ตอนที่ 325 ฉู่ฉู่ / ตอนที่ 326 นางเป็นใคร

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 325 ฉู่ฉู่ 

 

 

 

 

 

“ข้าทำเองก็ได้ ไม่จำเป็นให้เจ้ามาวุ่นวายหรอก” น้ำเสียงเบาบางของฉู่ป๋ายพลันหยุดวาจาของนางไว้ ก่อนที่เขาจะยืดกายตรงเดินไปหยิบถ้วยชามและตะเกียบด้วยตัวเอง อาหารไม่มากนัก หากสองคนทานก็อาจจะต้องกระเบียดกระเสียรอยู่บ้าง เช่นนั้นอวี้อาเหราจึงรีบไปขวางหน้าเขาไว้อย่างไม่พอใจนัก “หากเจ้าจะกินก็ไปทำกินเองสิ นี่มันของข้า” 

 

 

ฉู่ป๋ายชะงัก ทันใดนั้นก็เอ่ยขึ้นด้วยวาจาแผ่วเบาว่า “ข้าทำไม่เป็น” 

 

 

“เจ้าทำไม่เป็น?” อวี้อาเหราหัวเราะน้อยๆ นี่ก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไรนัก ตั้งแต่เล็กเขาก็อยู่อย่างสุขสบายในจวนเซิ่นอ๋อง ไหนเลยจะทำอาหารเป็นเล่า นางจึงตั้งใจที่จะพูดขึ้นเพื่อแกล้งเขา “เช่นนั้นเจ้าก็ให้หานสือมาทำกับข้าวให้เจ้ากินก็ไม่ได้แล้วหรือ” 

 

 

“เจ้ายังจะพูดถึงหานสืออีกหรือ เขาถูกเจ้าลากไปดูแลเจาเอ๋อร์แล้ว ดึกดื่นค่อนคืนเช่นนี้ หรือว่าเจ้าจะให้ข้าไปเรียกเขาถึงในห้องอีก?” ฉู่ป๋ายกล่าว 

 

 

ไปเรียกถึงในห้อง? อวี้อาเหราพลันนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ที่พวกหานสือเห็นว่าพวกเขากำลังทะเลาะกันในโปงผ้าห่มขึ้นมา เช่นนั้นใบหน้าก็แดงซ่าน รีบเลิกคิดถึงเรื่องนั้นอีก ก่อนที่นางจะหยิบชามของเขามาตักข้าวใส่แล้วส่งให้ด้วยตัวเอง ใบหน้าเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มล้ำลึก “ที่ให้หานสือไปดูแลเจาเอ๋อร์นั้นเป็นข้าที่ทำไม่ถูก ตอนนี้ข้าก็ไถ่โทษให้เจ้าแล้ว เจ้าโตแล้วก็คงจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับข้าหรอกนะ หากอยากกินข้าวก็กินเถิด ข้าจะไม่พูดอะไรอีกแล้ว” 

 

 

ฉู่ป๋ายแค่นเสียงเย็นชาออกมา  

 

 

อวี้อาเหราเห็นใบหน้าด้านข้างที่เย็นชาของเขาแล้ว ในใจของนางก็นึกแค้นจนต้องกัดฟันกรอด 

 

 

หลังจากทานอาหารจนเสร็จเรียบร้อย ทั้งสองก็กลับห้องไปพักผ่อน และแน่นอนว่าจะต้องกลับไปห้องของตัวเอง 

 

 

ได้พักฟื้นอยู่ที่นี่หลายวัน เมื่อเห็นว่าอาการเจ็บของเจาเอ๋อร์ค่อยทุเลาลงแล้ว ทั้งหมดก็พากันกลับเมืองเฟิ่งเฉิง ก่อนที่จะจากไปนั้นอวี้อาเหราก็นำโฉนดที่ดินคืนหลงจู๊ของโรงเตี๊ยม และจ่ายค่าใช้จ่ายของหลายวันมานี้ให้เขาทั้งหมด นี่ก็ไม่ใช่เพราะฉู่ป๋ายเอ่ยตักเตือน แต่นางนั้นก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะเอาเปรียบอยู่แล้ว นางเพียงแต่อยากที่จะสั่งสอนหลงจู๊เท่านั้น 

 

 

เดินทางเป็นเวลาสองวัน ยามนี้ก็ใกล้ที่จะถึงเมืองแล้ว 

 

 

ทันใดนั้นเองรถม้าก็หยุดนิ่งลง คนทั้งหมดพากันมองออกไปด้านนอกอย่างแปลกใจ ก่อนจะเห็นหญิงสาวหน้าตาสะคราญโฉมยืนอยู่ใต้ต้นไม้หน้าประตูเมือง นางกำลังจูงม้าตัวหนึ่งแล้วเดินมาทางที่พวกเขาอยู่ สายตาสาดส่องไปทั่วทุกสารทิศไม่หยุด เมื่อเห็นรถม้าของพวกเขาแล้ว ใบหน้าก็พลันฉายรอยยิ้มออกมาเต็มที่ 

 

 

หานสือหยุดรถม้าลง ก่อนจะมองไปยังหญิงงามตรงหน้าอย่างยินดี ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากทักก็ถูกนางทำทีให้เขาเงียบเอาไว้ 

 

 

อวี้อาเหราและฉู่ป๋ายนั่งอยู่ในรถม้าคันนั้น หญิงงามผู้นั้นมีท่าทีที่จะพุ่งมายังทิศทางที่พวกเขาอยู่ แต่เพราะไม่รู้จักนาง ดังนั้นจึงหันไปมองฉู่ป๋ายที่อยู่ข้างๆ ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงรอยยิ้มอ่อนโยนซึ่งหาได้ยากยิ่ง 

 

 

อวี้อาเหราชะงัก “เจ้ารู้จักนางหรือ” 

 

 

“รู้จัก” ฉู่ป๋ายพยักหน้าอย่างหนักแน่น  

 

 

เมื่อหญิงงามได้ยินเสียงนั้น นางก็รีบเลิกม่านเข้ามาด้านในตัวรถทันที ก่อนที่จะพุ่งกายเข้าไปกอดฉู่ป๋ายอย่างยินดีเป็นอย่างยิ่ง “ฉู่ฉู่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว ก่อนหน้านี้ข้าได้ยินว่าท่านออกนอกเมืองไป ทำให้ข้าต้องรอท่านนานถึงสองวัน อ๊ะ ไม่สิ เหตุใดกอดแล้วท่านจึงผอมกว่าแต่ก่อนอีกเล่า…” 

 

 

“อะแฮ่ม…แน่นอนว่าที่เมืองตะวันตกนั้นเทียบไม่ได้กับเมืองเฟิ่งเฉิง จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะผอมลงไปมาก” สีหน้าของฉู่ป๋ายเผยให้เห็นถึงความอิดออดที่ยากจะปกปิดอยู่บ้าง แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ผลักหญิงสาวออก ทำเพียงหัวเราะเสียงขรม “เจ้านี่ก็ยังไม่รู้จักวิธีเรียกคนอีก เป็นเช่นนี้เสมอเลยนะ โตไม่รู้จักโต” 

 

 

“ข้าเรียกท่านว่าฉู่ฉู่แล้วจะทำไมหรือ” หญิงสาวว่าเสียงเย็น ไม่เห็นแก่หน้าของเขาเลยแม้แต่น้อย 

 

 

“ก็ได้ เจ้าอยากเรียกแบบไหนก็เรียกเถิด” ทว่าฉู่ป๋ายกลับยอมตามใจอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน หากเป็นคนอื่นเขาคงจะโยนนางออกนอกรถไปเสียแล้วกระมัง 

 

 

ฉู่ฉู่? เหตุใดถึงเรียกขานอย่างสนิทสนมเช่นนี้นะ… 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 326 นางเป็นใคร 

 

 

 

 

 

อวี้อาเหรานั่งฟังอยู่ข้างๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเหยียดริมฝีปากเล็กน้อย ถลึงตาแล้วมองหญิงสาวตรงหน้าอย่างพินิจพิเคราะห์ 

 

 

นางสวมชุดกระโปรงสีเขียว ผมสีดำปลิวสยายไปด้านหลัง ราวกับมีหมึกดำย้อมแต้ม เป็นเสื้อผ้าที่ดูเงียบง่าย ไม่ยุ่งยากและซับซ้อน ทว่ากลับทำให้ดวงหน้าของนางงดงามโดดเด่นยิ่งนัก แม้เสื้อผ้าจะสามัญธรรมดา แต่เมื่อสวมใส่อยู่บนร่างของนางแล้วก็ยิ่งทำให้ดูงดงามเพิ่มมากขึ้น ทั่วทั้งร่างยังเปล่งประกายความสูงศักดิ์แบบที่หาไม่ได้ในคนธรรมดา 

 

 

เมื่อหญิงสาวเช่นนี้อยู่ในอ้อมกอดของฉู่ป๋าย ก็ยิ่งทำให้ดูงดงามเหมาะสมกันดียิ่งนัก 

 

 

อวี้อาเหรายังไม่เคยพบใครที่เรียกขานเขาเช่นนี้มาก่อน แม้แต่อวิ๋นเซิ่นที่มองดูแล้วน่าจะสนิทสนมกับเขาอยู่มากโขทีเดียว แต่นางก็ยังคงรักษาระยะห่างอยู่ช่วงประมาณหนึ่ง ทว่าหญิงสาวตรงหน้านี้แทบจะทรุดตัวนั่งลงที่ตักของเขาอยู่แล้ว 

 

 

นางเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงมีสัมพันธ์อันดีต่อฉู่ป๋ายเช่นนี้? 

 

 

นางเผลอคาดเดาสถานะของอีกฝ่ายอยู่ชั่วขณะ เมื่อสายตามองเห็นทั้งสองกอดเกี่ยวกันอย่างสนิทสนม ก็รู้สึกบาดตาบาดใจยิ่งนัก นางจึงสูดลมหายใจเข้าอย่างเคืองๆ พยายามบังคับให้มีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้า 

 

 

“ฉู่ฉู่ คนด้านข้างนั้นเป็นใครกันหรือ” หลังจากที่ได้สังเกตเห็นอวี้อาเหราแล้ว หญิงสาวผู้งดงามก็หรี่ดวงตาลงในทันที ทั่วทั้งใบหน้าเต็มไปด้วยความระแวดระวังขณะที่จ้องมองนาง 

 

 

“นางคือคุณหนูรองแห่งจวนหลิงอ๋อง” ฉู่ป๋ายตอบคำ 

 

 

“คุณหนูรอง?” หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็พยักหน้าอย่างเข้าใจในทันที แต่ดวงตาก็ยังคงหรี่มองฉู่ป๋ายต่อไป “ข้าก็ยังคิดว่าท่านไปคนเดียวเสียอีก ที่แท้ก็ไปกับคุณหนูของจวนอ๋องผู้หนึ่งหรอกหรือ ช่างมีความสุขเสียจริงนะ” 

 

 

“อย่ากล่าววาจาเหลวไหล” ฉู่ป๋ายส่ายหน้า “พวกเราแค่พบเจอกันที่นั่น เช่นนั้นก็เลยกลับมาพร้อมกันเท่านั้นเอง” 

 

 

“เช่นนี้เองรึ ข้าก็เข้าใจท่านผิดไปเสียแล้ว ยังนึกว่าท่านจะมีรักอื่นได้รวดเร็วปานนี้เสียอีก…” เมื่อหญิงสาวได้ยินเขาว่าเช่นนั้นจึงค่อยยิ้มออกมาอย่างวางใจ เห็นฉู่ป๋ายฝืนยิ้มออกมาอย่างระอา ทว่าในสายตากลับเต็มเปี่ยมด้วยความรักใคร่เอ็นดู 

 

 

“จริงสิ เจ้าก็บอกว่าอีกพักหนึ่งถึงจะกลับมามิใช่หรือ เหตุใดถึงกลับมารวดเร็วถึงเพียงนี้เล่า” 

 

 

“เดิมทีข้าก็คิดว่าจะกลับมาช้ากว่านี้ แต่ได้ยินมาว่าร่างกายของท่านแย่ลง เช่นนั้นถึงได้รีบกลับมาก่อน หรือว่าที่ข้ากลับมาเร็วเช่นนี้จะทำให้ท่านขัดข้องอันใดรึ?” หญิงสาวกล่าว เชิดใบหน้าขึ้นแล้วจ้องมองเขาด้วยสายตาแฝงความหมาย 

 

 

“ไม่หรอก เจ้ากลับมาได้เวลาพอดี” ริมฝีปากของฉู่ป๋ายยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม 

 

 

“เช่นนั้นก็ดี” หญิงสาวพยักหน้าลงอย่างพึงพอใจ ก่อนจะมองไปยังอวี้อาเหราอีกครั้ง “ครั้งนี้ดีที่มีคุณหนูรองช่วยดูแลฉู่ฉู่ของเรา แต่ตอนนี้คงไม่รบกวนท่านแล้ว มีข้าดูแลท่านแล้วอย่างไร” 

 

 

“เจ้าทำอะไรน่ะ” ฉู่ป๋ายฟังนางพูดแล้วรู้สึกแปลกใจนัก 

 

 

“ก็ไม่ได้ทำอะไรนี่ โอ๊ย ท่านอย่ายุ่งนักเลยน่า” หญิงสาวทำท่าให้เขาเงียบลง เขาเองก็นั่งลงข้างๆ เงียบๆ ไม่พูดไม่จา มือที่โอบกอดนางนั้นก็เบามือและระมัดระวังอย่างเห็นได้ชัด ราวกับกลัวว่านางจะหลุดออกจากอ้อมแขนไป ในยามนี้ฉู่ป๋ายอ่อนแอนัก และยังไม่สามารถออกแรงได้ตามใจนึก แต่เขาก็ยังเม้มริมฝีปากไม่พูดไม่จา 

 

 

การกระทำเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ต่างก็อยู่ในสายตาของอวี้อาเหราเสียทั้งหมด นางนั่งมองคนทั้งสองเงียบๆ ไม่เอ่ยวาจาใจ 

 

 

หญิงสาวมองมาที่นางอีกครั้ง “วันนี้ข้าได้เตรียมอาหารและสุราเอาไว้ที่หอจุ้ยเซียนแล้ว หากคุณหนูรองไม่รังเกียจ ก็เชิญไปทานด้วยกันเถิด” 

 

 

“ข้า…” อวี้อาเหรากำลังจะออกปากปฏิเสธ ทว่าหญิงสาวก็เอ่ยแทรกขึ้นตัดบทนางเสียก่อน “ในเมื่อไม่กล่าวอะไร เช่นนั้นข้าก็จะทึกทักเอาว่าเจ้าตกลงก็แล้วกันนะ ฉู่ฉู่ เจ้าว่าอย่างไร” 

 

 

“แล้วแต่เจ้าเถิด” ฉู่ป๋ายไม่ได้เอ่ยปฏิเสธอะไร 

 

 

เมื่ออวี้อาเหราเห็นดังนั้นก็จำต้องหันไปสั่งชิงอวิ๋นให้กลับไปส่งเจาเอ๋อร์ที่จวนก่อน 

 

 

หญิงสาวมองออกไปนอกรถ “หานสือ ไปหอจุ้ยเซียนเถิด”