ตอนที่ 610 ตำหนิ
วันรุ่งขึ้น ณ ท้องพระโรง ฮ่องเต้ทรงออกว่าราชการและขุนนางทั้งหลายร่วมหารือกันด้วยเหตุผล วิเคราะห์สถานการณ์ปัจจุบันกันอย่างละเอียดและเริ่มถกเถียงถึงความวุ่นวายภายในแคว้น
เมื่อเทียบกับการปกครองระดับท้องถิ่นเหล่านั้น เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้ทรงสนพระทัยพฤติกรรมของพระโอรสมากกว่า ดังนั้นหลังจากเหล่าขุนนางรายงานเสร็จแล้วพระองค์ก็แสดงสีพระพักตร์เคร่งเครียดและขานเรียกชื่อองค์ชายออกมา “จ้าวหลานหยู่ ! ”
ตั้งแต่แกล้งตายเมื่อครั้งที่แล้วฮ่องเต้ก็รู้สึกรังเกียจจ้าวหลานหยู่ยิ่งกว่าเดิม
เพราะความเห็นแก่ตัว จ้าวหลานหยู่จึงให้อันหลิงเกอเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับหอพิษกู่ นี่จึงทำให้ฮ่องเต้เกิดความตื่นกลัวขึ้นมา
เดิมทีจ้าวหลานหยู่ยืนด้วยท่าทีเคารพอยู่เบื้องล่างและดูใจลอยเล็กน้อย แต่พอได้ยินฮ่องเต้เรียกชื่ออย่างกะทันหัน เขาก็ตกใจทันที ทั้งตัวสั่นสะท้านและรีบขานรับ “ทูลฟู่หวง ลูกอยู่นี่พ่ะย่ะค่ะ ! ”
ส่วนมู่จวินฮานก็มิเคยเข้าไปแทรกแซงเรื่องของเขามาก่อนจึงมิรู้ว่ากำลังคิดอันใดอยู่
“องค์ชายเจ็ด ข้าถามเจ้าหน่อย เรื่องที่ข้าให้เจ้าทำเป็นเช่นไรบ้าง ? ” ทันใดนั้นใจที่เพิ่งผ่อนคลายของจ้าวหลานหยู่ก็เคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขามิรู้ว่าจะตอบเช่นไรเพราะเดิมทีเขาทำเรื่องนั้นออกมาได้ไม่ดีเลย
เขาจึงตอบด้วยน้ำเสียงลังเล “ชะ ช่วงหลายวันก่อนลูกมิค่อยสบาย ดังนั้น…”
ยังมิทันกล่าวจบ เขาก็โดนฮ่องเต้ขัดแล้ว “พอ ! ทำได้มิดีก็ทำได้มิดี ! ” พระองค์มองลูกไม้ของจ้าวหลานหยู่ออกอย่างสมบูรณ์ ทำเรื่องนี้ได้ไม่ดีก็ช่างเถิด แต่ยังหาข้ออ้างจึงทำให้ฮ่องเต้บันดาลโทสะ
ต่อหน้าเหล่าขุนนาง ฮ่องเต้มิไว้หน้าองค์ชายแม้แต่น้อย พระองค์ชักสีพระพักตร์และตำหนิทันที “เจ้าดำรงศักดิ์เป็นองค์ชาย แม้แต่เรื่องที่ข้ามอบหมายก็ยังทำได้มิดี ! เจ้าทำให้ข้าผิดหวังเสียจริง ในฐานะองค์ชายต้องเพียบพร้อมไปด้วยความสามารถและคุณธรรม แล้วเจ้าดูตนเองสิว่าเพียบพร้อมอันใดหรือไม่ ? ”
จ้าวหลานหยู่โดนตำหนิต่อหน้าทุกคนจึงรู้สึกมิพอใจขึ้นมาทันที แต่ก็ยังมิกล้าเผยสีหน้าต่อต้านออกมา เขาทำได้แค่ก้มหน้ายอมรับถ้อยคำตำหนิอยู่เงียบ ๆ
ฮ่องเต้ตำหนิองค์ชายเจ็ดคนเดียวก็ว่าไปอย่าง ทว่าในเวลาต่อมาพระองค์ยังหันมาชื่นชมมู่จวินฮานเสียได้ “เจ้าดูอ๋องมู่สิ ไม่ว่าด้านคุณธรรมหรือความสามารถก็ทำได้ดีกว่าเจ้า งานที่ข้าให้เขาทำก็มักออกมาดีเสมอ เพียงจุดนี้องค์ชายเจ็ดก็ควรกลับไปทบทวนได้แล้ว”
มู่จวินฮานจึงรีบทูลอย่างสุภาพ “ฝ่าบาททรงชมเกินไปแล้ว กระหม่อมก็แค่ทำเรื่องที่สมควรเท่านั้น มิคู่ควรกับคำชมนี้จริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”
“หืม เจ้ามิต้องถ่อมตนไปหรอก สิ่งที่เจ้าทำอยู่ในสายตาข้าทั้งหมด เจ้าคู่ควรกับคำชมของข้าแล้ว” ฮ่องเต้ตรัสชมมู่จวินฮานมากกว่าเดิมโดยไม่นึกถึงความรู้สึกขององค์ชายเจ็ดเลย
“เช่นนั้นก็ขอบพระทัยฝ่าบาทมากพ่ะย่ะค่ะ” เมื่อหลบออกมามิได้ มู่จวินฮานจึงได้แต่ยอมรับไว้
แม้การประชุมในท้องพระโรงจบลงแล้ว ทว่าเรื่องราวในเรือนหลังยังวุ่นวายดังเดิม
วันนี้ผิงฟางหนิงและอันหลิงเกอมาอยู่เป็นเพื่อนมู่เหล่าหวางเฟยด้วยกัน พวกนางนั่งอยู่บนโต๊ะอาหารอันหรูหรา ผิงฟางหนิงนั่งอยู่ข้างซ้ายเหล่าหวางเฟย ส่วนอันหลิงเกอก็นั่งสง่างามอยู่ที่ด้านขวา
ในระหว่างนี้เหล่าหวางเฟยคอยคุยเล่นกับผิงฟางหนิงตลอด ส่วนอันหลิงเกอก็โดนเมินตลอดเวลาเช่นกัน
ผิงฟางหนิงเหลือบมองท่าทางสง่างามแต่มิเป็นที่โปรดปรานของอันหลิงเกอ ทันใดนั้นนางก็มีความสุขขึ้นมา
ใบหน้าอ่อนหวานเผยให้เห็นรอยยิ้มเย้ยหยัน หลังยกมุมปากขึ้นแล้วนางก็เอ่ยคำที่ยั่วโทสะออกมา “ช่วงนี้เชี่ยเซินเห็นพระชายาดูหดหู่ขึ้นหรือไม่ ? แม้บอกว่าพอผู้หญิงอายุมากก็เริ่มแก่ตัว แต่ถ้าดูแลตนเองให้ดีก็จักรักษาความเยาว์วัยไว้ได้แน่นอนเจ้าค่ะ”
ขณะที่กล่าว นางก็ทำให้ความงดงามของตนดูสูงส่งเหมือนกำลังยิ้มเยาะว่าอันหลิงเกอเป็นหญิงแก่ที่ไม่มีผู้ใดเอา
อันหลิงเกอมิสนใจการยั่วยุของผิงฟางหนิงแม้แต่น้อย สำหรับลูกไม้ของสตรีคนนี้ นางอ่านมันออกตั้งนานแล้ว
ขณะที่มีความคิดเช่นนี้และลองนึกย้อนถึงทุกสิ่งที่ผิงฟางหนิงทำไปก็ยิ่งทำให้นางคิดว่าอีกฝ่ายเป็นเด็กน้อยไร้สมอง
แต่ผิงฟางหนิงยังมิยอมแพ้เพราะท้ายที่สุดนางไม่อยากเห็นพระชายาอยู่ดีมีสุข
“หมู่เฟย ท่านอยากทานอันใด ลูกจักคีบให้ท่านเองเจ้าค่ะ”
อันหลิงเกอมองท่าทางอ่อนโยนของสองแม่ลูกด้วยความเบื่อหน่าย นี่เกี่ยวอันใดกับนางด้วย เพราะตัวนางมิได้คิดเอาใจมู่เหล่าหวางเฟยแม้แต่น้อย
ต่อจากนั้นไปอีกหลายวัน แม้อันหลิงเกอและผิงฟางหนิงปรากฎตัวอยู่ข้างกายเหล่าหวางเฟย แต่ผิงฟางหนิงก็จักหาทุกวิถีทางมายั่วโทสะนาง
แม้แต่มื้ออาหารค่ำของวันก่อนหรือเครื่องแต่งกายในวันนี้ ผิงฟางหนิงก็มิปล่อยไปสักเรื่อง
ทว่าอันหลิงเกอมิสนการยั่วยุของผิงฟางหนิงมาโดยตลอดจึงเป็นเหตุให้ผิงฟางหนิงยั่วโทสะแรงขึ้นกว่าเดิม พยายามคิดหาวิธีเพื่อทำให้อันหลิงเกอโมโหแล้วจักได้เปิดช่องโหว่ จากนั้นก็จะได้เสียความสง่างามต่อหน้าเหล่าหวางเฟยและท่านอ๋อง
ดูเหมือนผิงฟางหนิงมิรู้จักหลักการที่ว่าพอมาถึงจุดสิ้นสุดแล้วทุกอย่างก็จะกลับตาลปัตร เนื่องจากช่วงหลายวันนี้ผิงฟางหนิงทำเกินขอบเขตไปมากจึงทำให้เหล่าหวางเฟยเริ่มสังเกตเห็นว่าผิงฟางหนิงกำลังพุ่งเป้ามาที่อันหลิงเกอ
วันนี้ผิงฟางหนิงก็ยังหาเรื่องเหมือนเดิม “ไอหยา ! พระชายา ดูเหมือนวันนี้ท่านอารมณ์มิค่อยดี เป็นเพราะมาเจอเชี่ยเซินหรือเจ้าคะ ? เชี่ยเซินคงทำอันใดให้พี่สาวมิพอใจใช่หรือไม่ ? ”
คราวนี้อันหลิงเกอยังมิทันได้กล่าวอันใดออกมา เหล่าหวางเฟยก็เป็นฝ่ายเปิดปากก่อน ทั้งในน้ำเสียงยังแฝงไว้ด้วยความมิพอใจ “พอแล้ว วันนี้เราจะทานข้าวกันอย่างสงบสักมื้อ”
เหล่าหวางเฟยทำหน้าเคร่งขรึม ส่วนอันหลิงเกอเผยรอยยิ้มอ่อนโยนและหยิบตะเกียบคีบอาหารที่เหล่าหวางเฟยชอบที่สุดลงในถ้วยข้าวของอีกฝ่าย ด้วยเหตุนี้นางจึงได้รับสายตาเห็นชอบอันเสแสร้งจากเหล่าหวางเฟย แต่แววตาของผิงฟางหนิงกลับลุกเป็นไฟ
อันหลิงเกอรู้ดีว่าตนกำลังเล่นละครกับเหล่าหวางเฟย แต่ผิงฟางหนิงไม่รู้เรื่องเอาเสียเลย
หลายวันต่อจากนั้น ผิงฟางหนิงก็เก็บเขี้ยวเล็บเพราะสังเกตเห็นความมิพอใจของเหล่าหวางเฟย และนางก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเหล่าหวางเฟยจะปกป้องอันหลิงเกอเป็นครั้งคราว
นางจึงคิดทำตัวสงบเสงี่ยมสักสองสามวันเพื่อให้เหล่าหวางเฟยหายหวาดระแวงแล้วนางค่อยหาเรื่องอันหลิงเกอใหม่
“พระชายาเชิญท่านไปพบเจ้าค่ะ” สาวใช้บอกกับผิงฟางหนิงด้วยความเคารพ
เวลานี้ผิงฟางหนิงกำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งพลางมองใบหน้าอันงดงามของตนในกระจกด้วยสีหน้าพอใจ หลังได้ยินคำของสาวใช้แล้วนางก็เหมือนตกใจทันที “ว่าอย่างไรนะ ? พระชายาเชิญข้าไปจริงหรือ ? ”
สาวใช้คนนั้นยังมิทันได้ตอบกลับ ผิงฟางหนิงก็ฉีกยิ้มเย็นชาแล้ว “เช่นนั้นก็เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ไปรายงานให้พระชายาทราบว่าข้าจักไปคุยเป็นเพื่อนนางเอง ! ”
หลังสาวใช้ถอยออกไปแล้ว
ผิงฟางหนิงก็ออกคำสั่ง “เด็กเด็ก ! เปลี่ยนเสื้อผ้า ข้าจะไปพบพระชายาจึงต้องแต่งตัวให้งดงามเสียหน่อย”
ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ในที่สุดผิงฟางหนิงก็จัดการตนเองเสร็จ
ตอนที่นางก้าวเข้ามาในเรือนฝูหลิงก็กล่าวขึ้นว่า “เชี่ยเซินมาช้า ขอพระชายาโปรดอภัยให้ด้วยเจ้าค่ะ ! ”
แม้คำพูดนี้เป็นการขอร้อง แต่ฟังจากน้ำเสียงแล้วมิค่อยโทษตัวเองสักเท่าไร ส่วนอันหลิงเกอก็ทักทายด้วยรอยยิ้ม “ไอหยา ในที่สุดเจ้าก็มาได้ ข้ารอเสียนานเลย ดูสิ วันนี้เจ้าแต่งตัวสวยงามเสียด้วย นี่สามารถทำให้บุรุษหวั่นไหวได้เลย”
คำกล่าวทุกประโยคของอันหลิงเกอช่วยเพิ่มความเย่อหยิ่งให้ผิงฟางหนิงโดยมิต้องสงสัย ทว่าในทางกลับกันก็ยังเต็มไปด้วยการยั่วโทสะอีกด้วย