้ยินว่าเจ้าสังหารกึ่งภูติที่มีแก้วพลังชีวิตสองดวงด้วยตัวเอง! มันน่าทึ่งยิ่งนัก”

 

หลินหยุนฮีประทับใจซือหยูเพราะเขามีความยิ่งใหญ่ในด้านการตีอาวุธ แต่เขาคิดว่าน่าเสียดายที่ซือหยูเลือกหนทางในการใฝ่หาพลังและปฏิเสธจะเป็นศิษย์ของเขา

 

“ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ท่านสนใจเรื่องของข้า แต่ข้าแทบจะรอดออกมาไม่ได้! ข้าโชคดีที่หนีเรื่องร้ายสำเร็จ ส่วนกึ่งภูติสองคนนั่น ข้าต้องลงแรงอย่างมากกว่าจะสังหารได้…”

 

ซือหยูตอบ

 

ฉีหยุนเซี่ยงเอียงคอเมื่อได้ฟังคำตอบของซือหยู นางยิ้มเบาๆและมองหน้าเขา

 

“เจ้ายังรักที่จะปิดบังพลังของตัวเองเหมือนเดิมนะ”

 

นางจำได้ดีว่าเขาเอาชนะกึ่งภูติได้อย่างง่ายดายเพียงใด และวิชาที่เขาใช้สังหารได้อย่างหมดจด นางยังรู้สึกว่ามันน่ากลัวมาจนถึงตอนนี้ กังต้าเหล่ยเองก็เบ้ปาก เขาคิดว่าซือหยูทำไม่ได้แม้แต่จะซื่อตรง!

 

“ซือหยู”

 

ฉีตงไล่ยิ้มอย่างสุขใจ เขาโค้งให้กับซือหยูต่อหน้าทุกคน

 

“ข้ายังมิได้ตอบแทนที่เจ้าช่วยชีวิตข้า และข้าก็ต้องขอบคุณที่เจ้าช่วยดูแลลูกสาวข้าตอนที่ข้าสภาพย่ำแย่ ข้ารอมาตลอดสามปีเต็มเพื่อที่จะได้ขอบคุณเจ้า”

 

ซือหยูยื่นมือช่วยพยุงให้เขายืนขึ้นมา เขายิ้ม

 

“ท่านเจ้าตำหนักฉี โปรดอย่าทำให้ข้าต้องอับอายเลย ข้าต่างหากที่ติดหนี้ท่าน ข้าสิควรจะขอบคุณท่าน”

 

เพราะเขาเป็นคนที่เห็นคุณค่าของซือหยู เขายังปกป้องซือหยูอีก แต่จากนั้นเขาได้ถูกฮั่นเจียงหลินใส่ความ สุดท้ายตำหนักของตระกูลฉีจึงตกอยู่ในมือฮั่นเจียงหลิน

 

และเขายังวางแผนจะหมั่นฉีหยุนเซี่ยงกับซือหยูในครั้งเดียวที่ได้เห็น เมื่อทั้งคู่ได้เจอกันอีกครั้ง เรื่องราวในอดีตได้กระจายหายไปราวกับควัน สามปีที่ผ่านมาอย่างรวดเร็วทำให้ทั้งคู่ถอนหายใจ

 

“แม้จะเป็นตอนนั้น ข้าก็รู้สึกว่าเจ้าถูกลิขิตให้เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ ข้าพนันเลยว่าฐานพลังของเจ้าคงไม่อ่อนแอไปกว่าคนรุ่นข้าแล้ว!”

 

ฉีตงไล่สัมผัสได้ถึงแรงกดดันอ่อนๆจากร่างกายซือหยู เขายินดีมาก

 

ถ้าเขาเฉียบขาดกว่านั้นในอดีต ฉีหยุนเซี่ยงก็คงจะได้สามีที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้! และตอนนี้ เขาที่เป็นพ่อนางยังไม่เข้าใจแววตาของฉีหยุนเซี่ยงที่เขาเห็นด้วยหางตา

 

“เอาล่ะ เจ้าคือซือหยู อดีตหมายเลขหนึ่งแห่งตอนเหนือ แม้แต่คนแก่อย่างข้ายังได้ยินเรื่องราวของเจ้า!”

 

ชายแก่คนหนึ่งจากทางใต้พูดออกมา ใบหน้าเขาแสดงความทึ่ง

 

“ข้าคิดว่าเจ้าตายไปแล้ว ไม่คิดเลยว่าฐานพลังเจ้าจะเติบโตถึงเพียงนี้ น่าตกใจจริงๆ”

 

แม้ซือหยูจะไม่รู้จักชายผู้นี้ เขาก็ประสานหมัดตอบ

 

“ท่านผู้เฒ่าจะชมข้าเกินไปแล้ว”

 

“ตาเฒ่าเฉิน เจ้าจะยกยอมากไปแล้ว! ทวีปเหนือก็แค่ส่วนที่อ่อนแอที่สุด มันไม่มีอะไรให้น่ากล่าวถึงทั้งนั้น! เขายังขาดคุณสมบัติถ้าไปเทียบกับสี่ตระกูลโบราณและเจ็ดจ้าวแห่งความมืด ไม่ต้องพูดถึงหลงหวูชิงของเราเลย เรื่องลือนั่นเป็นเรื่องเกินจริงทั้งนั้น”

 

ผู้เฒ่าหน้าแดงจากตะวันตกลูบคางขณะที่พูด

 

ซือหยูไม่ได้โกรธอะไร เขาแค่ยิ้มและโค้งคำนับ

 

“ใช่แล้ว ท่านผู้เฒ่ามิได้เข้าใจผิดเลย”

 

“หืม ถึงเจ้าจะอายุแค่นี้ เจ้าก็หลักแหลมคิดอ่านรวดเร็ว ถ้าไม่โกรธเพราะคำพูดข้าก็แสดงว่าเจ้าน่ะไม่เลว”

 

ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าหน้าแดงชมเชยหรือตำหนิอยู่กันแน่

 

ผู้เฒ่าเฉินพูดแทนซือหยู

 

“ผู้เฒ่าจาง เจ้าน่ะพูดเกินไป ทวีปเหนือขาดทรัพยากรมากนัก ไม่ยุติธรรมหากจะไปเทียบกับสี่ทวีปที่เหลือ พรสวรรค์เขาจะยอดเยี่ยมที่ได้เป็นลำดับหนึ่ง”

 

“ข้าก็แค่พูดความจริง ข้าไม่ได้มีสิ่งใดซ่อนเร้น”

 

ผู้เฒ่าหน้าแดงพูดอย่างใจเย็น

 

“ราชาปีศาจหิมะทมิฬก็มาจากทวีปเหนือ เจ้าหนุ่มนั่นไล่ล่าพันธมิตรทวีปเหนือเสียล้านลี้! ผู้เฒ่าของเรายังต้องให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับราชาปีศาจหิมะทมิฬ ต้องคนนี้สิ ที่หนึ่งของทวีปเหนือ”

 

เขามองซือหยูอย่างใจเย็น

 

“ข้าพูดตรง แต่ก็ไม่ได้จะต่อว่าอะไรเจ้า ถ้าเจ้าฟังให้ดีจะเห็นความหวังดีของข้า ถ้าเจ้าไม่ฟัง เจ้าก็ลืมๆไปเสียเถอะ”

 

ผู้เฒ่าเฉินอ้าปากเตรียมจะพูดแต่ก็ต้องเงียบไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไร มันเห็นได้ชัดแก่ทุกคนว่าผู้เฒ่าจางไม่ได้พูดให้ซือหยูเสียหาย แต่เขาก็ใช้ฐานะผู้เฒ่าทำให้คำพูดตัวเองดูเหมือนความหวังดี แต่ถ้าหากเขาโกรธเพราะเรื่องนี้ เขาก็ไม่มีเหตุผลที่มากพอ

 

และมันน่าสิ้นหวังยิ่งกว่า ด้วยชื่อเสียงของราชาปีศาจหิมะทมิฬที่ทำให้ทวีปตกตะลึง คงจะแปลกไปถ้ายกย่องให้ซือหยูเป็นที่หนึ่งของทวีปเหนือ

 

แม้กระนั้น สีหน้าซือหยูก็ยังเยือกเย็นไม่แยแส

 

“เข้าใจแล้ว ขอบคุณที่ชี้แนะ…”

 

“อืม ก็ดีที่เจ้าเข้าใจ ถึงเจ้าจะขาดความสามารถไปบ้างถ้าเทียบกับราชาปีศาจหิมะทมิฬ แต่ถ้าเจ้าฝึกให้หนัก เจ้าก็อาจจะก้าวข้ามเขาได้ในสักวัน เพราะพรสวรรค์พูดได้ดังเสียยิ่งกว่าคำลือ จงพยายามต่อไป”

 

ผู้เฒ่าจางลูบหยางอย่างหยิ่งยโสราวกับว่าเขาเป็นผู้เฒ่าที่มีเกียรติสูงกว่าใคร

 

ซือหยูยอมรับคำชี้แนะของเขาและไม่โต้แย้ง เขาผ่านบททดสอบยากลำบากมามากมาย เขาจึงไม่คิดจะเล่นลิ้นแบบเด็กๆเช่นนี้

 

“ฮ่าๆๆ ผู้เฒ่าจาง ซือหยูอาจจะไม่ว่าอะไรท่าน แต่ข้าไม่ได้ใจเย็นแบบนั้นหรอกนะ”

 

กังต้าเหล่ยเริ่มโกรธขึ้นมาเมื่อเห็นซือหยูยอมทนกับคำดูหมิ่นของผู้เฒ่าจาง

 

ผู้เฒ่าจางเพียงพูดอย่างใจเย็น

 

“ศิษย์ที่ยิ่งใหญ่ของผู้เฒ่าจิวเป็นแค่พวกโอหังไร้มารยาทหรอกรึ?”

 

กังต้าเหล่ยถอนหายใจแรง

 

“โอ้จริงเรอะ? แล้วท่านจะแกล้งเสนอหน้าขึ้นมาทำไมกัน? ทุกคนที่นี่ก็รู้ดีว่าท่านเล็งซือหยู! ท่านไม่หยุดแค่ชิงตำหนักของเจ้าตำหนักฉี ท่านยังเล็งที่จะไล่เขาออกไป! พอท่านได้รู้ว่าซือหยูมีสัมพันธ์อันดีกับเขา ท่านก็ทนไม่ได้จนต้องกระโดดเข้ามาก่อเพลิง! ถ้าอาจารย์ข้าอยู่นี่ ข้าก็คงไม่ต้องทนกับความขี้ขลาดของท่าน!”

 

ผู้เฒ่าจางขมวดคิ้วเบาๆ

 

“เจ้าจะพูดเกินไปแล้ว ที่นี่มีผู้เฒ่าอยู่หลายคน เจ้าระวังคำพูดเสียดีกว่า มิเช่นนั้นข้าก็ต้องสอนวิธีวางตัวของเจ้าแทนผู้เฒ่าจิว”

 

คำพูดของเขาหยาบคายมาก เขากล้าพูดว่าจะสอนวิธีวางตัวกับศิษย์ของผู้เฒ่าจิว! ถ้าหากผู้เฒ่าจิวยังปลอดภัยดี เขาคงไม่กล้าพูดเช่นนี้ แต่เขาไม่กลัวเลยเมื่อผู้เฒ่าจิวยังไร้สติ

 

“เอาเถอะ เจ้าพอใจแล้วรึยัง?”

 

กังต้าเหล่ยถอนหายใจแรงสองครั้ง

 

“ผู้เฒ่าจาง ข้าก็ยินดีที่จะสอนวิธีวางตัวให้เจ้า ข้าจะชี้แนะว่าเจ้ามิควรจะดูถูกคนด้วยดวงตาที่เหมือนสุนัขของเจ้า”

 

กังต้าเหล่ยหัวเราะอย่างดุร้าย

 

“เจ้าไม่รู้รึว่าราชาปีศาจหิมะทมิฬตัวจริงเป็นอย่างไร? ชายคนที่เจ้าบอกว่าซือหยูต้อยต่ำกว่านักหนานั่นน่ะ!”

 

ผู้เฒ่าจางตอบอย่างใจเย็น

 

“ข้าจะต้องไปสนใจทำไมกัน?”

 

“ฮื่ม! เจ้าสิต้องสนใจ เพราะราชาปีศาจหิมะทมิฬก็คือซือหยูนั่นแหละ คนที่ไร้ค่าในสายตาเจ้าน่ะ!”

 

กังต้าเหล่ยพูดอย่างยินดี

 

“ซือหยูเปลี่ยนรูปลักษณ์เป็นราชาปีศาจหิมะทมิฬ! น่าขันนักที่เจ้าใช้ดวงตาสุนัขของเจ้ามาแบ่งแยกผู้คนแล้วยังทำเป็นชี้แนะ! เจ้ายังไม่รู้เลยว่าคนที่เจ้าสั่งสอนก็คือราชาปีศาจหิมะทมิฬนั่นแหละ!”

 

ทุกคนตกใจกับการเปิดเผยนี้! พวกเขาหันหน้าพูดคุยกันกับข้อมูลใหม่…

 

“เป็นไปได้แค่ไหนที่ราชาปีศาจหิมะทมิฬจะเป็นซือหยู?”

 

“แต่พอเขาพูดถึงข้าก็ได้คิด…มิใช่ว่าจู่ๆราชาปีศาจหิมะทมิฬก็ปรากฏตัวขึ้นมาหลังจากที่ซือหยูหายตัวไปหรอกรึ?”

 

 

ฉีตงไล่กับหลินหยุนฮียิ้มบางๆเมื่อมองผู้เฒ่าจางที่หน้าชา เพราะทั้งคู่ได้รู้ความจริงจากฉีหยุนเซี่ยงมาก่อนหน้านี้แล้ว

 

“ไอ้แก่โง่นั่นชอบเสนอหน้าดีนัก ตอนนี้รู้จักการขายหน้าแล้วล่ะสิ!”

 

หลินหยุนฮีหัวเราะเยาะ เขาเป็นสุขมากเช่นเดียวกับฉีตงไล่ ฉีตงไล่หัวเราะเยาะขึ้นมาพร้อมกัน

 

เมื่อฉีหยุนเซี่ยงเห็นความตกตะลึงของเหล่าผู้เฒ่า นางก็เริ่มภูมิใจที่ได้รู้จักซือหยู และไม่ว่าจะเป็นซือหยูหรือราชาปีศาจหิมะทมิฬ ทั้งคู่นั้นเปล่งประกายตระการตาไม่ต่างกัน!

 

ผู้เฒ่าจางยังหน้าชาไม่หาย เขาเสียหน้าอย่างมาก เขามิอาจสลัดเรื่องนี้อย่างสง่างามได้เลย

 

“ซือหยู ถ้าเจ้าเป็นราชาปีศาจหิมะทมิฬ เจ้าจะหลอกข้าทำไม?”

 

ที่เขาโกรธที่สุดก็คือซือหยูที่ไม่พูดแม้แต่คำเดียวกับเรื่องนี้ ซือหยูปล่อยให้เขาทำขายหน้าตัวเอง!

 

“ซือหยูเงยหน้าตอบ”

 

“ข้าไม่ได้คิดจะหลอกท่าน ข้าแค่คิดว่าไม่จำเป็นจะต้องพูดเรื่องนี้ เพราะอย่างไรท่านก็นิยมชมชอบการชี้แนะผู้คน ข้าคิดว่าให้ท่านพอใจน่าจะดีกว่า!”

 

คำพูดของเขาทำให้สถานการณ์กระอักกระอ่วนของผู้เฒ่าจางแย่ยิ่งไปกว่าเดิม