ตอนที่ 310 ประหวั่นพรั่นพรึง / ตอนที่ 311 พลิกแพลง

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 310 ประหวั่นพรั่นพรึง 

 

 

ฮ่องเต้จะอย่างไรก็เป็นฮ่องเต้ เขาคือคนที่กุมอำนาจสูงสุดในแผ่นดิน มีหรือที่จะยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง 

 

 

ถึงจะผิดพลาดจริงเขาก็ไม่อาจยอมรับได้เด็ดขาด คนอื่นทำผิดได้แต่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ไม่ได้ นั่นเพียงเพราะ อำนาจและบารมีที่สูงส่งไร้เทียมทาน 

 

 

ก่อนนางจะพูดก็ได้ไตร่ตรองแล้วแต่ว่ายังคงพูดออกไป ถึงนางแทบจะไม่มีความมั่นใจ แต่ก็หวังว่าฝ่าบาทจะสงสารนาง สงสารท่านปู่นางที่ชราแล้ว อย่างน้อยก็ให้ท่านได้มีที่อยู่อย่างสงบสบายในบั้นปลาย ไม่ต้องทนทุกข์ยากอยู่ในที่เหน็บหนาวเช่นนั้น 

 

 

นางก้มหน้าน้อยๆ น้ำตาร่วงพรู หรงจิงที่มีทีท่าโกรธจัด เมื่อเห็นนางหลั่งน้ำตาเช่นนั้นก็เริ่มอ่อนลง 

 

 

เซียงฉือรู้ดีว่าหากนางโอนอ่อนต่อฝ่าบาท วันหน้าย่อมสามารถขอร้องฝ่าบาทให้อภัยโทษแก่ครอบครัวนางได้ 

 

 

นางไม่ยินยอมให้บ้านสกุลอวิ๋นถูกตราหน้าว่าต้องโทษทุจริตปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบชั่วชีวิต นางไม่อาจทนเห็นท่านปู่ผู้ชราภาพต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงตลอดไป 

 

 

สำหรับท่านปู่ที่หยิ่งทะนงในศักดิ์ศรีตลอดมา ชื่อเสียงเกียรติยศย่อมสำคัญกว่าสิ่งใด ความบริสุทธิ์สุจริตย่อมสำคัญกว่าทุกสิ่ง 

 

 

นางเป็นหลานสาวของปู่ ดังนั้นนางจึงไม่กล้าเป็นเช่นนั้นและย่อมไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น นางจึงได้บังอาจคิดหวังให้ฝ่าบาทพิจารณาพิพากษาคดีนี้ใหม่ 

 

 

แต่นางยังพูดไม่จบฝ่าบาทก็พิโรธแล้ว พิโรธจริงๆ 

 

 

ทำให้นางไม่กล้าพูดต่อ ได้แต่นิ่งเงียบคอยดูสีหน้าของหรงจิง 

 

 

หรงจิงเห็นคนร้องไห้มาไม่น้อย หัวเราะก็มาก เขาคิดว่าตนเองชินชาไปแล้ว แต่ไม่คิดว่าเซียงฉือเพียงน้ำตาร่วงเบาๆ ไม่ได้ปล่อยโฮ ไม่ได้คร่ำครวญอ้อนวอนกลับทำให้เขาปวดใจยิ่งกว่า 

 

 

หรงจิงมือถือพู่กัน ถอนใจ 

 

 

“เซียงฉือ อย่าได้เรียกร้องให้มากนัก” 

 

 

“ครั้งนี้ข้าจะถือว่าไม่ได้ยินคำพูดนี้มาก่อน เจ้าควรต้องไปอ่านประวัติศาสตร์ ให้เข้าใจว่าอะไรคือฮ่องเต้ อะไรคือขุนนาง แต่อดีตจวบปัจจุบันนักรบและบัณฑิตที่มีชื่อเสียงรับใช้ฮ่องเต้กันอย่างไร” 

 

 

เมื่อหรงจิงพูดเช่นนี้ เซียงฉือพยักหน้ายอมรับ หรงจิงไม่อยากเห็นนางอีกจึงพูดขึ้นว่า 

 

 

“เจ้าออกไปเถอะ คืนนี้ไม่ต้องรับใช้แล้ว” 

 

 

เซียงฉือถอยออกเงียบๆ แล้วหมุนกายจากไป 

 

 

หรงจิงอดไม่ได้ต้องถอนใจเบาๆ ถ้วยชาในมือค้างอยู่กลางอากาศ เขามองดูถ้วยชาที่เซียงฉือชงมาให้ มือถือค้างอยู่เช่นนั้นครุ่นคิดอยู่นาน แล้ววางลงโดยแรง 

 

 

“นางบอกว่าเคยเกลียดมาก่อน บ้านกับเมือง สงสัยว่าในใจของหญิงสาวคนนี้ บ้านคงต้องเป็นลำดับแรก” 

 

 

หรงจิงไม่ยอมให้ผู้อื่นล่วงรู้ความคิดของเขาอย่างเด็ดขาด เซียงฉือในตอนนี้จึงยิ่งไม่อาจจะรู้ได้ 

 

 

ตอนที่เซียงฉือเดินผ่านตำหนักด้านข้างได้หันกลับไปมองหรงจิง ได้เห็นตอนเขายกถ้วยชาขึ้นแล้ววางลงในที่สุด 

 

 

ส่วนนางเองบังเกิดความไม่สบายใจเป็นอย่างมาก หวาดหวั่นจนไม่อาจสงบ 

 

 

นางหันกายอีกครั้งแล้วออกไปจากหน้าตำหนักเจิ้งหยางเงียบๆ เดินกลับไปยังห้องของตน 

 

 

นางวุ่นวายใจ ในความสับสนอดไม่ได้ต้องหงุดหงิด ทำไมนางไม่บอกว่าไม่เคยเกลียดนะ แต่โบราณมาการปฏิบัติต่อฮ่องเต้ก็เฉกเช่นเดียวกับบิดา ทั้งยังต้องฮ่องเต้ก่อนบิดาทีหลัง นางร่ำเรียนตำราปราชญ์มา สมควรต้องเข้าใจเหตุผลที่ปราชญ์เมธีแต่โบราณถ่ายทอดส่งต่อกันมา 

 

 

นางนึกถึงตัวอย่างหนึ่งในตำราโบราณขึ้นมาได้ 

 

 

ในตำราว่าฮ่องเต้จัดงานเลี้ยงเหล่าขุนนาง เมื่อดื่มสุรากันไปสามรอบแล้ว ฮ่องเต้ตรัสถามเหล่าขุนนาง 

 

 

ฮ่องเต้ถามว่า 

 

 

‘ถ้าหากข้ากับบิดาของพวกท่านเกิดล้มป่วยลงพร้อมกัน ไม่ว่ายาอะไรก็รักษาไม่หายใกล้ม้วยมรณา แต่ขณะนั้นทุกท่านได้รับยามาเม็ดหนึ่ง ยาซึ่งมีเพียงเม็ดเดียว ทุกท่านต้องเลือกว่าจะให้บิดาหรือว่าข้ากินเพื่อที่จะได้มีชีวิตอยู่รอดต่อไป ไม่ทราบว่าพวกท่านจะเลือกกันอย่างไร’ 

 

 

เหล่าขุนนางใหญ่พากันอ้างอิงตำราหลักวิชา พากันแสดงความจงรักภักดีเป็นการใหญ่ แม้ว่าจะลำบากใจอย่างยิ่ง แต่ก็ตัดสินใจอย่างไม่คลอนแคลนว่าจะต้องช่วยฮ่องเต้ 

 

 

ฮ่องเต้ฟังเหล่าขุนนางพูดเสียตัวลอย แต่มีขุนศึกคนหนึ่งที่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่ต้น 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 311 พลิกแพลง 

 

 

ฮ่องเต้เห็นขุนนางใหญ่คนนั้นไม่พูดไม่จาอยู่นานรู้สึกสงสัยจึงได้ตรัสถาม ซึ่งเขาตอบว่า 

 

 

‘กระหม่อมย่อมต้องช่วยบิดา นี่ยังจะมีอะไรต้องคิดมากอีกหรือพ่ะย่ะค่ะ’ 

 

 

เขาเป็นคนเถรตรงและเป็นขุนนางสุจริต กับคำตอบของเขา บอกไม่ได้ว่าฮ่องเต้พอพระทัยหรือไม่พอพระทัย 

 

 

ในตอนนั้นฮ่องเต้องค์นั้นเพียงถามขึ้นเรื่อยเปื่อยและไม่ได้คิดลงโทษเขาด้วยเรื่องนี้ 

 

 

แต่หลังจากนั้นอีกหลายปี คำพูดนี้ยังคงเป็นเงามืดอยู่ในพระทัยของฮ่องเต้และเพราะเขาถูกย้ายมาเป็นทหารรักษาพระองค์ ทำให้ฮ่องเต้มักนอนไม่หลับด้วยกลัวว่าจะถูกเขาทำร้าย เมื่อคิดไปคิดมาแล้วจึงเลิกใช้งานขุนศึกคนนั้นอีก 

 

 

ไม่ว่าใครก็ตามย่อมต้องเกิดปมในใจต่อคำพูดลักษณะนี้ หากปมใจนี้ไม่สามารถคลายออกได้ ซ้ำยังสะสมเพิ่มขึ้นทุกวันก็จะกลายเป็นภัยร้ายแรงที่แฝงเร้นอยู่ 

 

 

โดยเฉพาะคนคนนี้คือหรงจิงที่เป็นคนมีความรู้สึกไว ทำงานด้วยความรอบคอบอย่างยิ่ง อีกทั้งยังเป็นฮ่องเต้ที่อยู่ในจุดสูงสุดอีกด้วย 

 

 

เมื่อเซียงฉือคิดถึงจุดนี้แล้วก็ยิ่งกระสับกระส่ายไม่อาจหลับลงได้ นางมองดูดวงจันทร์เศร้าหงอยเบื้องนอก ใจยังร้อนรุ่ม 

 

 

คำพูดนั้นของนาง พลั้งปากพลาดไปแล้ว นางควรจะแก้ไขอย่างไร 

 

 

เซียงฉือพลิกตัวมองเห็นโต๊ะหนังสือเบื้องหน้า ในเมื่อนอนไม่หลับก็ลุกขึ้นมาเลียนแบบหรงจิงด้วยการหัดคัดลายมือข้างหน้าต่าง 

 

 

นางไม่มีเจตนาทำตัวเลียนแบบนาย แต่ทั้งด้านในและนอกของตำหนักเจิ้งหยางนี้ล้วนมีโต๊ะหนังสือตัวหนึ่งตั้งไว้ริมหน้าต่าง เพื่อจะได้อาศัยแสงสว่างที่ส่องเข้ามาจากข้างนอกในตอนกลางวัน เป็นการลดการใช้เทียนส่องสว่างในวัง 

 

 

ฮ่องเต้พระองค์ก่อนทรงเป็นผู้มัธยัสถ์ ทั้งยังมีฮองเฮาที่ทรงพระปรีชาในการจัดการดูแล การวางแผนในลักษณะนี้จึงสามารถปรับใช้ได้อย่างยาวนาน 

 

 

เซียงฉือคลี่กระดาษ หยดน้ำสองสามหยดลงในจานหมึกแล้วฝนหมึกเบาๆ 

 

 

ความคิดนางวูบขึ้นมาแวบหนึ่ง รู้สึกว่าเรื่องนี้ทำให้นางอ่อนล้าไปทั้งกายใจ 

 

 

น้ำหมึกค่อยๆ เข้มขึ้น เซียงฉือยกพู่กันขึ้นเหนือโต๊ะ แต่ว่าตอนนี้นางไม่รู้ว่าควรเขียนอะไรดี 

 

 

ฝึกหัดเขียนดีไหม หัดเขียนอะไรดีเล่า หรืออักษรคำว่าสงบดี 

 

 

พลันเซียงฉือนึกถึงหลังจากที่หรงจิงระเบิดโทสะแล้ว ก็ไปเขียนอักษรตัวนี้กลับไปกลับมาอยู่บนโต๊ะ หรือบางทีอักษรตัวนี้จะช่วยได้กระมัง 

 

 

นางจึงจรดพู่กันลงมือเขียนอย่างจริงจัง 

 

 

ลายมือนางงดงามทีเดียว เพราะการพร่ำสอนของท่านปู่ทำให้นางเขียนอักษรได้หลายแบบ อีกทั้งยังรู้วิธีการพลิกแพลงแบบอักษร ที่ผ่านมามักรู้สึกว่าเรื่องนี้น่าสนใจ ตอนนี้นางคิดถึงลายพระอักษรของฮ่องเต้ขึ้นมา ซึ่งเป็นแบบที่นางไม่เคยเขียนมาก่อน 

 

 

ในรูปแบบตัวอักษรทั้งหลาย นางถนัดอักษรตัวบรรจงและอักษรเสี่ยวจ้วน ส่วนหรงจิงเชี่ยวชาญอักษรสิงซูและอักษรตัวบรรจง 

 

 

แต่ว่าอักษรตัวครู่ก่อน ไม่ได้เป็นทั้งแบบตัวบรรจงหรือสิงซู เพราะหากจะบอกว่าเป็นตัวบรรจงก็ออกจากตวัดเกินไป แต่หากเป็นสิงซู ก็ดูออกจะตัวกว้างใหญ่เกินไป เซียงฉือคิดมากเกินไปจนสมองเริ่มมึน 

 

 

นางสะบัดศีรษะเพื่อจะได้ลืมทุกสิ่งทุกอย่างไปเสีย จากนั้นจรดพู่กันลงไปเขียนอักษรตัวแรกออกมา 

 

 

เมื่อลงมือแล้วก็ยากที่จะหยุดจึงเขียนไปเงียบๆ เรื่อยๆ จนไม่รู้สึกถึงเวลาที่ผ่านไป ไม่รู้กระทั่งว่าเขียนได้กี่มากน้อย จนกระทั่งน้ำหมึกเบื้องหน้าเหือดแห้ง กระทั่งมีคนมาเคาะประตู 

 

 

เซียงฉือรู้สึกสงสัย ใครกันที่มาเคาะประตูในเวลานี้ 

 

 

คิดว่าฝ่าบาทคงมีเรื่องเรียกหาจึงได้ไปเปิดประตู ในวังนี้นอกจากผู้หญิงแล้วก็มีเพียงขันที นางจึงไม่ห่วงว่าบนร่างนางจะสวมเพียงชุดนอนและมีผ้าคลุมอยู่ผืนหนึ่งเท่านั้น 

 

 

เมื่อประตูเปิดออก มีขันทียืนอยู่คนหนึ่งจริงๆ เซียงฉือกำลังจะเอ่ยปากสอบถาม ก็ได้ยินเสียงคุ้นเคยเสียงหนึ่งดังขึ้นที่เบื้องหลังขันทีคนนั้น 

 

 

เซียงฉือยืนอึ้งไปทันที สีหน้าผุดความไม่เข้าใจอีกทั้งหวั่นเกรง นางตกตะลึง คิดอยากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก