เฮ่อซวินเป็นคนฉลาดที่ไม่เก่งเรื่องการสื่อสาร ให้ไปเถียงกับใครมีหวังแพ้ราบคาบ
“ได้สิ สู้ไปด้วยกันนะ” เธอตอบ
การมีเป้าหมายทำให้คนเราเห็นคุณค่าของชีวิตมากขึ้น ยิ่งมีคนที่พร้อมจะเดินไปด้วยกันก็ยิ่งดีเข้าไปอีก
เหมือนกับอารมณ์ในตอนนั้น วันที่เธอตัดสินใจจะเลี้ยงลูกตามลำพังหลังคลอด ส่วนวันนี้ก็แค่สอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากัน
โจวจิ้งลุกขึ้นปัดกางเกง “ไปขี่จักรยานกันเถอะ พระอาทิตย์ตกค่อยกลับไปอ่านหนังสือต่อ”
พวกเขาขี่จักรยานเล่นจนพระอาทิตย์ตกดินแล้วจึงแยกย้ายกันกลับบ้าน
หลังจากวันนั้น เธอมองอะไรหลายอย่างกระจ่างมากขึ้น เข้าสู่บทเด็กมัธยมหกที่ตั้งหน้าตั้งตาเตรียมสอบอย่างเต็มตัว
โจวฉีเทียนแทบไม่ได้เผชิญหน้ากับโจวจิ้งอีกเลย
เธอได้ข่าวจากป้าเฉินว่าเถาจิงกลับมาบ้านหลายครั้ง แต่เขาก็ยังใจแข็ง ซ้ำยังติดต่อเรื่องขายบ้านกับนายหน้าไว้เรียบร้อยและมีคนวางเงินจองแล้ว อีกไม่นานคงได้ย้ายออก
เธอไม่รู้ว่าธุรกิจของผู้เป็นพ่ออยู่ในสถานะไหน รู้เพียงว่าต่อให้ล้มละลายก็คงไม่ถึงขั้นต้องไปนอนใต้สะพานลอย แค่เปลี่ยนฐานะจากเศรษฐีเป็นคนธรรมดาเท่านั้น
ความสัมพันธ์ของโจวฉีเทียนกับโจวจิ้งเหมือนจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะเขามักจะยุ่งจนไม่ได้เจอหน้าลูกๆ อยู่แล้ว
โจวจิ้งรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วค่อยเปิดใจคุยกับเธออีกครั้งภายหลัง ในเมื่อต่างฝ่ายต่างก็ยังทำใจไม่ได้ การไม่เผชิญหน้ากันแบบนี้คงเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เรื่องที่เกิดขึ้นล้วนเหนือธรรมชาติ การที่เธอจะไปบอกคนอื่นว่าเคยตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เล่าเรื่องของสวรรค์เซอร์วิส หรือเรื่องที่วิญญาณของเจ้าของร่างลอยหายไประหว่างให้น้ำเกลือ อาจถูกมองว่าเครียดเรื่องสอบจนกลายเป็นบ้า
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว อาจารย์แต่ละวิชาไม่ได้บังคับให้นักเรียนทำโจทย์เยอะเหมือนเมื่อก่อน เพราะเดือนสุดท้ายแบบนี้สำคัญสุดคือการปรับสมดุลทั้งร่างกายและจิตใจ เพื่อการเตรียมตัวสอบครั้งยิ่งใหญ่
หลังผ่านการทำข้อสอบวัดระดับอยู่หลายรอบ ก็เข้าสู่โหมดเขียนเฟรนด์ชิปที่ช่วยให้ทุกคนผ่อนคลายขึ้นมาก อีกสองวันจะเข้าสู่สนามจริงแล้ว การถ่ายรูปหมู่ แจกใบจบและแจกบัตรสอบจึงถูกเตรียมไว้อย่างเรียบร้อย อาจารย์ฉีเรียกนักเรียนมัธยมหกมารวมตัวกันที่ห้องประชุมเพื่อชี้แจงข้อควรระวังในการสอบด้วยสีหน้าจริงจัง
“สามปีที่ผ่านมาพวกเธอต่างก็เหน็ดเหนื่อยเพื่อจะได้เข้าคณะที่ตัวเองชอบ ไม่รู้ว่าอนาคตจะมีโอกาสได้เจอกันอีกรึเปล่า จึงอยากให้ทุกคนจดจำช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้เอาไว้” เขาหยุดหายใจครู่หนึ่ง “หลายคนที่สนิทกันอาจไม่ได้เดินไปในเส้นทางสายเดียวกัน ความสำเร็จของบางคนอาจโรยด้วยกลีบกุหลาบ บางคนอาจพบเจอกับขวากหนาม แต่นั่นคือทางที่พวกเธอเลือกเอง แม้คะแนนจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ต่อให้เส้นทางที่เลือกจะไม่ราบรื่นและต้องพบเจอกับอุปสรรคก็ไม่ได้แปลว่ามันคือทางเลือกที่ผิด ไม่ว่าในอนาคตพวกเธอจะประกอบอาชีพอะไร ครูก็หวังว่ามิตรภาพที่มีจะไม่จางหายไปตามกาลเวลา ครูเองก็จะจดจำพวกเธอที่น่ารักแบบนี้ตลอดไป”
อาจารย์ฉีส่งยิ้มอ่อนโยน “จำไว้ว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้น ครูขออวยพรให้ทุกคนสอบได้คะแนนดีๆ ให้เป็นคนที่กล้าลุยและกล้าฝันเหมือนอย่างตอนนี้ หากวันใดรู้สึกท้อแท้สับสนขอให้คิดถึงวันที่ยังไม่รู้ชะตาชีวิตของตัวเองแต่กลับกล้าที่จะสู้และเผชิญหน้า ครูจะเป็นครูของพวกเธอตลอดไป จะคอยอวยพรอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องตื่นเต้น ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติและสู้ให้เต็มที่ก็พอ”
ทั้งห้องเงียบสงัด ก่อนจะเริ่มมีเสียงปรบมือสองสามทีแล้วตามด้วยเสียงปรบมือพร้อมกันดังลั่น
คนเราจะมีช่วงเวลาอย่างนี้สักกี่ครั้งในชีวิต ยิ่งโตคนข้างกายก็ยิ่งน้อยลง โลกก็แคบลงตามไปด้วย ต่างคนต่างก็มีหน้าที่เป็นของตัวเอง มีครอบครัวที่ต้องรับผิดชอบ จะมีสักกี่คนที่สามารถอยู่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเราตั้งแต่เช้าจรดค่ำเหมือนตอนเป็นเด็กนักเรียนแบบนี้
ความโชคดีก็คือ ช่วงที่เราไม่รู้อะไรเลยกลับไม่ต้องอยู่ตัวคนเดียว แต่มีเพื่อนอีกมากมายอยู่สู้ไปด้วยกัน
หยวนคังฉีไฮไฟว์กับเฮ่อซวินแล้วหันมาพูดกับโจวจิ้งว่า “สู้ๆ นะ”
“ต้องสู้อยู่แล้ว” เธอตอบ
วันสอบเอ็นทรานซ์ โจวจิ้งตื่นเช้ากว่าปกติครึ่งชั่วโมง
หลังตรวจบัตรสอบและเครื่องเขียนเรียบร้อย เธอก็ลงไปกินข้าวเช้าแล้วไปโรงเรียน เพราะโชคดีได้ยวู่เต๋อเป็นสนามสอบ
อาจารย์ฉียืนเช็กชื่อที่หน้าตึกเรียน เมื่อมั่นใจว่านักเรียนมาครบแล้วจึงให้ทุกคนแยกย้ายกันเข้าห้องสอบ
โจวจิ้ง เฮ่อซวิน และหยวนคังฉีต่างอวยพรกันและกัน ก่อนจะแยกย้ายตามคำสั่ง
ในห้องสอบเปิดเพลงเบาๆ คลอไปด้วยเพื่อให้นักเรียนผ่อนคลายระหว่างรออาจารย์ผู้คุมสอบ
เธอนั่งลงตามเลขที่สอบ สูดหายใจเข้าลึกด้วยความตื่นเต้นแม้จะเป็นการสอบเอ็นทรานซ์รอบที่สองแล้วก็ตาม
การสอบถูกแบ่งออกเป็นสองวัน โจวจิ้งนั่งหมุนปากกาสองบีในมือด้วยความรู้สึกเหมือนฝัน ราวกับเวลาหยุดนิ่งไม่ได้เดินไปไหน
ชีวิตในตอนนี้คือชีวิตสมบูรณ์แบบที่เธอสมควรได้รับตั้งแต่อายุสิบแปด ไม่มีฝันร้ายอย่างซูเจียงไห่หรือโจวเค่อมาคอยบั่นทอน มีแค่ชีวิตสวยงามที่เธอเป็นคนเลือกเอง
วิชาสุดท้ายที่ต้องสอบคือภาษาอังกฤษ พอถึงเวลาห้าโมงตรงอาจารย์ผู้คุมสอบก็เดินเก็บกระดาษคำตอบ
นักเรียนหลายคนพอจะคาดเดาคะแนนของตัวเองได้ แต่ก็อดไม่ไหวที่จะตรวจคำตอบกับเพื่อนๆ มีเพียงเด็กเทพอย่างโจวจิ้งที่ไม่ถามคำตอบกับใครทั้งนั้น
นักเรียนพากันโยนกระเป๋าขึ้นฟ้าด้วยความดีใจ บางส่วนก็ขมวดคิ้วทำหน้าเศร้าเพราะทำคะแนนสอบได้ไม่ดีนัก
ไม่ว่าจะอย่างไร การสอบครั้งนี้ก็เสร็จสิ้นลงแล้ว
โจวจิ้งเดินกลับห้องกิฟต์ กว่าจะไปถึงเพื่อนกว่าครึ่งห้องก็นั่งอยู่ในนั้นและกำลังวางแผนเรื่องร้านที่จะไปฉลองกันหลังสอบเสร็จ
รอให้คนในห้องมาครบพวกเขาจึงจะเปิดประชุมเรื่องการจัดงานเลี้ยงอำลา
“เป็นไงบ้าง” หยวนคังฉีถามเรื่องการสอบกับโจวจิ้ง
“เฉยๆ” เธอตอบ
“เฉยๆ ก็แสดงว่าไม่มีปัญหาอะไร” เขาดีดนิ้ว “แบบนี้ต้องฉลองหน่อยแล้ว!”
โจวจิ้งพยักหน้าแล้วมองออกนอกหน้าต่าง
ตรงโถงทางเดินเริ่มมีนักเรียนฉีกชีตเรียนโปรยลงด้านล่าง ซึ่งเป็นพิธีปลดปล่อยตัวเองหลังสอบเสร็จ
เมื่อมีคนเริ่มทำตาม เศษกระดาษจึงล่องลอยกระจัดกระจายเต็มไปหมดราวกับหิมะตก เพราะไม่มีครูคนไหนเข้ามาห้ามด้วยเข้าใจความรู้สึกของนักเรียนดี
ภายใต้ความดีใจยังมีความโศกเศร้าปนอยู่ จากตอนแรกที่คิดว่าสอบเสร็จแล้วจะหลุดพ้นจากความทุกข์ มีแต่ความสุข แต่กลับรู้สึกเคว้งคว้างว่างเปล่าโดยไม่ตั้งใจ เหมือนบางอย่างที่คุ้นเคยกำลังจะหายไปจากชีวิต
แม้เป้าหมายที่มุ่งมั่นมาตลอดจะบรรลุแล้ว แต่หลายคนกลับไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ สุดท้ายความรู้สึกเล็กๆ นี้ก็เผยออกมาท่ามกลางความเฮฮาอย่างปิดไม่มิด
หลังตกลงเวลาและสถานที่ฉลองเสร็จเรียบร้อย นักเรียนคนหนึ่งก็จดข้อสรุปขึ้นกระดานดำแล้วประกาศให้ทุกคนทราบอย่างเป็นทางการ
ทุกคนต่างปรบมือแล้วแบกกระเป๋าออกจากห้องเรียนอย่างอารมณ์ดี แม้ในใจจะยังคิดถึงเพื่อนๆ อยู่
โจวจิ้งเก็บของลงกระเป๋าอย่างช้าๆ ซึ่งมีเพียงเครื่องเขียนบัตรสอบ มือถือ และกระเป๋าสตางค์เท่านั้น ต่างจากตอนมาที่นี่ใหม่ๆมือถือของเธอเต็มไปด้วยพวงกุญแจติดกากเพชร ตุ๊กตา และอื่นๆ อีกมากมาย แต่ตอนนี้กลับเรียบง่ายจนหลายคนสงสัย
“ช้าจริง!” เฮ่อซวินบ่นขณะรอเธอเก็บของ
โจวจิ้งเดินออกจากห้องเป็นคนสุดท้าย เธอหันมองผนังห้องซึ่งมีคำขวัญให้กำลังใจแปะอยู่พร้อมกับป้ายนับถอยหลังเข้าสู่วันสอบเอ็นทรานซ์ ซึ่งกลายเป็นเลขศูนย์ตัวใหญ่ๆ แล้ว
บนกระดานดำยังมีร่องรอยของวันเวลาสอบของแต่ละวิชามุมล่างซ้ายเป็นชื่อของคนเป็นเวร ตามด้วยไม้กวาดที่วางอยู่ด้านข้าง และตารางสอนที่แปะอยู่หลังประตู
จากสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยกลับกลายเป็นจุดหลอมรวมความทรงจำ กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ตัดออกไม่ได้
โจวจิ้งปิดประตูห้องแล้วเดินลงบันไดพร้อมกับเฮ่อซวินและหยวนคังฉี
ที่หน้าตึกเจ้าเขียว มั่วลี่ และเจ้าอ้วนเจ้าผอมมายืนรออยู่แล้ว
ทุกคนแลกเปลี่ยนความรู้สึกหลังสอบเสร็จกัน ซึ่งต่างพอใจกับการสอบครั้งนี้มาก โดยเฉพาะมั่วลี่ที่ทำได้ดีเกินคาด
บังเอิญว่าห้องอื่นๆ จัดงานเลี้ยงไม่ไกลจากห้องกิฟต์ พวกเขาจึงเดินไปพร้อมกัน
เมื่อถึงหน้าประตูโรงเรียน มั่วลี่ก็สะกิดโจวจิ้งแล้วพูดเสียงเบา “เจ๊ ดูนั่น!”
เธอมองตามสายตาของอีกฝ่ายแล้วก็เห็นจิงจิงเดินออกนอกโรงเรียนพร้อมกับชายแปลกหน้าที่ไว้ผมยาวมัดจุก
“แฟนของนางเหรอ?” มั่วลี่กระซิบถาม
“แก่ไปหน่อย ไม่น่าใช่หรอก” โจวจิ้งตอบ
ที่จริงเขาไม่ได้ดูแก่มาก น่าจะประมาณสามสิบต้นๆ แต่ดูยังไงก็ไม่เหมาะสมกับจิงจิง
มั่วลี่วิเคราะห์ต่อ “เถาม่านกับจิงจิงเป็นคู่แข่งกันมาตลอดช่วงนี้ที่บ้านของเถาม่านกำลังมีปัญหา ไม่รู้ว่าจะกระทบกับการสอบหรือเปล่า”
โจวจิ้งจำได้ว่าเถาม่านอยากเข้ามหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งที่โด่งดังด้านดนตรี หากสอบได้อาจเป็นภาระใหญ่หลวงกับครอบครัว ถ้าฐานะทางบ้านของเธอยังเหมือนเมื่อก่อนก็คงไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้พ่อกับแม่กำลังจะหย่ากัน แถมยังมีเรื่องล้มละลายอีก จะให้มารับผิดชอบค่าเทอมมหาศาลแบบนี้คงเป็นไปไม่ได้