บทที่ 400 สิ่งของวิเศษ

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 400 สิ่งของวิเศษ

“แล้วก็นี่”

หลินเป่ยเฉินยื่นส่งกำไลหยกของหญิงสาวผู้ติดตามสวีหวั่นหลัวพร้อมกับกล่าวว่า “ถึงศิษย์จะไม่รู้ว่านางเป็นใครมาจากไหน แต่ก็น่าจะมีสถานะไม่ต่ำต้อยไปกว่าหนี่ฟู่กวง เพราะฉะนั้น จะต้องมีของดีอยู่ด้านในเป็นแน่แท้”

ติงซานฉืออดไม่ได้ต้องยกมือปาดน้ำตาเล็กน้อย

ลูกศิษย์สุดที่รักของเขา ช่างใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดเหลือเกิน

เมื่อฆ่าคนตายแล้ว ก็ไม่ลืมที่จะปลดทรัพย์มาด้วย แถมยังแจ้งต่ออาจารย์ด้วยหน้าตาใสซื่อบริสุทธิ์

แบบนี้คนดีๆ เขาทำที่ไหนกัน!

ติงซานฉือรับกำไลหยกมาดูและตอบสั้นๆ ว่า “ข้างในน่าจะมีของล้ำค่าอยู่จริงๆ กำไลหยกชิ้นนี้เป็นรองก็แต่เพียงถุงเก็บของสีแดงใบนั้น มันคือสิ่งเก็บของวิเศษที่มีคุณภาพสูงมาก”

หลินเป่ยเฉินหัวใจกระตุกวูบ ถามว่า “อาจารย์ขอรับ สิ่งเก็บของวิเศษเหล่านี้ แบ่งแยกลำดับชั้นกันอย่างไรหรือ?”

เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มยังคงถามด้วยความสนใจใคร่รู้ตามปกติ ติงซานฉือจึงค่อยโล่งใจขึ้นเล็กน้อย

“ในแผ่นดินตงเต้า สิ่งของที่ผ่านการเล่นแร่แปรธาตุจะถูกแบ่งแยกเป็นระดับสูงสุด ระดับดีเยี่ยม ระดับสามัญและระดับต่ำ สิ่งของระดับต่ำก็จะถูกนำมาใช้งานทั่วไปไม่มีสิ่งใดพิเศษ เพียงแต่จะมีความทนทาน ความคมและความยืดหยุ่นมากกว่าวัตถุอื่นที่ไม่ได้ผ่านการเล่นแร่แปรธาตุเท่านั้น อย่างเช่น ถุงเก็บของใบนั้นถือเป็นวัตถุที่ผ่านการเล่นแร่แปรธาตุระดับสูงสุด มีหน้าที่หลักคือเก็บของมีค่าให้คงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันสูญหาย”

ติงซานฉืออธิบายรายละเอียด

หลินเป่ยเฉินคิดอะไรบางอย่างเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้น…”

เขายกมือเกาหัวคิ้วของตนเองและถามต่อ “ดาบศีลธรรมของศิษย์ ถือว่าเป็นอาวุธที่ผ่านการเล่นแร่แปรธาตุระดับสูงด้วยหรือไม่ขอรับ?”

ติงซานฉือตอบว่า “เดิมทีดาบใหญ่ในมือเจ้านั้นเป็นเพียงวัตถุระดับสามัญ แต่เมื่อได้รับการสลักชื่อและมีการลงค่ายอาคมโดยฟานซูอัง ดาบเล่มนี้จึงเลื่อนระดับขึ้นมาเป็นวัตถุระดับดีเยี่ยม ซึ่งก็ถือว่าเป็นอาวุธระดับสูงเช่นกัน”

นี่ไงล่ะ

ข้อสงสัยทุกอย่างกระจ่างชัดแล้ว

หลินเป่ยเฉินเพิ่งจะรู้บัดนี้เองว่าการลงค่ายอาคมในอาวุธมีความสำคัญมากแค่ไหน

“แล้วในโลกนี้มีอาวุธสวรรค์อยู่บ้างหรือไม่ขอรับ?”

เด็กหนุ่มถามออกมาอีกครั้ง

บางทีหลินเป่ยเฉินอาจจะขอร้องอ้อนวอนให้เทพีกระบี่หิมะไร้นามช่วยส่งอาวุธบนดินแดนทวยเทพลงมาให้เขาบ้างก็ได้

ถ้ามีอาวุธสวรรค์อยู่ในมือ เขาต้องกลายเป็นผู้ที่มีพลังทัดเทียมฟ้าดิน แข็งแกร่งไร้เทียมทาน ปราศจากคู่ต่อสู้แน่ๆ

ติงซานฉือพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “มีอยู่บ้าง แต่ก็หายาก แล้วส่วนใหญ่ก็เป็นสิ่งของต้องห้าม อาวุธสวรรค์แต่ละชิ้นมีอานุภาพทำลายฟ้าดินถึงดวงดาว ผู้ที่จะสามารถครอบครองอาวุธสวรรค์เหล่านั้นได้ ต้องมีบุญญาธิการและมีสถานะเป็นถึงระดับจักรพรรดิ หรือไม่ก็ระดับเจ้าสำนักใหญ่ขึ้นไป ซึ่งบุคคลที่จะมีวาสนาดีถึงเพียงนี้ ไม่เคยปรากฏตัวมานานแล้ว”

หลินเป่ยเฉินพูดด้วยดวงตาเป็นประกาย “อย่างนี้ก็เท่ากับว่าอาวุธสวรรค์ต้องมีราคาแพงมากเลยใช่ไหมขอรับ?”

ถ้าสามารถทำให้เทพีกระบี่หิมะไร้นามมอบอาวุธสวรรค์มาได้สักชิ้น หลินเป่ยเฉินก็จะนำมาขายต่อและได้เงินมหาศาลแน่นอน

นี่คือการทำธุรกิจที่มีแต่กำไรเห็นๆ

เด็กหนุ่มเริ่มเห็นเส้นทางเศรษฐีขึ้นมารำไร

เพี๊ยะ!

ติงซานฉือพลันยกมือขึ้นโบกด้านหลังศีรษะลูกศิษย์ไปหนึ่งป๊าบ ก่อนพูดว่า “เฮอะ เจ้านี่มันเหลือเกินจริงๆ อาวุธสวรรค์สามารถวัดค่าได้ด้วยเงินทองที่ไหนกัน? มันคือสิ่งต้องห้ามของโลกใบนี้ อย่าว่าแต่เหรียญทองคำ ต่อให้นำศิลาปราณธาตุมากองเป็นภูเขาเลากา ก็ยังไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับอาวุธเหล่านั้นได้สักชิ้นด้วยซ้ำ”

หลินเป่ยเฉินถูกตบแทบจะกลิ้งกระเด็นออกมาจากอ่างอาบน้ำ

อาจารย์ติงเป็นอะไรของเขานะ อยู่ดีๆ จะโกรธทำไม?

หลินเป่ยเฉินไม่รู้เรื่องราว จึงพูดด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้น “อาจารย์ได้โปรดใจเย็นก่อน ศิษย์ผิดไปแล้ว”

หลังจากถูกอาจารย์ติงตบสั่งสอนไปทีหนึ่ง เด็กหนุ่มก็ระมัดระวังคำพูดมากขึ้น

แต่เขาก็ยังนึกสงสัยอยู่ดีว่าชีวิตที่สุขสบายอยู่บนกองเงินกองทอง มีใครบ้างที่ไม่อยากสัมผัสรสชาติ?

ถ้ามีโอกาส ทำไมถึงไม่ลองดูล่ะ?

ที่แน่ๆ ก็คือคงไม่มีใครกล้ามาตบหัวสั่งสอนแบบนี้หรอก

“ศิษย์รู้แล้วว่าเงินทองเป็นสิ่งของนอกกาย ถึงตายก็เอาไปไม่ได้ ศิษย์จะจำให้ขึ้นใจขอรับ”

ติงซานฉือพยักหน้าอย่างพึงพอใจ “เจ้า… เอ่อ มีพรสวรรค์วิเศษ สามารถฝึกวิชาได้ตอนหลับฝัน พละกำลังของเจ้าจึงคืบหน้าเกินกว่าที่อาจารย์คาดการณ์ไว้หลายเท่า แต่นี่ถือเป็นเรื่องดี ตราบใดที่เจ้าแข็งแกร่งมากขึ้น จิตใจและสติปัญญาก็จะถูกยกระดับขึ้นด้วยเช่นกัน แล้วอีกไม่นาน หยุนเมิ่งก็จะกลายเป็นเมืองที่เล็กเกินไปสำหรับเจ้า ในอนาคต เจ้าจะต้องออกไปเติบใหญ่นอกมณฑลเฟิงอวี่ และไม่แน่ว่า… เจ้าอาจจะยิ่งใหญ่เกินกว่าจักรวรรดิเป่ยไห่ก็เป็นได้”

นี่คือความคาดหวังในหัวใจของผู้เป็นอาจารย์

หลินเป่ยเฉินได้ยินดังนั้นก็อดรู้สึกซาบซึ้งใจไม่ได้

แม้ว่าอาจารย์ของเขาจะชอบมาสายและส่วนใหญ่ก็พึ่งพาไม่ค่อยได้ แต่หลินเป่ยเฉินสัมผัสได้อย่างแท้จริงว่าอาจารย์ห่วงใยเขาไม่น้อยเลย

“ศิษย์รับทราบแล้ว”

เขารับคำเสียงสั่นเครือ

ติงซานฉืออยากจะหาเรื่องตบศีรษะเด็กหนุ่มอีกสักป๊าบ แต่เมื่อเห็นหลินเป่ยเฉินทำตัวสงบเสงี่ยมเรียบร้อย ชายชราก็รั้งมือกลับมา

สีหน้าของอาจารย์ติงบ่งบอกถึงความเศร้าใจเล็กน้อย “อาจารย์คิดว่าเหตุผลที่จักรวรรดิเป่ยไห่สามารถครอบครองความยิ่งใหญ่มาได้ยาวนานถึงเพียงนี้ ก็เพราะมีจักรพรรดิเป็นมือกระบี่ฝีมือสูงส่ง สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้ครั้งแล้วครั้งเล่าภายใต้การประทานพรจากเทพีกระบี่ ยุคสมัยนั้นยังคงมีเรื่องราวของอาวุธสวรรค์ให้ได้รับฟังกันอยู่บ้าง บรรดาศัตรูที่อยู่รอบดินแดนของพวกเรา อย่างเช่นจักรวรรดิจี้กวง ตอนนั้นไม่กล้าเงยหน้าสบตาผู้คนจากจักรวรรดิเป่ยไห่เสียด้วยซ้ำ แต่ทว่า…”

พูดมาถึงตรงนี้ ติงซานฉือก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่

แล้วเขาก็เปลี่ยนเรื่องพูดหน้าตาเฉย “ว่าแต่วันนี้เจ้าเอาชนะสวีหวั่นหลัวได้อย่างไร? บุคคลผู้นี้มีฝีมือไม่ธรรมดา ซ้ำยังมีพลังปราณธาตุของเชื้อพระวงศ์อยู่ในตัว ว่ากันว่าอ๋องผู้ปกครองแคว้นไห่อันคาดหวังในตัวลูกชายคนนี้เอาไว้สูงทีเดียว และมีข่าวลือว่าเขาถึงกับสำเร็จการศึกษาวิชากระบี่มาจากสำนักศาลาธรรม ซึ่งเป็นสามสำนักกระบี่ศักดิ์สิทธิ์ประจำจักรวรรดิที่ก่อตั้งมาอย่างยาวนาน”

หลินเป่ยเฉินบอกเล่าการต่อสู้ให้อาจารย์ฟังย่อๆ เรียบร้อยแล้วจึงพูดว่า “นอกจากพลังจะรุนแรงขึ้นแล้ว ร่างกายของศิษย์ก็แข็งแกร่งขึ้นด้วยขอรับ ศิษย์รู้สึกเหมือนกับว่าตนเองคงกระพันไร้เทียมทาน… เอ่อ เหมือนกับว่าในระดับปรมาจารย์ด้วยกันแล้ว คงไม่มีใครสามารถสู้กับศิษย์ได้อีก”

ติงซานฉือเบิกตาโตจ้องมองหลินเป่ยเฉิน

แข็งแกร่งที่สุดในระดับผู้ฝึกยุทธ์ขั้นปรมาจารย์อย่างนั้นหรือ?

แม้มีความเป็นไปได้ที่หลินเป่ยเฉินอาจหลงตัวเอง แต่ติงซานฉือกลับคิดว่าเรื่องนี้ก็อาจเป็นจริงได้เช่นกัน

เพี๊ยะ!

“อย่าเพิ่งลำพองใจให้มากเกินไปนัก”

ชายชราอดไม่ได้ที่จะโบกศีรษะของหลินเป่ยเฉินอีกครั้ง พร้อมกับสั่งสอนว่า “บัดนี้พลังปราณธาตุไฟของเจ้าแปลกประหลาดเกินไป จะใช่พลังปราณจักรพรรดิมังกรไฟจริงๆ หรือเปล่าก็ยังไม่รู้ เจ้ายังไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น คอยฝึกฝนตามแผนการสอนที่อาจารย์วางเอาไว้ให้เจ้าก็พอแล้ว”

พูดจบ ติงซานฉือก็ลุกขึ้นยืน จัดแจงสวมเสื้อคลุมเตรียมตัวกลับ

“ศิษย์น้อมส่งท่านอาจารย์”

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนประสานมือคำนับจากในอ่างอาบน้ำ

เฉียนเหมยกับเฉียนเจินที่กำลังบีบนวดหลินเป่ยเฉินพลันหน้าแดงก่ำและยกมือปิดตาเป็นพัลวัน

เสียงของอาจารย์ติงดังขึ้นอีกครั้งเมื่อเขาเดินออกไปถึงนอกห้อง “แล้วเจ้าก็อย่าหมกมุ่นในกามให้มากเกินไปนัก เจ้ายังอายุน้อย ควรใช้เวลานี้ในการวางรากฐานพลังให้แข็งแกร่งที่สุด หากเจ้าหมกมุ่นมากเกินไป ร่างกายจะอ่อนแอ และความสำเร็จในอนาคตของเจ้า ก็จะลดลงไปโดยไม่รู้ตัว…”

หลินเป่ยเฉินพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว

นี่ข้ายังซิงอยู่เลยนะ ‘จารย์ จะเอาอะไรไปหมกมุ่นเรื่องพรรค์นั้นเล่า

หลังจากส่งอาจารย์แล้ว หลินเป่ยเฉินก็ผูกผ้าเช็ดตัวเข้ากับเอว นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “หวังจงล่ะ? หวังจงอยู่ที่ไหน? มันไปมุดหัวอยู่ไหน… รีบตามตัวมาหาข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะฆ่ามัน”

ไม่นานต่อมา

อากวงก็วิ่งออกไปตามหวังจงให้เข้ามาพบหลินเป่ยเฉิน

พ่อบ้านชราพูดด้วยน้ำเสียงเริงร่า “นายน้อยกลับมาแล้วหรือขอรับ? ฮ่าฮ่าฮ่า หวังจงรู้อยู่แล้วว่านายน้อยจะต้องปลอดภัย หวังจงทำตามที่นายน้อยสั่งทุกอย่าง หวังจงบอกให้ทุกคนอยู่นิ่งเฉยห้ามทำสิ่งใดเด็ดขาด… เป็นไงขอรับนายน้อย หวังจงรู้ใจนายน้อยมากที่สุดใช่หรือไม่?”