ส่วนที่ 2 ภาคถนนสายนี้ไม่มีผู้มาก่อน ตอนที่ 38 ดีดหิมะแลกใจ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

วันนั้นที่ข้างทะเลสาบ ครั้นผู้รับใช้คู่ของหนานเค่อรวมเป็นหนึ่ง เฉินฉางเซิงก็ไม่มีโอกาสใดอีก ไม่ใช่คู่ต่อสู้โดยสิ้นเชิง เพียงมองก็เห็นว่าใกล้จะถูกสั่งให้ตายทั้งยังเป็นๆ ล้วนพึ่งพาเหล่ากล่องเงินและแกะย่างถึงจะหาโอกาสรอดชีวิตเจอ จากนั้นเขาก็พึ่งร่มกระดาษทองในการหลบหนี แต่ปัจจุบันเมื่อคิดคำนวณจากเวลาในที่ราบทุ่งหญ้าสุริยาไม่หลับใหล สนามต่อสู้ที่ร้ายกาจแฝงกลิ่นคาวเลือดสนามนี้ผ่านไปเพียงแค่หลายสิบวัน เขาก็สามารถใช้หนึ่งกระบี่โจมตีผู้รับใช้คู่ที่รวมกระบวนท่ากันออกไปเป็นเวลานานให้ล่าถอยได้ กระทั่งทำให้พวกนางบาดเจ็บ

ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งจะเป็นไปได้อย่างไรที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดภายในระยะเวลาอันสั้น? บนตัวเขานั้นจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น?

ในกระบี่นี้เห็นได้ชัดว่า ระดับขั้นของเฉินฉางเซิงไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ยังคงเป็นระดับทะลวงอเวจีขั้นปลาย ในเวลาเดียวกันจำนวนปราณแท้ของเขายังคงน้อยกว่าผู้บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกันมาก แม้ท่ากระบี่กระบวนนี้จะยอดเยี่ยม แต่จุดแตกต่างที่มากที่สุดยังคงเป็นการที่ปราณแท้ของเขาไม่รู้ทำไมถึงเหน็บหนาวอย่างผิดปกติ คาดไม่ถึงว่าเพียงแค่ท่ากระบี่ก็ควบแน่นบุปผาหิมะให้แข็งตัวออกมาผืนใหญ่

แม้ว่านี่…ก็ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุด ในเวลาสั้นๆ หลายสิบวัน หัวใจกระบี่ของเขาทำอย่างไรถึงพลิ้วไหวสาดประกายขนาดนี้?

ความสะเทือนใจเป็นเรื่องชั่วขณะ ในการต่อสู้ก็ไม่มีเวลาจะมาขบคิดให้ลึกซึ้งกว่านั้น คล้อยตามเสียงกรีดร้องของอากาศที่เกิดจากการบินด้วยความเร็วของปีกแสง ผู้รับใช้คู่สลายกลายเป็นแสงไหล โจมตีไปที่บนแท่นหินอีกครั้ง

ข้างแท่นหิน แสงกระบี่ที่สว่างไสวสายหนึ่งส่องสว่างไปรอบๆ ชั้นบรรยากาศ การปรากฏของแสงกระบี่นั้นกะทันหันอย่างนี้ สว่างจ้าดั่งกลางวันไปทั่ว ราวกับฟ้าแลบ

ฟุ่บ! ปลายแหลมกระบี่ทะลุอากาศ

แสงไหลสายนั้นหยุดลงตรงนั้น จากนั้นถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว สลายกลายเป็นจุดแสงจำนวนมากที่กลางอากาศห่างออกไปหลายสิบจั้ง หายไป ณ ตรงนั้น

ยังคงเป็นพลองพลิกขุนเขาของสำนักฝึกหลวง ท่ากระบี่ยังคงหนาวเหน็บเงียบเชียบ เจตจำนงกระบี่ยังคงแช่แข็ง หัวใจกระบี่ยังคงพลิ้วไหวสาดประกายเช่นนั้น ใสกระจ่างจนยากจะจินตนาการ

เฉินฉางเซิงถือกระบี่ไว้ข้างหน้า บนใบหน้าไม่มีสีหน้าที่มีปีติใดๆ ปรากฏออกมา และก็ไม่ได้สะใจเพราะปีกแสงคู่นั้นหายไปอย่างกะทันหัน กลับยิ่งระมัดระวังมากขึ้น

เนื่องจากเขาชัดเจนมากว่า เจตจำนงกระบี่ของตัวเองแม้จะมีการพัฒนาเล็กน้อย กระบี่แรกในตอนแรกสุดสามารถทำให้ผู้รับใช้คู่บาดเจ็บอย่างไม่คาดคิด แต่กระบี่ที่สองน่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบเช่นนี้ แสงกระบี่ที่ราวกับฟ้าผ่า เพียงแค่โจมตีโดนไหล่ซ้ายของสตรีนามหนิงชิวผู้นั้น ไม่ได้ทำให้ฝ่ายตรงข้างบาดเจ็บสาหัส แน่นอนว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะตีให้ปีกแสงกระจายออกไป

สาเหตุที่ปีกแสงสลายกลายเป็นจุดแสงจำนวนมาก นั่นเป็นเพราะว่ามีคนคิดว่าผู้รับใช้คู่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา ไม่อยากให้พวกนางเสียเวลาอีก

สายตาของเขาคล้อยตามจุดแสงที่ล่องลอยกระจัดกระจายไปจนตกลงบนปลายทางของถนนเสินหลายพันจั้ง บนพื้นดินหน้าสุสาน จากนั้นก็เห็นเด็กสาวที่อายุสิบกว่าปีคนนั้น

จุดแสงลอยตกลงบนตัวของนาง หายไปอย่างรวดเร็ว สีหน้าของนางไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เนื่องจากตั้งแต่ต้นจนจบนางล้วนมีสีหน้าไร้ความรู้สึก

……

……

หนานเค่อมองปลายทางของถนนเสินหลายพันจั้ง มองหนุ่มสาวเผ่ามนุษย์ที่ยังเยาว์บนแท่นหินคู่นั้น ไม่ได้พูดอะไร

ตามที่นางคำนวณไว้ สวีโหย่วหรงหนีตายตลอดทาง หลังจากที่สังหารเหล่าสัตว์อสูรก่อนหน้านี้ เลือดแท้แห่งหงส์สวรรค์น่าจะเหือดแห้งสิ้นแล้ว ตอนนี้ในร่างกายน่าจะเหลือแค่เลือดพิษที่ตัวเองฝังเอาไว้ ตามเหตุผลแล้ว แม้จะสามารถทนได้ถึงสุสานแห่งนี้ เวลานี้ก็น่าจะตายแล้ว เหตุใดนางถึงยังมีชีวิตอยู่รอดได้? แต่ว่านี่ไม่สำคัญ เห็นได้ชัดว่านางอ่อนแอจนน่าเวทนาแล้ว ไม่มีแรงที่จะต่อสู้อีก การต่อสู้ชะตากรรมสนามนี้แม้จะไม่สามารถพูดได้ว่าเป็นชัยชนะของตัวเอง แต่เทพมรณะถึงเป็นกรรมการที่ยุติธรรมที่สุด นางใกล้ตาย ตัวเองมีชีวิตอยู่รอด แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว ปัญหาอยู่ที่ชายหนุ่มที่ชื่อว่าเฉินฉางเซิงคนนั้น…

คนชุดดำ อาจารย์ของนางไม่ได้บอกแผนทั้งหมดในสวนโจวให้กับนาง แน่นอนว่านางก็ไม่รู้ เนื่องจากร่มกระดาษทองคันนั้นรวมถึงสาเหตุอื่นๆ ชุดดำไม่ทันที่จะบอกการตัดสินใจสุดท้ายแก่นาง นางเข้าใจมาตลอดว่าเฉินฉางเซิงเหมือนกับชีเจียนและเจ๋อซิ่ว ล้วนเป็นเป้าหมายที่ตัวเองต้องฆ่าให้ตาย เพียงแต่ตอนนี้ดูๆ แล้ว เขาไม่ได้ฆ่าง่ายอย่างที่คิด

นางไม่คุ้นเคยกับชื่อเฉินฉางเซิงชื่อนี้มิได้ ไม่ใช่เพราะเขาได้อันดับหนึ่งขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ และก็ไม่ใช่เพราะว่าเขาชมแผ่นป้ายอนุสรณ์สุสานส่วนหน้าในคืนเดียว และก็ไม่ใช่เพราะเขาเป็นเจ้าสำนักของสำนักฝึกหลวงที่วัยเยาว์ที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่เป็นเพราะว่าเขาเป็นคู่หมั้นของสวีโหย่วหรง นางไม่คาดว่า ตลอดทางที่หนีตายในที่ราบทุ่งหญ้า ชายหนุ่มเผ่ามนุษย์ผู้นี้สามารถรักษาบาดแผลตัวเองให้หายได้ อีกทั้งแม้ระดับขั้นของเขาจะไม่ได้เพิ่ม แต่ตามคำบรรยายการแสดงออกของเฉินฉางเซิงในสนามต่อสู้เมื่อหลายสิบวันก่อนจากผู้รับใช้คู่ เจตจำนงกระบี่รวมถึงพลังต่อสู้ เห็นได้ชัดว่าพุ่งทะยานขึ้นมาอย่างมีคุณสมบัติ

แท้จริงแล้วเกิดอะไรขึ้นในที่ราบทุ่งหญ้า? หรือจะพูดว่า การเปลี่ยนแปลงเช่นนี้เกิดขึ้นหลังจากพวกเขาเข้าสุสานแห่งนี้?

ภายในหนึ่งความคิด สภาพจิตใจของนางยิ่งย่ำแย่กว่าเดิม แน่นอนว่า ไม่ว่าเฉินฉางเซิงและสวีโหย่วหรงจะพบเจอสิ่งที่มหัศจรรย์อย่างไร ตอนนี้นางเพียงแค่ใช้ไม้ดำท่อนนั้นออกคำสั่งให้คลื่นอสูรทำการโจมตี ก็ยังคงสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดาย แต่นางไม่ทำเช่นนี้ เพราะว่าคลื่นอสูรยังคงมีความเกรงกลัวตามธรรมชาติบางอย่างต่อสุสานแห่งนี้ คิดอยากจะฝืนออกคำสั่งให้พวกเขาเข้าโจมตี ต้องเสียสภาพจิตใจจำนวนมากเกินไป ที่สำคัญยิ่งกว่าคือ นางไม่อยากให้สุสานที่ดูยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ถูกสัตว์อสูรที่ทั้งตัวเต็มไปด้วยโคลนตม เหม็นอนาถ และโง่เง่าอย่างยิ่งจนทำให้ชุลมุนวุ่นวายไปหมด ถ้าเป็นไปได้ นางไม่ยอมให้นอกจากตัวเองแล้วมีสิ่งมีชีวิตอื่นเข้าใกล้สุสานแห่งนี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเหยียบย่ำเข้าไปในนั้น จนปัญญาแล้วจริงๆ นางก็ทำได้เพียงยอมรับสวีโหย่วหรงรวมถึง…เฉินฉางเซิงที่ยืนอยู่บนแท่นสูงหน้าสุสานในตอนนี้ เนื่องจากในสายตานางแล้วพวกเขาแม้จะเป็นศัตรู แต่มีสายเลือดพรสวรรค์ที่เพียงพอ ไม่ถือว่าเป็นการแปดเปื้อนสุสานแห่งนี้

ใช่ ในสายตาของนาง นี่เป็นสุสานที่ยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง

เพราะว่านี่เป็นสุสานที่ฝังเผ่ามนุษย์ผู้นั้น เป็นคนที่นางนับถือมากที่สุดในชีวิตนี้ กระทั่งยิ่งกว่าอาจารย์ของนาง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพระราชบิดาท่านนั้นของนาง

นางไม่เคยปรากฏความคิดเช่นนี้มาก่อน กระทั่งตอนที่อยู่ในเมืองเสวี่ยเหล่ายังเคยแสดงมุมมองความคิดเห็นที่ตรงกันข้ามออกมา เพราะว่าแม้เผ่ามารเชื่อว่าผู้แข็งแกร่งเป็นที่น่าเคารพนับถือ จำนวนเผ่ามารที่แอบเกรงกลัวจนกระทั่งนับถืออย่างบ้าคลั่งในตัวเผ่ามนุษย์คนนั้นในสุสานแห่งนี้มีไม่น้อย แต่นางอย่างไรก็เป็นองค์หญิงเผ่ามารที่สูงส่ง จะนับถือเผ่ามนุษย์คนหนึ่งได้อย่างไร?

แต่นางไม่เคยโกหกใจตัวเอง

นางเคารพนับถือบุรุษเผ่ามนุษย์ผู้นั้นที่ฝังอยู่ในสุสานอย่างหาที่สุดมิได้

ในเมืองเสวี่ยเหล่า ในอาณาเขตหมู่มาร บิดาของนางยิ่งใหญ่แทบจะเป็นดั่งท้องฟ้ายามค่ำคืน มีเพียงผู้ชายคนนั้นที่เคยฉีกมุมหนึ่งของท้องฟ้ายามค่ำคืนแห่งนั้นออก

ปล่อยตามองไปในอดีตและอนาคต มองไปที่ต้าลู่และมหาสมุทรที่อยู่บริเวณห่างไกล เพียงแค่อยู่ภายใต้ท้องฟ้าดวงดาว บุรุษคนนั้นแต่ไหนแต่ไรก็เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพียงผู้เดียว ในมุมมองของนาง ผู้แข็งแกร่งเช่นนี้ควรค่าแก่การเกรงกลัวของทุกสิ่งมีชีวิต อีกทั้งระหว่างอาจารย์ของนางและผู้ชายคนนั้นก็มีความสัมพันธ์แอบแฝงอยู่จำนวนมาก ความสัมพันธ์เช่นนั้นกลายเป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใจลึกๆ ของนาง

วันนี้ ในที่สุดนางก็มาถึงข้างหน้าสุสานแห่งนี้

เทียบกับเรื่องราวเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นความสูงศักดิ์ขององค์หญิงเผ่ามาร อารมณ์เย็นชาที่พระราชบิดามีต่อตัวเอง ล้วนไม่สำคัญทั้งสิ้น

หนานเค่อเดินไปยังสุสานตามเส้นทางถนนเสินด้วยอารมณ์และสภาพจิตใจเช่นนี้

ถนนเสินยาวหลายพันจั้ง ตามระดับขั้นการบำเพ็ญเพียรของนาง เพียงแค่ใช้เวลาไม่นานก็สามารถข้ามไปได้ แต่เพื่อแสดงความเคารพต่อคนในสุสาน นางไม่ทำเช่นนี้ การก้าวเท้าของนางนุ่มนวลมาก อารมณ์กลับระมัดระวังอย่างยิ่ง เดินอย่างเชื่องช้า สีหน้าอารมณ์เคร่งขรึมมาก ราวกับเคารพนับถือ

ระหว่างเดินทาง ขนหางที่เขียวอึมครึมหลายร้อยเส้นปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของนาง จากนั้นก็เริ่มพัดขยับตามลม งดงามยั่วยวนอย่างยากที่จะหาคำมาบรรยาย

ดวงตะวันข้างที่ราบทุ่งหญ้ากลายเป็นกลุ่มแสงสลัวแล้ว แสงฟ้าค่ำคืนยังมาไม่ถึงแต่ความมืดมนเข้มขึ้นแล้ว นางที่เดินอยู่บนถนนเสิน ส่องสะท้อนแสงพลบค่ำแสงสุดท้าย ยิ่งมายิ่งชัดสว่าง ราวกำลังแผดเผา

มองดูภาพฉากนี้ ดวงตาของสวีโหย่วหรงก็สว่างวาบขึ้นมาเช่นกัน จากนั้นก็เงียบขรึมเล็กน้อย เนื่องจากแม้นางจะอยากต่อสู้กับหนานเค่อที่มีอารมณ์ปีติตื้นตันกำลังเดินเข้ามาในสุสานสักสนามหนึ่ง ก็ไม่มีแรงที่จะต่อสู้อีก ดวงตาของเฉินฉางเซิงไม่ได้สว่างขึ้น เนื่องจากดวงตาของเขาแต่ไหนแต่ไรก็สว่างชัดเช่นนั้น เหมือนกับสีหน้าของหนานเค่อที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ เนื่องจากนางไม่มีสีหน้าอารมณ์ใดๆ อย่างนิรันดร์

ใช้คำพูดของถังซานสือลิ่วมาพูด ดวงตาของเขาเหมือนกับกระจกสองบาน สว่างไสว คนที่เห็นบ่อยใจจะร้อนรน

เขาเหมือนกันกับสวีโหย่วหรง แต่ก็รับรู้ได้อย่างชัดเจน ผ่านการเดินบนถนนเสินที่ราวกับระมัดระวังมาก หนานเค่อได้ปรับสถานะระดับขั้นขึ้นจนถึงขั้นเกือบจะสมบูรณ์แบบ แสดงถึงความยิ่งใหญ่อย่างยากที่จะจินตนาการ แต่สิ่งที่ต่างจากสวีโหย่วหรงก็คือ เขาไม่มีความอยากจะต่อสู้ใดๆ เขาไม่อยากต่อสู้กับหนานเค่อที่มีสภาพอารมณ์เช่นนี้โดยสิ้นเชิง

นี่ก็คือความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างพรสวรรค์ของเขากับสวีโหย่วหรงและหนานเค่อ เขาไม่เคยต่อสู้เพื่อการต่อสู้ ไม่ได้เพื่อชัยชนะจึงเข้าไปรับชัยชนะ ตอนที่เขากระทำเรื่องพวกนี้ ส่วนใหญ่เพื่อสาเหตุหนึ่ง

นั่นก็คือการมีชีวิตอยู่

เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ เขาคิดว่านี่ถึงจะเป็นเหตุผลที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์มากที่สุด หรือจะพูดว่ามีความหมาย ฉะนั้นเขาไม่จำเป็นต้องปรับตัว ไม่จำเป็นต้องคิดวิเคราะห์อย่างเงียบสงบ ไม่จำเป็นต้องเคารพนับถือ ยิ่งไม่จำเป็นต้องอาบน้ำจุดธูป กินเจสามวัน ในตอนที่เขาต้องเริ่มการต่อสู้ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เขาต้องเตรียมตัวให้พร้อมเอาไว้แล้ว

……

……

เพียงแต่ สถานการณ์ของเขาวันนี้เหมือนจะไม่ค่อยสมบูรณ์แบบ

และยังมีโอกาสเป็นไปได้มากที่จะเป็นการต่อสู้สนามสุดท้ายในชีวิตของเขา เขาไม่มีความมั่นใจใดๆ แต่นี่ไม่ใช่ปัญหา เพราะว่าเขาเคยต่อสู้ในสนามที่ไม่อาจเอาชนะได้มาเป็นจำนวนมากแล้ว ปัญหาอยู่ที่ ในตอนที่น่าจะต้องรับมือกับการต่อสู้สนามนี้อย่างตั้งใจ เขากลับปันใจเล็กน้อย รู้สึกอยู่เสมอว่าเหมือนมีเรื่องอะไรที่ยังทำไม่เสร็จ

ตอนนี้หนานเค่อได้เดินไปถึงส่วนสุดท้ายของถนนเสิน ห่างจากเขายังมีอีกประมาณร้อยกว่าจั้ง

ในที่สุดเขาก็ทนไม่ได้ หันหลังมองไปยังสวีโหย่วหรง

“เป็นอะไรหรือ?” สวีโหย่วหรงถาม

เฉินฉางเซิงมองหน้าของนาง อยากจะยื่นมือสัมผัสกลับไม่กล้า

สวีโหย่วหรงยกมือที่บาดเจ็บสาหัสไร้เรี่ยวแรงขึ้น ตบไหล่ของเขาเบาๆ ราวกับจะดีดบุปผาหิมะบนเสื้อของเขาทิ้ง

บุปผาหิมะสองสามดอกนั้นละลายไปนานแล้ว

เฉินฉางเซิงพอใจแล้ว มองตาของนาง พูดอย่างตั้งใจว่า “ถ้าพวกเรารอดชีวิตออกไปจากสวนโจวได้ ข้าจะไปหาเจ้าแน่”

สวีโหย่วหรงมองตาของเขา ข่มความเขินอาย ทำเป็นสงบพูดว่า “ไม่ต้อง ข้าจะไปหาเจ้า”

“ได้” เฉินฉางเซิงไม่เคยตอบเร็วขนาดนี้มาก่อน

ถ้าเวลานี้หนานเค่อละทิ้งท่าทีเคารพนับถือ โจมตีมาอย่างรุนแรง เขาและนางอาจจะตายไปแล้วก็ได้

ที่โชคดีคือ หนานเค่อไม่ได้ทำเช่นนั้น

ทำเรื่องนี้เสร็จ ในที่สุดก็ไม่มีเรื่องใดให้ลังเลใจอีก

เฉินฉางเซิงมองไปยังเด็กผู้หญิงที่เดินมาอย่างช้าๆ บนถนนเสิน สงบนิ่งและจดจ่อ

ราวกับคนจำนวนมากที่เคยพูดเอาไว้อย่างนั้น การบำเพ็ญเพียรไม่เคยเป็นเรื่องที่ยุติธรรม แม้เขาจะอ่านคัมภีร์เต๋าได้อย่างถ่องแท้ตั้งแต่เด็ก สภาพร่างกายก็ต่างจากคนธรรมดา อายุสิบห้าก็บำเพ็ญเพียรถึงระดับทะลวงอเวจีขั้นปลาย แต่ระยะห่างของสายเลือดพรสวรรค์ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายที่จะเต็มให้เติม ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ที่รอบสุสานยังมีสัตว์อสูรซึ่งรวมกลุ่มกันจนกลายเป็นทะเลดำ

นี่เป็นการต่อสู้ที่มีตายไม่มีเป็นสนามหนึ่ง

แต่เขาก็ยังคงเงียบสงบเช่นนั้น แสดงความนิ่งสงบที่ล้ำหน้าอายุของตัวเองไปมาก ถ้ามองเพียงเงาหลัง เขาในเวลานี้กลับมีท่าทีของจอมกระบี่ผู้มาจากตระกูลสูงส่งเล็กน้อย

ก่อนหน้านี้เขาสามารถใช้กระบี่เดียวบังคับให้ศัตรูล่าถอย ก็เป็นเพราะว่าหัวใจกระบี่ของเขาต่างกับเมื่อก่อน การหนีตายในที่ราบทุ่งหญ้าอันยาวไกลนี้ ประสบมาเป็นเวลาหลายสิบวัน เรื่องที่ทำมากที่สุดระหว่างเขาและสวีโหย่วหรงก็คือพูดคุย สิ่งที่พูดถึงมากที่สุด ก็คือการบำเพ็ญเพียร ตั้งแต่วัดพิรุณถึงวัดหิมะ ตั้งแต่ดงต้นอ้อของฤดูใบไม้ร่วงจนถึงเกาะหญ้าฤดูร้อน พวกเขาตั้งแต่แรกจนจบล้วนพูดถึงเรื่องพวกนี้ เขามีพรสวรรค์ในการบำเพ็ญเพียร กลับไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้สักเท่าไหร่ สวีโหย่วหรงสอนเขาเป็นจำนวนมาก ที่สำคัญกว่าคือ มุมมองในการบำเพ็ญเพียรและการใช้ชีวิตของนาง ความแน่วแน่ สงบนิ่ง และเรียบง่ายเหล่านี้มีผลกระทบต่อเขามาก

นี่ก็คือหัวใจเต๋า

หัวใจกระบี่ก็คือหัวใจเต๋าประเภทหนึ่ง

ถ้าจะพูดถึงการบรรลุหัวใจเต๋า เหล่าคนรุ่นเยาว์ในโลกการบำเพ็ญเพียรทั่วทั้งโลก ใครจะสามารถแข็งแกร่งกว่าสวีโหย่วหรง?

กระบี่คู่ไขว้กัน ความแหลมคมนั้นยิ่งกว่าแหลมคม หัวใจกระบี่ก็เป็นเช่นนี้เช่นกัน

ตอนนี้เขาบรรลุหัวใจกระบี่แล้ว เจตจำนงกระบี่เป็นธรรมดาที่จะแข็งแกร่งตกผลึกใสพิสุทธิ์

……

……

สวีโหย่วหรงไม่รู้ว่าปีนี้เขาอายุแค่สิบห้า แต่มองเงาหลังของเขาแล้ว ดวงตาที่มืดหม่นเล็กน้อยของนางสว่างขึ้นมาอีกครั้ง ราวกับภูเขาแห้งแล้งในที่สุดก็ได้ต้อนรับฝนตกใหม่อีกคราหนึ่ง

นางละออกจากข้างกายเขา กลับไปที่หน้าประตูหลักสุสาน ค้นหามุมที่สามารถหลบลมฝนหิมะได้ นั่งขัดสมาธิลง เอาผ้ากระสอบป่านที่กันหนาวม้วนห่มบนร่างของตัวเอง

มุมมองที่มีต่อชีวิตของเขา เหตุใดจะไม่มีอิทธิพลกับนางอย่างมากเล่า

ดังนั้น นางจึงหลับตา เริ่มพักผ่อน