บทที่ 119 คืนที่ดาวเต็มฟ้า

ย้อนเวลาแค้น (重生之千金有点狠)

บทที่ 119
คืนที่ดาวเต็มฟ้า

“ไม่ต้องกินแล้ว…” มู่หรงเสวี่ยห้ามชูอี้เสิ่นที่ยังคงกินอยู่ เขากินมากพอสำหรับสองคนแล้ว ตอนแรกเธอคิดว่าเขาหิวจึงกินมากกว่าปกติ ไม่คิดว่าเขาจะกินอาหารทั้งหมดที่อยู่บนโต๊ะ เธอคิดว่าเขาพูดเล่นแต่เธอก็ห้ามเขาจริงๆ

“อาหารอร่อยๆแบบนี้ไม่ได้หาได้บ่อยๆนะ น่าเสียดายจะตาย…” ชูอี้เสิ่นมองไปที่อาหารที่อยู่เต็มโต๊ะด้วยความเสียดาย

“ไม่ต้องเสียดายหรอก ใช่ว่าต่อไปพี่จะไม่ได้กินอีกซะหน่อย…” อีกอย่างเธอก็พร้อมที่จะเปิดตัวผักและผลไม้ของมิติลับแล้ว ด้วยคุณภาพของมิติลับไม่นานก็จะต้องโด่งดังแน่ๆ พอถึงตอนนั้นทุกคนก็จะได้กินอาหารแบบนี้ด้วยเหมือนกัน

ดวงตาของชูอี้เสิ่นเปล่งประกาย “ต่อไปเธอจะทำให้ฉันกินอีกงั้นเหรอ?”
มู่หรงเสวี่ยเปิดปากอย่างช้าๆ “คือ…ฉัน…” เธอไม่ได้หมายความแบบนั้น

“เยี่ยมเลย เธอพูดแล้วนะอย่าผิดสัญญานะ!”
รอยยิ้มของเขาช่างสดใสจนฟันขาวเปล่งประกายแสบตาซึ่งทำให้เธอต้องกลืนคำพูดที่อยากจะอธิบายกลับเข้าไป ยังไงซะในฐานะเพื่อน มันก็เป็นเรื่องปกติที่จะทำอาหารให้เขากิน อย่างอ้ายหลี่ยังให้เธอทำอาหารให้กินอยู่บ่อยๆเลย

หลังจากนั้นสักพักชูอี้เสิ่นก็ช่วยมู่หรงเสวี่ยล้างถ้วยชาม เขามองนาฬิกาที่ข้อมือ นี่เพิ่งจะทุ่มเดียวเอง “เสี่ยวเสวี่ยไปกันเถอะ!”

“ฮ่ะ?! เราจะไปไหนกัน?” มู่หรงเสวี่ยถูกดึงไปทั้งๆที่ยังถามอยู่

ชูอี้เสิ่นหันกลับมายิ้ม “วันนี้วันเกิดเธอแล้วจะไม่มีเค้กได้ยังไง?”
เค้กงั้นเหรอ?! เธอรู้สึกสั่นในหัวใจ ถึงแม้วันนี้เธอจะไม่ได้อยู่กับชางกวนโม่แต่เธอก็ยังมีเพื่อนดีๆคอยอวยพร
ชูอี้เสิ่นขับพาเธอไปที่ร้านเค้ก มู่หรงเสวี่ยเลือกเค้ก ช็อคโกแล็ตมูสส์ชิ้นเล็กซึ่งขนาดประมาณลูกฟุตบอล ชูอี้เสิ่นไม่ค่อยพอใจเท่าไรและอยากที่จะสั่งเค้กหมดทั้งร้าน มู่หรงเสวี่ยดึงเขาออกมาพร้อมสีหน้าอายๆ

มู่หรงเสวี่ยขึ้นมาในรถและเริ่มบ่น “พี่จะซื้อเค้กทั้งร้านไปทำไมทั้งๆที่กินก็ไม่หมด…”

ชูอี้เสิ่นมองท่าทางน่ารักของเธอและพูดติดตลกออกมา “แล้วจะให้ฉันทำยังไงล่ะ? ฉันคิดว่าแม้จะซื้อเค้กมาจากทั่วทั้งโลกก็ยังบอกความรู้สึกของฉันไม่ได้…”

มู่หรงเสวี่ยประหลาดใจ พี่ชู เป็นไปได้เหรอ?
แต่แล้วเขาก็หัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า! เป็นอะไรเหรอ? ถึงกับช็อกเลยเหรอ! เธอนี่น่าตลกจริงๆ นี่เธอคิดว่าฉันคิดอะไรกับเธองั้นเหรอ…”

เข้าใจผิดไปเองเหรอเนี่ย?! น่าอายจริงๆ เธอคิดแบบนั้นจริงๆ ทันใดนั้นหน้าของเธอก็แดงระเรื่อขึ้นมาและพ่นเสียงออกมา “เชอะ” แล้วหันหัวไปทางอื่น
เมื่อเธอหันกลับมาชูอี้เสิ่นไม่ได้ซ่อนความอ่อนโยนในสายตาไว้เลย มีเพียงเวลาที่เขาไม่ได้ระวังตัวเท่านั้นที่จะเผลอแสดงความรู้สึกของตัวเองออกมา เขาจะเพิ่มปัญหาให้เธออีกในตอนนี้ได้ยังไงกัน? เธอจะทนรับมันได้ยังไง?

อยู่ดีๆเขาก็หันไปเห็นร่างของชายคนหนึ่งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ที่ข้างถนน ชางกวนโม่มาทำอะไรที่นี่?! ทันทีที่เขาอยากจะบอกมู่หรงเสวี่ยแต่ก็เห็นว่าเขาเดินออกมาพร้อมกับผู้หญิง นั่นคือไป๋เสวี่ยหลี่ เธอจับมือเขาอย่างมีความสุข ทั้งสองกำลังจะเดินเข้าไปในร้านอาหารด้วยกัน

มู่หรงเสวี่ยกำลังจะหันหัวกลับมา ชูอี้เสิ่นด้วยความตกใจจึงเอามือขึ้นมาปิดตาเธอไว้ ไอ้บ้าชางกวนโม่ไม่มีเวลาที่จะมาอยู่กับเสี่ยวเสวี่ยในวันเกิดแต่กลับว่างที่จะไปอยู่กับผู้หญิงคนอื่น

“จะทำอะไรเนี่ยพี่ชู?” มู่หรงเสวี่ยอยากที่จะเอามือใหญ่ของชูอี้เสิ่นออกแต่เขาก็ปิดไว้แน่น

ชูอี้เสิ่นไม่ยอมปล่อยจนกว่าจะไม่เห็นร่างของชางกวนโม่อีก เขาพูดกับมู่หรงเสวี่ยว่า “ฉันได้ยินมาว่าถ้าเราปิดตาตัวเองสิบวินาทีในวันเกิด จะทำให้สามารถขอพรพระเจ้าได้แล้วมันก็จะเป็นจริงด้วย! เอาสิลองทำดูเลย”

“จริงเหรอท” ทำไมฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย?” การขอพรในวันเกิดเขาทำแบบนี้กันด้วยเหรอ

ในระหว่างที่ขับรถ ชูอี้เสิ่นก็นึกถึงภาพที่เขาเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เขาไม่รู้ว่าทำไมแต่หัวใจเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เด็กสาวธรรมดาแบบนี้มาหลงเสน่ห์สุนัขจิ้งจอกอย่างชางกวนโม่ได้ยังไง? เขาคิดว่าไอ้หมอนั้นจะจัดการเรื่องไป๋เสวี่ยหลี่แล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะนอกใจเสี่ยวเสวี่ย

“เธอโง่เกินกว่าจะรู้เรื่องอะไรอีกตั้งมากมาย” ชูอี้เสิ่นพูดพร้อมรอยยิ้มกับมู่หรงเสวี่ย

“พี่ชู ว่าใครโง่กันคะ?” มู่หรงเสวี่ยถามอย่างไม่พอใจ
“ฮ่าฮ่า ใครที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลเธอเนี่ยแหละ” นี่เขาบ้าหรือเปล่า? เขารู้สึกว่าท่าทางแบบนี้ของเธอช่างน่ารักเหลือเกิน
“ฉันรู้ว่าพี่อิจฉาแต่ฉันก็ใจดีพอที่จะไม่สนใจพี่…” อันที่จริง เธอรู้ว่าพี่ชูแค่ล้อเล่น เขาเคยเห็นตอนเธอเสียใจ พี่ชูเป็นคนที่อ่อนโยนอย่างคาดไม่ถึงเลย

ตอนที่เธอเจอเขาครั้งแรก เขาเย็นชาอย่างมาก ในตอนนั้นเธอไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะหัวเราะเป็นด้วย อย่างไรก็ตามยิ่งเธอได้รู้จักเขามากขึ้นก็ได้รู้ว่าพี่ชูเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนและคอยให้กำลังใจเธอเสมอ พี่ชูก็เหมือนกับโม่อ้ายหลี่ที่เป็นเพื่อนที่ขาดไม่ได้และสำคัญมากกว่าคนรักในชีวิตเธอซะอีก

“เอ้าถึงแล้ว!” รถขับขึ้นมาจอดที่ยอดภูเขาโดยไม่รู้ตัวเลย
ลมเย็นและอากาศหนาวทำให้มู่หรงเสวี่ยรู้สึกสบายตัวขึ้นมา อากาศบนภูเขาช่างบริสุทธิ์จริงๆ นี่เป็นช่วงเวลาที่ราวกับว่าสายลมได้พัดพาความกังวลทั้งหมดไปจากเธอ “ที่นี่ที่ไหนคะ?! พี่ชู”

“เธอชอบไหมล่ะ นี่คือสวรรค์ ฉันไม่เคยพาใครมาที่นี่เลย” ชูอี้เสิ่นหยิบเค้กออกมาแล้วจึงล็อกประตูรถ “ไปกันเถอะ ตรงนั้นมีก้อนหินใหญ่ ไปนั่งตรงนั้นกันเถอะ”
“รอฉันด้วย” ชูอี้เสิ่นเดินนำหน้าไปก่อนและมู่หรงเสวี่ยก็รีบวิ่งตามไป

หลังจากนั้นสักพักเธอก็เดินมาถึงหินก้อนใหญ่ของ ชูอี้เสิ่น มันเป็นหินที่ใหญ่จริงๆด้วย หินไม่ได้ถูกแกะสลักไว้แต่ก็เรียบเนียนมากๆ ชูอี้เสิ่นวางเค้กลงที่หินแล้วก็ค่อยๆขึ้นไปนั่งอยู่บนก้อนหิน พร้อมทั้งยื่นมือออกมาที่มู่หรงเสวี่ยและพูดว่า “มานี่ ฉันช่วยเอง!”

มู่หรงยื่นมือออกไปและจับไว้ ชูอี้เสิ่นออกแรงดึงแล้ว มู่หรงเสวี่ยก็ขึ้นมาได้แล้วเช่นกัน ก้อนหินใหญ่มากพอสำหรับคนสองคนที่จะนั่งได้อย่างสบาย

“ดูสิ สวยจัง!”
มู่หรงเสวี่ยมองไปตามท้องฟ้าและชี้ให้ชูอี้เสิ่นดู ท้องฟ้าที่ดำมืดเต็มไปด้วยดวงดาวและเดือนเสี้ยวที่แขวนอยู่บนฟ้า นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นดวงดาวมากมายแบบนี้ แต่ก่อนเธอเพียงแค่เคยได้ยินเพียงคำอธิบายถึงท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวจากในหนังสือเท่านั้นแต่ก็ไม่เคยเห็นพวกมันจริงๆเพราะในเมื่อไม่มีดวงดาวแบบนี้
ดวงตาของเธอเปล่งประกาย ตราตรึงอยู่กับท้องฟ้าสวยงามที่เต็มไปด้วยดวงดาว รอยยิ้มอ่อนๆเผยอยู่ที่มุมปากของเธอ

“งั้นขอมอบดวงดาวเต็มฟ้าและสายลมเย็นๆให้เป็นของขวัญแล้วกันนะ…” ชูอี้เสิ่นพูดเสียงเบาแต่เธอก็หัวเราะออกมา

ครั้งหน้าเขาจะหาสิ่งที่ดีกว่ามาให้เธอ ถ้าเขารู้เร็วกว่านี้เขาจะต้องทำให้เธอมีความสุขกว่านี้แน่นอน เขานึกถึงภาพชางกวนโม่ที่เพิ่งจะเห็นเมื่อกี้ เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าถ้าเสี่ยวเสวี่ยรู้เรื่องนี้จะเป็นยังไง?! เขาขัดขืนอยู่ในหัวใจระหว่างที่เขาไม่อยากจะทำให้เสี่ยวเสวี่ยเสียใจแต่ก็อยากที่จะบอกให้เธอรู้ว่า ชางกวนโม่ไม่ใช่ผู้ชายที่คู่ควรเลย อย่างไรก็ตามแม้ว่าเขาอยากที่จะบอกแต่เขาจะไม่เลือกวันนี้ วันนี้เป็นวันเกิดของเสี่ยวเสวี่ย อย่างน้อยวันนี้เธอก็ควรจะมีช่วงเวลาที่ดีๆ

“ทำไมล่ะพี่ชู นี่เป็นของขวัญที่ดีที่สุดที่ฉันเคยได้รับมาเลยนะ” ในคืนที่เปล่าเปลี่ยวเธอขอบคุณเขาที่มาอยู่เป็นเพื่อน
“ถ้าเธอชอบนะ เร็วเข้าเสี่ยวเสวี่ย อธิษฐานก่อนสิ” ชูอี้เสิ่นเปิดกล่อง หยิบไฟแช็กออกมาจากกระเป๋าและจุดเทียน

มู่หรงเสวี่ยหลับตาลงตรงหน้าเค้กที่จุดเทียนไว้ เธออธิบายเรื่องที่เธออยากให้มันสำเร็จที่สุดในใจ ลืมตาขึ้นมาและค่อยๆเบาเทียน

“สุขสันต์วันเกิดนะมู่หรงเสวี่ย!” ชูอี้เสิ่นพูดพร้อมรอยยิ้ม
“ขอบคุณนะคะพี่ชู!” เธอตัดเค้กชิ้นหนึ่งและส่งให้ชูอี้เสิ่น

ทั้งสองนั่งกินเค้กอย่างเงียบๆ มองไปที่ดวงดาว หัวใจไม่ต้องคิดเรื่องอะไรและดื่มด่ำกับช่วงเวลานี้ ยิ่งดึกมากขึ้นลมบนยอดภูเขาก็ค่อยๆแรงขึ้น โดยเฉพาะในตอนกลางคืนแบบนี้อากาศก็จะยิ่งเย็นขึ้นไปอีก เมื่อลมเย็นพัดมา มู่หรงเสวี่ยก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาว

ชูอี้เสิ่นรีบถอดเสื้อโค้ตของตัวเองและคลุมไว้ที่ไหล่ของ มู่หรงเสวี่ย “รีบใส่ไว้เร็วเข้า!”
มู่หรงเสวี่ยมองไปที่ตัวของเขาที่มีเพียงเสื้อเชิ้ตบางๆจึงรีบถอดเสื้อโค้ตออกทันที “ไม่ต้องหรอกค่ะ ฉันไม่ได้หนาวเท่าไร พี่ชูแหละที่น่าจะใส่ไว้เอง!”

อย่างไรก็ตามชูอี้เสิ่นบังคับให้เธอสวมมันเอาไว้และถึงขนาดที่แขนของมู่หรงเสวี่ยเองก็ถูกยัดเข้าไปในเสื้อโค้ทด้วย “ฉันเป็นผู้ชาย ขอร้องล่ะอย่าห้ามฉันที่พยายามทำตัวเป็นสุภาพบุรุษหน่อยเลย โอเคไหม?”

มู่หรงเสวี่ยยิ้มและไม่ขัดขืนอีกแล้ว เธอรับความหวังดีของเขาไว้และจะจำเรื่องดีๆแบบนี้ไว้ด้วย หลังจากที่ได้กลับมาเกินใหม่ ถึงแม้เรื่องความรักจะวุ่นวายไปหมดแต่ก็ได้มิตรภาพที่มีค่าอย่างมากมาด้วย ถึงแม้ในชีวิตนี้เธอจะต้องสูญเสียความรักไปแต่เธอก็ยังมีการสนับสนุนจากเพื่อนและครอบครัวอยู่ ซึ่งดีกว่าชีวิตที่แล้วมาก

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน มู่หรงเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกง่วงจึงพิงมาที่ไหล่ของชูอี้เสิ่นและเผลอหลับไป

ชูอี้เสิ่นค่อยๆเอียงตัวเพื่อกันลมของค่ำคืนให้กลับเธอ เขามองลงไปที่ใบหน้ากำลังหลับของเธอและแวบประกายที่สายตา

บางทีอาจจะเป็นเพราะครั้งแรกที่พวกเขาได้เจอกัน ความอบอุ่นจากเธอมักจะทำให้เขาหยุดไม่ได้ ราวกับเป็นยาเสพติดที่อยากจะมาอยู่ข้างเธอบ่อยๆแบบนี้ไปตลอดชีวิต

และในตอนนี้ที่ในรถ โทรศัพท์มือถือของมู่หรงเสวี่ยดังไม่หยุดอยู่นาน

แสงของวันใหม่ค่อยๆโผล่ขึ้นมา มู่หรงเสวี่ยพึมพำ ค่อยๆลืมตาขึ้นและพบว่าตัวเองเผลอหลับไป เธอตกใจในทันที

มู่หรงเสวี่ยหันไปมองดวงอาทิตย์ขึ้นที่อยู่ไม่ห่างออกไป ในท้องฟ้าสีแดด วงกลมสีทองช่วงสวยงามและยอดเยี่ยมมาก ถึงแม้วันเกิดครั้งนี้จะไม่ได้หรูหราที่สุดแต่มันก็เป็นวันเกิดที่ทำให้เธอรู้สึกสงบนิ่งอย่างมากจริงๆ

อีกครึ่งชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็กำลังที่จะกลับ เมื่อเข้าไปนั่งในรถ มู่หรงเสวี่ยก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและพบว่ามีสายที่ไม่ได้รับหลายสิบสาย ทั้งหมดเป็นของชางกวนโม่ เธอตกใจและพูดขึ้นมาว่าเมื่อคืนเธอลืมโทรหาชางกวนโม่ไปเลย จึงรีบโทรกลับไปหาเขาทันที

โทรศัพท์ถูกรับอย่างรวดเร็ว “เสี่ยวเสวี่ย เมื่อคืนเธอหายไปไหนมา? ทำไมถึงไม่รับโทรศัพท์?”

ชูอี้เสิ่นกำพวงมาลัยรถแน่นแต่ก็ยังพยายามขับอย่างนุ่มนวลที่สุด หูก็พยายามเงี่ยฟัง

“ขอโทษนะคะพี่โม่ เมื่อคืนฉันลืมโทรพาพี่เลย เมื่อคืน…ฉันอยู่กับพี่ชู…แต่อย่าเข้าใจฉันผิดนะคะ พี่ชูแค่มาอยู่เป็นเพื่อนฉันด้วยในวันเกิด…” เธอไม่อยากที่จะโกหกซึ่งจะเป็นการดูถูกภาพที่สวยงามของเมื่อคืนและความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับพี่ชูด้วย

“เธอ…เมื่อคืนเป็นวันเกิดเธอ ทำไมถึงไม่บอกฉัน…” ชางกวนโม่กำโทรศัพท์แน่น แน่นอนเขารู้ว่าระหว่างพวกเขาไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขายังเชื่อเสี่ยวเสวี่ยอยู่แต่เขาก็อดที่จะอิจฉาไม่ได้ ถ้าเขารู้ก่อนหน้านี้เขาก็คงจะไม่พลาด
“ฉันไม่ได้บอกเพราะเห็นว่าคุณยุ่งมาก เมื่อวานคุณก็ไม่มีเวลาแวะกลับมากินข้าว มันก็แค่วันเกิดธรรมดาฉันไม่อยากให้มันกระทบกับงานของคุณ…” เธออธิบาย ถึงแม้เธอจะเสียใจอยู่นิดหน่อย วันเกิดของเธอดูไร้ความหมายเลยเมื่อพูดออกไป วันเกิดคือวันที่คนที่สำคัญที่สุดจะต้องจำได้ เธอนี่คิดอะไรไร้สาระจริงๆ

“ตอนนี้เธออยู่ไหนแล้ว? กลับมาหรือยัง?”
“ฉันกำลังกลับแล้วค่ะ เดี๋ยวพอกลับไปถึงฉันจะโทรหาอีกทีนะคะ!” เสียงของพี่โม่ต่างไปจากแต่ก่อน เขาน่าจะโกรธแต่ก็เป็นเพราะเธอทำไม่ดี อย่างน้อยเธอก็น่าจะโทรไปบอกเขาก่อน

ชูอี้เสิ่นขับรถไปเงียบๆ เขาคิดว่าเสี่ยวเสวี่ยจะต้องเจอปัญหาแน่ๆ ถึงแม้ระหว่างพวกเขาจะไม่มีอะไรก็ตามแต่ในใจเขาก็คิดไม่บริสุทธิ์จริงๆและชางกวนโม่ก็รู้เรื่องนั้นแล้วด้วย อีกอย่าง ชางกวนโม่ก็เป็นพวกหวงก้าง เขาพูดออกมาตรงๆแล้วและก็จะไม่กลับคำด้วย

“เธอโอเคหรือเปล่า?” ชูอี้เสิ่นถาม
“ไม่มีอะไรนี่ค่ะ…พี่ถามทำไมเหรอ?” มู่หรงเสวี่ยถามด้วยความแปลกใจ
“ฮ่าฮ่า ไม่รู้หรือว่าทำไมฉันถึงถาม ก็เธอตอบเขาไปว่าไงล่ะ?” น่ารักจริงๆเลยเชียว

“ฉันตอบออกไปโดยไม่ทันคิด…พี่ถามทำไมเหรอ?”
“ไม่มีอะไร ให้ฉันช่วยอธิบายให้ไหม?” อย่างไรก็ตามเดาว่าคำอธิบายของเขาก็คงจะทำให้เรื่องมีแต่ยิ่งจะแย่

คำถามต่อไปของมู่หรงเสวี่ยทำให้พี่ชูถึงกับต้องถามว่านี่เขาเป็นใคร ไม่นานเธอก็ส่ายหัวเบาๆและพูดออกมาว่า “ไม่ต้องหรอก ปัญหาที่แท้จริงระหว่างฉันกับพี่โม่ก็คือไป๋เสวี่ยหลี่”