ตอนที่ 318 คดีบ้านสกุลจิน / ตอนที่ 319 ตอบความ

บุปผาเคียงบัลลังก์

ตอนที่ 318 คดีบ้านสกุลจิน 

 

 

การที่เซียงฉือไม่พูดอะไร ก็เพราะนางคิดถึงเรื่องที่ซูกงกงบอกแก่นางในวันนี้ขึ้นมา 

 

 

‘ให้ตายเถอะ สมแล้วที่ถูกฝ่าบาทตรัสเรียกว่าเจ้าเด็กต๊อง ทำเอาข้าต้องเหงื่อแตกไปเพราะเจ้านี่แหละ’ 

 

 

ซูกงกงเหลือบตามองเซียงฉืออย่างเลื่อมใส 

 

 

เซียงฉือได้ยินแล้วก็ไม่กล้าอวดดีรีบคารวะกลับปากพร่ำบอกแต่ว่ามิบังอาจ มิบังอาจ 

 

 

แล้วซูกงกงก็บอกเล่าที่มาที่ไปของเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้เซียงฉือฟังอย่างหมดเปลือก 

 

 

‘วันนี้เหลียนชินอ๋องเสด็จกลับมาถวายรายงานเรื่องที่พระองค์ได้รับราชโองการให้เสด็จไปตรวจสอบเรื่องการทุจริตในแถบตะวันตกเฉียงเหนือและเฉียงใต้ เมื่อกลับมาถวายรายงาน สวรรค์ช่วยด้วยเถิด จำนวนเงินมหาศาลจนน่าตกใจจริงๆ และที่สำคัญที่สุด ตระกูลฝั่งมารดาของจินกุ้ยเฟยนั่นแหละที่เป็นเสือร้ายตัวใหญ่ที่สุด’ 

 

 

‘จินกุ้ยเฟยเป็นคนข้างพระเขนยของฝ่าบาท พระองค์จึงทรงพระพิโรธอย่างยิ่ง’ 

 

 

เมื่อเซียงฉือคิดถึงคำพูดในตอนนั้นแล้ว นางจึงกระจ่างใจถึงจุดประสงค์ที่กุ้ยเฟยเรียกนางมาในวันนี้ 

 

 

ซูกงกงเองแต่ไรมาเป็นคนที่ทำงานหนักแน่นไม่แย้มพรายอะไรง่ายๆ หากเป็นคนอื่นเขาจะไม่พูดอะไรมากเช่นนี้ 

 

 

แต่พวกเขาต่างล้วนเป็นคนข้างกายฝ่าบาทจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไร ทั้งซูกงกงเองก็ปรารถนาจะสร้างไมตรีกับนาง เพราะเซียงฉือเป็นคนแรกที่ฝ่าบาทพาไปยังหอทิงเฟิงด้วยพระองค์เอง 

 

 

การได้รับสิทธิ์เช่นนี้สมควรที่ซูกงกงจะไปตีสนิทด้วย ไม่ว่าจะเพราะแม่นางน้อยนี้มีฝีไม้ลายมือหรือเป็นเพราะฝ่าบาททรงมีใจกับนาง ท้ายสุดยังคงเป็นเจ้าเด็กคนนี้ที่ได้รับพระกรุณาอย่างยิ่ง 

 

 

เซียงฉือไม่รู้เท่าทันการคิดคำนวณของซูกงกง เข้าใจว่าซูกงกงดีกับนางเสมือนเป็นพวกเดียวกันจึงเกิดความซาบซึ้งใจอย่างมาก 

 

 

เมื่อคิดถึงคำพูดของซูกงกงแล้วจึงมองดูหน้าตาของหวังหมัวหมัวในวันนี้อีกครั้ง นางครุ่นคิดในใจแล้วก็ประจักษ์แจ่มชัด 

 

 

ฝ่าบาทเคยตรัสกับนางว่าเมื่อเป็นข้าราชสำนักสตรีงานอักษรแล้วจะไม่สะดวกเข้าไปฝ่ายในได้บ่อยนัก เพราะพวกสนมกำนัลทั้งหลายแหล่เหล่านั้นจะใช้สารพัดวิธีการเพื่อเค้นหาข่าวคราวจากนาง 

 

 

เซียงฉือซึ่งไม่เข้าใจในตอนแรก ถึงบัดนี้ได้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแล้ว 

 

 

นางไม่เคยติดค้างอะไรกุ้ยเฟยมาก่อน เหตุใดนางต้องทำงานให้กับกุ้ยเฟยด้วย ทั้งกุ้ยเฟยยังพูดถึงท่านปู่นางอย่างไร้มารยาทแบบนั้น ไม่มีทางที่นางจะโง่ถึงกับจะเอาตัวเองไปเสี่ยงเพื่ออีกฝ่าย 

 

 

ถึงแม้เซียงฉือจะเข้าใจความโยงใยนั้นแล้วแต่ก็ไม่อาจที่จะไม่ตอบหวังหมัวหมัวกับจินกุ้ยเฟย 

 

 

นางจึงทำเป็นไม่รู้เรื่องราวอะไร ทำตัวหดลีบลงอย่างหวั่นเกรง 

 

 

“หมัวหมัวกำลังพูดเรื่องอะไรเจ้าคะ หลายวันก่อนบนโต๊ะพระอักษรมีรายงานถามทุกข์สุขจากท่านขุนพลจินวางอยู่ ในนั้นเพียงสอบถามถึงกุ้ยเฟยว่าทรงสุขสำราญดีหรือไม่ ข้าไม่เห็นว่าจะมีความผิดปกติที่ตรงไหน” 

 

 

“ไม่ทราบว่าหวังหมัวหมัวอีกทั้งกุ้ยเฟยต้องการถามถึงเรื่องอะไรหรือเจ้าคะ” 

 

 

น้ำเสียงเซียงฉือแฝงความหวาดหวั่นทำให้กุ้ยเฟยพอใจอย่างยิ่ง แต่คำตอบของนางทำให้หวังหมัวหมัวต้องขมวดคิ้ว 

 

 

นางเห็นเซียงฉือไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องเหลียนชินอ๋องก็รู้สึกผิดปกติจึงถามกลับไปด้วยท่าทางขึงขัง 

 

 

“วันนี้เหลียนชินอ๋องเข้าวังสนทนากับฝ่าบาทเรื่องอะไรบ้าง เจ้าบอกมาให้หมดแต่โดยดี” 

 

 

เมื่อได้ยินเช่นนั้นเซียงฉือก็รู้ว่านางคาดเดาได้ถูกต้องทั้งหมด จู่ๆ กุ้ยเฟยมาไม้นี้ในค่ำคืนนี้ก็เพื่อต้องการจะเค้นเอาความคิดอ่านของฝ่าบาทออกมาจากนาง 

 

 

นางใคร่ครวญว่าควรจะตอบอย่างไร หากตอบว่าเขาไม่ได้พูดถึง หวังหมัวหมัวย่อมต้องไม่เชื่อ เรื่องนี้จะต้องครึกโครมใหญ่โตที่ทางตะวันตกเฉียงเหนือเป็นแน่ และเมื่อเหลียนชินอ๋องได้เสด็จกลับเข้าวังเพื่อทูลรายงานแล้วจะไม่พูดถึงได้อย่างไร 

 

 

แต่หากบอกว่ามีพูดถึง แล้วจะบอกถึงปฏิกิริยาของฝ่าบาทว่าอย่างไร 

 

 

หรือจะบอกไปว่าตอนนั้นตนเองไม่ได้อยู่ที่นั่นดี 

 

 

สมองเซียงฉือหมุนติ้วทำงานขึ้นอย่างรวดเร็ว 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 319 ตอบความ 

 

 

เซียงฉือคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่ลังเล 

 

 

“ฝ่าบาทกับเหลียนชินอ๋องทรงรักใคร่สนิทสนมกันมาก วันนี้เหลียนชินอ๋องเสด็จกลับเข้าราชสำนักยังไม่ทันได้เสด็จกลับตำหนักตนก็ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทเสียก่อนเมื่อเห็นชัดถึงความสนิทสนมของทั้งสองพระองค์แล้ว ข้าจึงคิดว่าทั้งสองพระองค์จะต้องมีเรื่องสนทนากันมากจึงไม่ได้เข้าไปรบกวนเจ้าค่ะ” 

 

 

“อีกทั้งซูกงกงก็ยังอยู่คอยถวายการรับใช้อยู่ตรงนั้น ข้าจึงไปพักผ่อนเจ้าค่ะ” 

 

 

ขณะนั้นเซียงฉือไม่อาจที่จะไม่พูดอะไรและไม่อาจจะบอกไปเสียทุกเรื่องได้ แม้ว่าซูกงกงจะได้เล่าเรื่องราวความเป็นไปในเรื่องนี้แก่นางแล้ว แต่นางไม่คิดจะพูดออกไปอย่างหมดเปลือก 

 

 

จินกุ้ยเฟยฟังคำพูดนั้นแล้วความดูแคลนปรากฏขึ้นเต็มใบหน้า นางหันไปมองหวังหมัวหมัวที่ด้านข้าง เซียงฉือพูดออกมาอย่างไม่มีช่องโหว่ทั้งมีหลักฐานและเหตุผลเช่นนี้แล้ว พวกนางจึงไม่สะดวกจะพูดอะไรมากความอีก 

 

 

เซียงฉือเฉลียวฉลาดมาก นางตอบเช่นนี้เป็นการแสดงว่าเรื่องราวในวันนี้ฝ่าบาทไม่ได้เลี่ยงหลบนางและนางก็ไม่ได้มีเจตนาหลบเลี่ยงจากเรื่องนี้เช่นกัน เพียงแต่นางไม่ได้ให้ความสนใจ ก่อนที่กุ้ยเฟยจะเรียกหานางนางไม่ได้ให้ความสนใจเลยจึงไม่อาจรู้ได้ 

 

 

แต่ถ้าหากกุ้ยเฟยหลอกล่อนางด้วยผลประโยขน์ ไม่แน่ว่าอาจได้ผลลัพธ์อย่างไรบ้าง 

 

 

เซียงฉือไม่ได้พูดอะไรมาก แต่หวังหมัวหมัวคนฉลาดฟังเข้าใจ 

 

 

หวังหมัวหมัวเมื่อเห็นแววตากุ้ยเฟยก็ตระหนักได้ว่าเปลวไฟจากภายในกำลังใกล้ทะลักออกมาแล้ว นางจะยอมให้กุ้ยเฟยทำอะไรตามใจไม่ได้จึงสบสายตานางแล้วส่ายหน้าอย่างเต็มที่ 

 

 

แล้วมองไปยังเซียงฉือที่คุกเข่าอยู่อย่างเชื่อฟังยิ่ง พูดยิ้มๆ ว่า 

 

 

“ช่างเหมาะเจาะเสียจริงๆ ทำให้แม่นางเซียงฉือไม่ได้รับรู้อะไรเลย แต่ว่าฝ่าบาททรงพอพระทัยในตัวเจ้าไม่น้อย ข้ารู้มาว่ายังไม่เคยมีข้าราชสำนักสตรีที่ข้างวรกายพระองค์จะอยู่ได้นานเกินสามเดือน ตอนนี้แม่นางก็ไปอยู่ได้ครึ่งเดือนกว่าแล้ว ฝ่าบาทมีอะไรที่ไม่ทรงพอพระทัยหรือไม่” 

 

 

เซียงฉือถอนใจยาว แต่ยังคงนอบน้อมอยู่ในที พูดขึ้นด้วยความหวาดกลัวว่า 

 

 

“ฝ่าบาทเคยตรัสกับข้าว่า เรื่องที่เป็นปัญหาที่สุดสำหรับพวกที่อยู่ใกล้ชิดพระองค์คือการไปใกล้ชิดสนิทสนมเกินไปกับราชสำนักฝ่ายหน้าและฝ่ายใน เมื่อไรที่ฝ่าบาททรงพบว่าข้าราชสำนักสตรีนำเรื่องความเป็นอยู่และกิจวัตรของพระองค์ไปบอกกับคนอื่น พระองค์จะทรงเปลี่ยนข้าราชสำนักสตรีทันที ดังนั้นข้าจึงต้องใส่ใจระมัดระวังตลอดมา ทั้งยังไม่ค่อยออกนอกประตูตำหนักเจิ้งหยางอีกด้วย” 

 

 

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เซียงฉือไม่ได้เสแสร้งแม้แต่น้อย เพราะล้วนเป็นเรื่องที่ฝ่าบาทเคยบอกไว้ทั้งสิ้น และเป็นเรื่องที่ทุกคนรู้กันดีในบรรดาเรื่องมากมายที่พระองค์เคยบอก แต่ก็เป็นเรื่องที่คนอีกมากไม่สามารถปฏิบัติได้ 

 

 

ดังเช่นที่เซียงฉือกำลังประสบอยู่ในขณะนี้ หากว่าไม่พูดเกรงว่าชีวิตจะหาไม่ แต่ถ้าพูดออกไปก็จะเป็นการผิดในเรื่องต้องห้าม 

 

 

แต่ที่นางพูดเช่นนี้เพราะยังมีอีกจุดประสงค์หนึ่ง เพื่อจะให้กุ้ยเฟยเชื่อใจว่านางไม่ได้ปิดบังแม้แต่น้อย 

 

 

เซียงฉือหยุดลงครู่หนึ่ง 

 

 

“ฝ่าบาทตรัสไว้เช่นนี้ แสดงว่าข้าราชสำนักสตรีล้วนกระทำดังว่า ทำให้ฝ่าบาททรงหวาดระแวงอย่างหนัก วันนี้จึงทรงพาข้าไปยังหอทิงเฟิงอย่างเปิดเผย ประการแรกเป็นการตรวจสอบว่าข้าเป็นคนของใคร ประการที่สองเพื่อจะให้ข้ารู้ว่ามีเพียงต้องพึ่งพาฝ่าบาทเท่านั้นจึงเป็นทางออกทางเดียวที่มีอยู๋” 

 

 

สีหน้าของหวังหมัวหมัวที่มองดูจินกุ้ยเฟยนั้นเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน เพราะรู้ว่านางพูดเช่นนี้ต้องการจะให้พวกนางเข้าใจว่า เป็นเพราะฝ่าบาทไม่ชอบบรรดาข้าราชสำนักสตรีที่กุ้ยเฟยกับซูเฟยส่งไปไว้ข้างกายพระองค์ ดังนั้นจึงสับเปลี่ยนอยู่เสมอๆ 

 

 

เซียงฉือเพื่อจะให้ตนเองลดการติดต่อกับกุ้ยเฟยจึงได้ซ่อนเงื่อนงำไว้ และวิธีนี้ก็เป็นการสยบศัตรูไว้ก่อน 

 

 

เป็นการอธิบายได้เหมาะเจาะถึงกิริยาที่ผิดปกติของฝ่าบาทในวันนี้ ส่วนกุ้ยเฟยจะเชื่อหรือไม่ ยังคงต้องให้ยาแรงอีกสักขนานหนึ่ง