ภาคที่ 5 ตอนที่ 14 เวลานี้เพิ่งเริ่มต้น

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

เข้าเมืองหลวงดูสักหน่อย ถ้อยคำประโยคนี้ครั้งนั้นเฉิงกั๋วกงเคยเอ่ย

 

 

เวลานั้นทุกคนล้วนไม่แนะนำให้เข้าเมืองหลวง เพราะรู้ว่าเข้าเมืองหลวงย่อมไม่มีเรื่องดี คุณหนูจวินก็บอกว่ามีวิธีให้เขาแสดงว่าบาดเจ็บหนัก แต่เฉิงกั๋วกงยังคงตัดสินใจเข้าเมืองหลวง ประการแรกเพื่อมอบฐานะให้กองทหารชิงซานได้อย่างราบรื่น มอบรางวัลที่ทุกคนสมควรมีให้ อีกประการเขาบอกว่าต้องการดูสักหน่อย

 

 

ตั้งแต่นาทีนั้นที่เข้าเมืองหลวงถูกขวางจนกระทั่งถึงวันนี้ถูกกล่าวโทษในที่สุดเขาก็ดูกระจ่างแล้วหรือ?

 

 

คุณหนูจวินเงียบงันครู่หนึ่ง

 

 

“หนาวใจแล้วหรือ?” นางเอ่ยขึ้น “คุณงามความชอบที่ตรากตรำเฝ้าแดนเหนือสิบปีนั่นก็ไม่ต้องการแล้วหรือ?”

 

 

“จะต้องการได้อย่างไร?” จูจั้นหัวเราะประชด “พบคนกลุ่มนี้ สิบปี ยี่สิบปีแล้วอย่างไร?”

 

 

ฮ่องเต้เช่นนี้น่ะ

 

 

คุณหนูจวินอารมณ์ซับซ้อน ฮ่องเต้เป็นเช่นนี้ทำให้ขุนนางภักดีหนาวใจขุนนางชั่วครองเมือง ยิ่งพิสูจน์ได้ว่าเป็นเจ้าแผ่นดินผู้มัวเมาไร้คุณธรรม นางน่าจะดีใจ ทว่าก็ไม่มีสิ่งใดดีใจได้จริงๆ

 

 

ขุนนางภักดีหนาวใจ ขุนนางชั่วครองเมือง การปกครองวุ่นวาย ประเทศชาติไม่มั่นคง ประชาชนไม่สงบสุข ผู้ที่ทุกข์คือประชาชน สิ่งที่เสียหายคือแผ่นดิน

 

 

“เจ้าไปที่ไหนก่อน?”

 

 

ข้างหูจูจั้นพลันเอ่ยถาม

 

 

คุณหนูจวินได้สติกลับมามองไปหาเขา คล้ายไม่เข้าใจอยู่บ้าง

 

 

“กลับบ้านกับข้า หรือไปโรงหมอจิ่วหลิงก่อน?” จูจั้นเอ่ยถาม

 

 

คำนี้ฟังดูแล้วมีตรงไหนไม่ถูกต้องอยู่บ้าง

 

 

“ไปโรงหมอจิ่งหลิงแล้วกัน” คุณหนูจวินเอ่ย “มีบางเรื่องท่านต้องคุยกับบิดาท่านก่อน”

 

 

จูจั้นขานอ้อ

 

 

“เรื่องของพวกเราคุยกับพ่อด้วยกันก็ไม่เป็นไร..” เขาหัวเราะฮ่ะฮ่ะเอ่ย “ก็ไม่ใช่คนอื่นไกล เจ้าเหมือนลูกพ่อข้ายิ่งกว่าข้าเสียอีกแน่ะ”

 

 

คุณหนูจวินตะลึงนิดหนึ่งจากนั้นพลันสบถ

 

 

ในที่สุดก็รู้ว่าตรงไหนไม่ถูกต้องแล้ว

 

 

กลับบ้านอันใด บ้านของนางคือโรงหมอจิ่วหลิงตกลงไหม อะไรเรียกกลับบ้านกับเขา

 

 

“พวกเรามีเรื่องอะไร!” นางเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านแสร้งโง่อะไร ท่านไม่รู้ว่าข้าให้ท่านคุยเรื่องอะไรกับบิดาท่านหรือ?”

 

 

จูจั้นขานอ้อ

 

 

“ตอนนี้คิดได้แล้ว” เขาเอ่ย สีหน้าตรงไปตรงมา “เมื่อครู่คิดผิดไปแล้วจริงๆ”

 

 

คุณหนูจวินตวัดตามองเขาทีหนึ่งไม่ได้เอ่ยวาจากอีก ขึ้นม้าไป

 

 

สองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังมุ่งไปยังเมืองหลวง เดินทางมาถึงใกล้ประตูเมืองพวกจางเป่าถังไม่กี่คนที่ได้รับข่าวก็เร่งเดินทางมาแล้ว

 

 

รู้ว่าจูจั้นรีบร้อนกลับไปพบเฉิงกั๋วกง ทุกคนจึงไม่ได้คุยเรื่องต้อนรับขับสู้ แต่จางเป่าถังก็ให้เด็กรับใช้ที่ติดตามเอาตีนหมูย่างห่อหนึ่งส่งมา

 

 

“องค์หญิง พวกท่านเร่งเดินทางมาต้องไม่ทันสนใจกินดื่มแน่” เขาหัวเราะเอ่ยซื่อๆ “ท่านรับสิ่งนี้ไปรองท้องก่อน”

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะรับไปอย่างไม่ขัดเขิน เอาหนึ่งชิ้นออกมากินทันที ไม่ได้เก็บไป

 

 

จางเป่าถังกลืนประโยคนั้นที่ว่าเจ้านี่ต้องกินตอนร้อนเย็นแล้วจะไม่อร่อยลงไป

 

 

“องค์หญิงเชี่ยวชาญเรื่องกินนัก” เขาหัวเราะฮ่ะฮ่ะ

 

 

นางไม่ใช่องค์หญิงบอบบางที่ถูกเลี้ยงมาลึกในวังหลวง นางเป็นคนที่ขึ้นเหนือลงใต้วิ่งวุ่นอยู่ข้างนอก คนเช่นนี้ย่อมรอบรู้กว้างขวาง แล้วก็รู้จักกินดื่มเที่ยวเล่นในสภาพแวดล้อมที่ไม่ค่อยจะดีดีอย่างที่สุดด้วย

 

 

ที่แท้หลายปีขนาดนั้นนางไม่ได้ถูกทอดทิ้งอยู่ข้างนอก แต่เป็นฝ่ายทำตามใจปรารถนา

 

 

เหมือนกับตน

 

 

จูจั้นอดไม่ได้ยิ้ม

 

 

“พี่รอง ข้าไม่ได้บอกว่าองค์หญิงเป็นเจ้าตัวตะกละนะ ท่านอย่าหัวเราะ” จางเป่าถังเอ่ยอย่างกังวลอยู่บ้าง

 

 

รอยยิ้มของจูจั้นฉับพลันแข็งทื่อ

 

 

เขาก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้นตกลงไหม เจ้าหนูสารเลวคนนี้จงใจเล่นเขาใช่หรือไม่? ลำบากนักกว่าจะไม่ให้สตรีคนนี้คิดเหลวไหลวุ่นวายซ้ำไปมาได้

 

 

คุณหนูจวินหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว

 

 

“ได้เพิ่มมาอีกหนึ่งเจ้าก็ไม่เป็นไร” นางเอ่ยพลางหันหน้ามองจูจั้นจากนั้นก็ยิ้ม

 

 

พูดว่าอีก นั่นย่อมมีอันก่อนหน้า

 

 

เจ้างั่ง

 

 

นี่เป็นคำที่ตนเรียกนาง

 

 

จูจั้นคิดถึงตอนนั้นขึ้นมาก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างไร้สาเหตุขึ้นมาอีกครั้ง ทำไมเวลานั้นดันต้องพบนางเข้าด้วยนะ? คนมากมายมหาศาลนางพอดีอยู่ที่นั่นด้วยได้อย่างไร?

 

 

นี่นอกจากเป็นการจัดการของสวรรค์ ยังมีคำอธิบายอันใดได้อีกเล่า?

 

 

รอยยิ้มในหัวใจเขายากกดไว้เอ่อล้นออกมาจากมุมปากจากในดวงตา

 

 

จางเป่าถังสีหน้าสงสัยมองสองคนนี้ ทำไมไม่มีต้นสายปลายเหตุก็ยิ้มขึ้นมา? แล้วยังยิ้มโง่ๆ เช่นนี้อีก?

 

 

“แต่พวกท่านไม่ต้องเรียกข้าองค์หญิงหรอก” คุณหนูจวินคิดอะไรขึ้นมาได้เอ่ยขึ้น

 

 

เพราะเรียกเช่นนี้แลดูห่างเหินหรือ?

 

 

จางเป่าถังมองนาง

 

 

“ไม่น่าฟัง เหมือนหมู” คุณหนูจวินเอ่ยขึ้น

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินจริงๆ ! นางอุตส่าห์คิดออกมาได้! แล้วนางยังอุตส่าห์กล้าพูดอีก!

 

 

พวกจางเป่าถังอึ้งงัน คุณหนูจวินควบม้าอาดๆ ไปข้างหน้าแล้ว

 

 

“พี่รอง ท่านดูความไม่ปกติของนางสิ” จางเป่าถังส่ายศีรษะถอนหายใจเอ่ย

 

 

“ไม่ปกติที่ไหน” จูจั้นขมวดคิ้วเอ่ย

 

 

พูดจบก็ถลึงตาใส่จางเป่าถังทีหนึ่งอีก

 

 

“นางเป็นคนออกจะปกติ เจ้าอย่าพูดเหลวไหล”

 

 

คนออกจะปกติ? จางเป่าถังอึ้งมองเขา นี่ปกติตรงไหนเล่า? อีกอย่างไม่ใช่เขาพูดอยู่ตลอดว่านางไม่ปกติหรือ?

 

 

ลู่อวิ๋นฉีที่ยืนอยู่ริมหน้าต่างสูงที่สุดของเหลาสุราข้างประตูเมืองมองคุณหนูจวินขนาบด้วยคนหลายคนขี่ม้าผ่านประตูเมืองเข้าเมืองไปแล้ว ก็ยังคงไม่รั้งสายตากลับ

 

 

“โบราณว่าแผ่นดินเปลี่ยนง่ายนิสัยเปลี่ยนยาก” เขาเอ่ยขึ้นมา “คนผู้หนึ่งรูปลักษณ์ภายนอกเปลี่ยนได้ แต่ท่าทางกับความคุ้นชินกลับยากนักยากนัก ในที่สุดข้าก็เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้วว่าทำไมเหมือนเช่นนี้”

 

 

ประโยคนี้หัวหน้ากองพันเจียงรู้ แต่ทำไมตอนนี้เวลานี้เอ่ยประโยคนี้ เขาก็ไม่เข้าใจอยู่บ้างแล้ว

 

 

นี่คือกำลังพูดถึงบุตรชายเฉิงกั๋วกงหรือ?

 

 

เขามองไปทางลู่อวิ๋นฉี

 

 

ต้นฤดูหนาวยามเที่ยงแสงตะวันเจิดจ้า เผาดวงหน้านิ่งสนิทตลอดเวลาของลู่อวิ๋นฉีแดงประหนึ่งเปลวเพลิง หน้าต่างที่ถูกมือเขาบีบกำลังส่งเสียงปริแตกเบาๆ รอยร้าวเล็กๆ เส้นแล้วเส้นเล่าแผ่ขยายบนหน้าต่าง

 

 

……………………………………….

 

 

“ท่านอาจารย์มีประโยคหนึ่งพูดถูกจริงๆ”

 

 

หัวหน้าแม่ทัพจินคนหนึ่งที่ยืนอยู่ในเรือนหลังหนึ่งในเขตปั๋วเยี่ยเป่าโจว ถอนหายใจเอ่ยขึ้น

 

 

เรือนแห่งนี้แม้อยู่ในชนบทแต่ตกแต่งหรูหรายิ่งนัก เห็นชัดยิ่งว่าเป็นบ้านของผู้ดีชนบทผู้ร่ำรวยคนหนึ่ง

 

 

แน่นอนเวลานี้เป็นของแม่ทัพจินคนนี้แล้ว ส่วนผู้ดีชนบทคนนั้นไม่ตายไปแล้วก็หนีลงใต้ไปแล้ว

 

 

รอบด้านแม่ทัพจินยังมีลูกน้องอีกห้าคน พวกเขานั่งล้อมวงอยู่ ตรงหน้าตั้งโต๊ะน้ำชาไว้ บ่าวหญิงอายุน้อยสองคนกำลังชงชา

 

 

เพียงแต่บนร่างพวกเขาสวมชุดเกราะอยู่ ไม่เข้ากับภาพที่เดิมทีควรสง่างามนี่นัก

 

 

แน่นอนย่อมไม่มีคนสนใจ

 

 

“ตอนนั้นบอกว่าจะยกกำลังทั้งแคว้นโจมตีคราวเดียว อันตรายเกินไปแล้วจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเฉิงกั๋วกงบุกอี้โจวกะทันหัน องค์ชายห้าเกือบถูกทำร้าย ฮ่องเต้ก็ลังเลแล้ว ที่ปรึกษาอวี้กล่อมแล้วกล่อมอีกบอกว่าไม่อาจถอย บอกว่าชนะได้” แม่ทัพจินเอ่ยต่อ “ฝ่าบาทสงสัยยิ่ง แรกสุดทหารโจวเหี้ยมหาญ ต่อมายังมีอาวุร้ายที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนอีก จะชนะได้อย่างไร”

 

 

“ใช่แล้ว” ลูกน้องทั้งหลายที่นั่งล้อมอยู่ข้างกายพากันพยักหน้า “อาวุร้ายนั่นน่ากลัวจริงๆ สอบถามดูได้ยินว่านานมาแล้วมีแม่ทัพชราเล่าว่าเมื่อยี่สิบปีก่อนเคยปรากฏอยู่หลายครั้งเช่นกัน บอกว่าเป็นอาวุธเทพที่ร่วงลงมาจากฟ้า ต่อมาก็หายไป ยังคิดว่าเทพบนสวรรค์เก็บกลับไปแล้ว คิดไม่ถึงเว้นไปนานเช่นนี้กลับปรากฏขึ้นมาอีก อาวุธเทพอันใด ล้วนเป็นคนกระทำ” แม่ทัพจินเอ่ย “ที่ปรึกษาอวี้บอกกับฝ่าบาทว่าขอเพียงเป็นคนกระทำก็ไม่มีสิ่งใดน่ากลัว”

 

 

“ทว่าของนั่นน่ากลัวจริงๆ นะ” ลูกน้องที่นั่งล้อมอยู่คนหนึ่งอดไม่ได้เอ่ยขึ้น “ที่ปรึกษาอวี้ทำไมมั่นใจเช่นนี้ว่าพวกเราชนะได้?”

 

 

แม่ทัพจินยิ้มเล็กน้อย

 

 

“ที่ปรึกษาอวี้บอกไว้” เขาเอ่ย เสียงฉับพลันเปลี่ยนไป “เพราะขุนนางมีอำนาจในราชสำนัก ไม่มีทางมีแม่ทัพใหญ่สร้างคุณงามความชอบอยู่ข้างนอกได้นาน”

 

 

ประโยคนี้เขาพูดด้วยภาษาโจว

 

 

แม้สำเนียงประหลาด แต่ก็นับว่าพูดสำเนียงแดนเหนือได้ชัดถ้อยชัดคำ เห็นชัดยิ่งว่านี่คือกำลังลอกเลียนที่ปรึกษาอวี้คนนั้นอยู่

 

 

แม่ทัพจินทั้งหลายที่ถูกส่งมาประจำการที่นี่มากน้อยล้วนเข้าใจภาษาโจวอยู่บ้าง เพียงแต่ถ้อยคำสละสลวยพวกเขาต้องคิดนิดหนึ่งถึงเข้าใจ จากนั้นจึงหัวเราะเสียงดังขึ้นมา

 

 

“ที่ปรึกษาอวี้คาดการณ์ได้ดั่งเทพ” พวกเขาพากันเอ่ย พลางชูชาขึ้น

 

 

ผู้คนดื่มคำเดียวหมดหัวเราะบ้าคลั่งอีกหน ท่ามกลางเสียงหัวเราะดุร้ายนี่บ่าวหญิงตัวน้อยสองคนนั้นอดไม่ได้ตัวสั่นระริก ศีรษะยังไม่กล้าเงยขึ้น

 

 

“เฉิงกั๋วกงจูซานจบสิ้นแล้ว ถ้าเช่นนั้นแผนการใหญ่ของพวกเราก็ดำเนินการได้แล้ว” ลูกน้องคนหนึ่งวางชามชาลงเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น

 

 

แม่ทัพจินกลับยกมือโบก

 

 

“ไม่ ที่ปรึกษาอวี้บอกว่าตอนนี้ยังไม่จบ” เขาเอ่ย สีหน้าเย็นเยียบแต่ก็มีความร้อนระอุบ้าคลั่งอยู่ด้วย “ยังไม่นับว่าจบ นี่แค่เพิ่งเริ่มต้น”

 

 

…………………………