บทที่ 171 หวางเจียงหลิง

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 171

หวางเจียงหลิง

วันต่อมาผู้ลี้ภัยทั้งสามก็ได้เดินทางออกจากหอการค้า หยูเย่ตั้งแต่เช้าตรู่โดยที่ไม่ได้ร่ำลาเย่เย่ที่ยังคงหมกตัวอยู่ในห้องเพื่อปรับสมดุลพลังให้พร้อมสำหรับการเลื่อนขั้นวรยุทธ์

หนึ่งในเหตุผลที่เย่เย่ไม่ยอมเข้าร่วมกับนิกายลำนำแห่งขุนเขาก็เพื่อกำจัดศัตรูตรงหน้าอย่างหลินซิวเหยียนก่อนที่ตำหนักประกายแสงของเขาจะจับมือกับนิกายวิถีสวรรค์เพื่อยึดภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ได้สำเร็จ มิเช่นนั้นหอการค้าหยูเย่ของเขาอาจตกอยู่ในอันตรายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

หลังจากที่ซูฉีเจี่ยส่งสาส์นลับเกี่ยวกับแผนบุกโจมตีตำหนักประกายแสงให้กับสำนักดาบ เย่เย่คาดว่าต้องใช้เวลาอีกสักพักกว่าที่พวกเขาจะลงมติและตอบกลับมา แต่ทว่าสองวันให้หลังเหล่าศิษย์แห่งสำนักดาบบูรพาไร้พ่ายก็เดินทางมาถึงหลิงเฉิง

ครั้งนี้ไม่เพียงแต่หวางฉีเจี่ยผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักดาบ แต่หวางเจียงหลิง จ้าวสำนักก็เดินทางมาพร้อมกับเหล่าสมาชิกระดับสูงอีกด้วย ทันทีที่พวกเขาก้าวเท้าเข้ามาในอาณาเขตของเมืองหลิงเฉิง สายสืบของหอการค้าหยูเย่ก็เข้ารายงานแก่ซูฉีเจี่ยในทันที หลังจากที่เขาทราบข่าว สีหน้าก็ไม่ค่อยสู้ดีนักและรีบรายงานแก่เย่เย่เพื่อขอคำชี้แนะ ดูเหมือนว่าการมาเยือนหลิงเฉิงของสำนักดาบในครั้งนี้จะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว

หวางเจียงหลิงผู้นี้เป็นถึงอันดับที่ 85 ในบัญชีรายชื่อมังกรสวรรค์ แม้ว่าจะไม่แข็งแกร่งเท่าหลินซิวเหยียน แต่อันดับของเขาก็ไม่ได้ได้มาโดยง่าย แม้แต่ตัวหลินซิวเหยียนเองก็มีความยำเกรงจ้าวสำนักดาบผู้นี้อยู่ไม่น้อย

แม้ว่าเย่เย่นั้นเคยเอาชนะมูหลงผู้ไร้เทียมทานได้ในการต่อสู้แบบตัวต่อตัว แต่เขาก็ไม่สามารถ มองข้ามยอดฝีมือผู้ลึกลับอย่างหวางเจียงหลิงไปได้ อย่างไรก็ตามสำหรับเย่เย่แล้วคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวที่สุดสำหรับเขาก็คือคู่ต่อสู้ที่เขาไม่มีข้อมูล

เมื่อเย่เย่ทราบข่าว เขาก็รีบนำซูฉีเจี่ยและสมาชิกระดับสูงบางส่วนออกไปต้อนรับที่หน้าประตูทางเข้าหอการค้า

“ท่านหวางผู้ยิ่งใหญ่ เป็นความผิดของข้าน้อยเองที่ไม่ได้เตรียมต้อนรับท่านอย่างดี ได้โปรดให้อภัยด้วย” เย่เย่ประสานมือคำนับชายชราผู้มีคิ้วสีขาวยาวราวกับเทพฮกลกซิ่ว พลางเหลือบมองและคำนวณไพร่พลของอีกฝ่ายคร่าวๆด้วยสายตา

ชายสูงวัยผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือหวางเจียงหลิง จ้าวสำนักดาบบูรพาไร้พ่าย เมื่อเขาสังเกตเห็นเย่เย่เขาก็รีบยกมือขึ้นสั่งให้กระบวนทัพของเขาหยุดเท้าลง ก่อนจะตอบกลับเย่เย่อย่างใจเย็น

“เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ท่านเย่ออกมาต้อนรับด้วยตนเองเช่นนี้ ข้าได้ยินกิตติศัพท์ของท่านมาหนาหูทีเดียว”

“ข้าต่างหากที่ต้องรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้พบมังกรสวรรค์อย่างท่านตัวเป็นๆ เชิญ”

เย่เย่ผายมือเชิญจ้าวสำนักดาบและพรรคพวกของเขาไปยังโถงประชุมที่ชั้นบน

“มังกรสวรรค์อะไรกัน? มันก็เป็นแค่ตัวเลขที่พวกมันสุ่มๆขึ้นมาทั้งนั้น ทุกวันนี้เหล่ายอดฝีมือนิรนามต่างก็แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ บัญชีรายชื่อมังกรสวรรค์ก็ไม่ต่างอะไรจากนิทานหลอกเด็ก ท่านประธานเย่อย่าได้ติดใจนักเลย” ระหว่างที่เดินตามเย่เย่ขึ้นไปที่โถงประชุม หวางเจียงหลิงก็พูดกับเย่เย่อย่างถ่อมตน แต่เย่เย่นั้นก็สัมผัสได้ถึงความดูถูกดูแคลนเหล่ามังกรสวรรค์จากน้ำเสียงของชายชรา

จริงอย่างที่ชายแก่ว่าในปัจจุบันอันดับมังกรสวรรค์นั้นไม่ต่างอะไรจากเรื่องแหกตา ทุกวันนี้มันไม่สามารถบ่งบอกถึงพลังที่แท้จริงของจอมยุทธ์คนนั้นๆได้อีกต่อไปแล้ว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดก็คือตัวเย่เย่เอง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ติดอันดับใดๆแต่เขาก็สามารถเอาชนะมูหลงในการต่อสู้แบบตัวต่อตัวได้

ตัวเย่เย่เองนั้นไม่ได้ให้ความสำคัญกับตัวเลขจัดตั้งพรรค์นี้อยู่แล้ว แต่ข้อมูลจากปากของชายชราทำให้เขาคาดเดาได้ว่าพลังที่แท้จริงของชายแก่ผู้นี้คงไม่ใช่แค่อันดับ 85 เป็นแน่ เผลอๆจ้าวสำนักผู้นี้อาจไม่ได้ด้อยไปกว่ามูหลงเลยด้วยซ้ำ

หลังจากที่พวกเขานั่งลง เย่เย่ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง เขาพูดเจาะประเด็นที่เขาต้องการฟังจากปากจ้าวสำนักโดยตรง “ข้ามั่นใจว่าท่านคงจะทราบถึงแผนของพวกข้าดีอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าที่ท่านยกไพร่พลมาโดยเร็วนี่เพื่อเหตุอันใด?”

สิ้นเสียงของเย่เย่ ทั้งโถงประชุมก็เงียบลงอย่างน่าประหลาด สีหน้าของเหล่าศิษย์สำนักดาบก็เปลี่ยนไปในทันที แม้แต่หวางฉีเจี่ยเองก็ไม่ได้พูดอะไร เขาเอาแต่จ้องมองไปที่ จ้าวสำนักราวกับรออะไรบางอย่าง

“สำนักของพวกข้าเองก็มีความขัดแย้งกับตำหนักประกายแสงเช่นเดียวกับท่าน แต่ก่อนอื่นข้าอยากจะทราบว่าท่านเย่ต้องการจะทำอย่างไรต่อไปเมื่อโค่นล้มหลินซิวเหยียนได้แล้ว?”

เช่นเดียวกับเย่เย่ หวางเจียงหลิงก็ไม่ได้พูดออกทะเลแต่อย่างใด เขาพูดจี้จุดสำคัญที่กวนใจเขามาเป็นเวลานาน เขาตั้งศอกประสานมือและจ้องเย่เย่ไม่วางตา ราวกับต้องการจะอ่านสีหน้าและอารมณ์ของประธานหอการค้า

อย่างไรก็ตาม เย่เย่นั้นก็ยังคงสุขุมเยือกเย็น และไม่ได้แสดงสีหน้าออกมามากนัก เขาใช้เวลาคิดเพียงเสี้ยววิ ก่อนตอบกลับหวางเจียงหลิงอย่างตรงไปตรงมา

“อย่างที่ผู้อาวุโสหวางฉีเจี่ยและข้าทำข้อตกลงกันไว้ในตอนต้น ไม่ว่าฝ่ายไหนจะเป็นผู้ชนะและขึ้นปกครองภูมิภาค อีกฝ่ายต้องให้การยอมรับอย่างไม่มีข้อโต้แย้ง แต่ก่อนหน้านั้นข้าขอสาบานด้วยความสัตย์จริง หอการค้าหยูเย่จะไม่หักหลังสำนักของท่านในขณะที่ทำศึกกับตำหนักประกายแสงดังนั้นท่านจ้าวสำนักได้โปรดวางใจ”

น้ำเสียงของเขาหนักแน่น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น และไม่มีลูกเล่นอะไรแอบแฝง ทำให้เหล่าศิษย์ในโถงประชุมต่างวางใจ แต่อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าชายชรายังไม่พอใจในคำตอบของเย่เย่ เขาลุกขึ้นประท้วงเย่เย่ในทันที

“ทุกวันนี้โลกถูกปกคลุมด้วยไฟของสงคราม พวกข้าไม่มีเวลามานั่งจิบน้ำชาในสวนดอกไม้แบบเจ้าหรอกนะ ถ้าพวกเราทำตามอย่างที่เจ้าว่ามาละก็ไม่ทันกินกันพอดี!”

“เช่นนั้นจะให้ข้าน้อยทำเช่นไร ได้โปรดชี้แนะด้วย” เย่เย่ก็ลุกขึ้นและจ้องหวางเจียงหลิง ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างที่เขาคาดเดาเอาไว้ไม่มีผิด

“ง่ายมาก ท่านกับข้ามาประลองยุทธ์กัน หากท่านเอาชนะข้าได้โดยที่ไม่ใช้ค่ายกลล่ะก็ สำนักดาบนี้เป็นของท่านในทันที หากข้าชนะหอการค้าของท่านก็ต้องยอมสวามิภักดิ์ต่อข้า ท่านคิดว่าอย่างไร?” ทันทีที่จ้าวสำนักพูดจบ ซูฉีเจี่ยและเหล่าสมาชิกหอการค้าก็ตาเบิกโพลงด้วยความตกตะลึง มีเพียงเหล่าศิษย์แห่งสำนักดาบที่ฉีกยิ้มออกมาอย่างมั่นใจประหนึ่งวันที่พวกเขารอคอยมาถึง

สมาชิกระดับสูงของหอการค้าหยูเย่ต่างแสดงสีหน้าเป็นกังวล พวกเขากลัวว่าเย่เย่จะตอบรับข้อเสนอที่ถูกตระเตรียมมาเป็นอย่างดีของอีกฝ่ายอย่างไม่คิดหน้าคิดหลัง ซูฉีเจี่ยและคนอื่นๆก็ออกหน้าปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าวแทนเย่เย่

ในสายตาพวกเขาการทำศึกกับตำหนักประกายแสงโดยปราศจากความช่วยเหลือจากสำนักดาบนั้นย่อมดีกว่าการกระโดดลงไปในหลุมพรางที่สำนักดาบขุดเอาไว้เป็นไหนๆ

แต่เย่เย่นั้นไม่ได้ปฏิเสธในทันที เขามองไปยังผู้คนรอบข้าง ก่อนจะยอมรับข้อเสนอของหวางเจียงหลิง

“ย่อมได้! ข้าก็อยากจะรู้นักว่ากองกำลังเสริมในอนาคตของข้าจะมีฝีมือสักแค่ไหน?”

เมื่อเย่เย่พูดจบ บรรยากาศรอบๆทั้งฝ่ายหอการค้าและสำนักดาบต่างเดือดพล่าน

นัยน์ตาของหวางเจียงหลิงก็สะท้อนความแปลกใจออกมาเล็กน้อย เขาคาดไม่ถึงว่าเย่เย่จะตอบตกลงในศึกที่เดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างได้รวดเร็วขนาดนี้ แต่เขาก็ฉีกยิ้มออกมาและหัวเราะเสียงดังลั่น “ฮ่าฮ่าฮ่า สมแล้วที่เป็นท่านประธานเย่ ช่างเฉียบแหลมเสียนี่กะไร! ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร ข้าและสำนักดาบก็จะไม่นึกเสียใจภายหลัง”

“ข้าช่างโชคดียิ่งนักที่ได้พบบุรุษเยี่ยงท่าน ท่านหวาง!” เย่เย่ผายมือเชิญจ้าวสำนักดาบออกไปยังลานประลองด้านนอกพร้อมกับเหล่าสมาชิกระดับสูงของทั้งสองฝ่าย

แม้ว่าจะเข้าทางพวกเขา แต่หวางฉีเจี่ยกลับรู้สึกกังวลอยู่ไม่น้อยจากแรงกดดันมหาศาลของชายผู้ที่ได้ขนานนามว่าเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในภูมิภาคอย่างเย่เย่

เมื่อผู้นำทั้งสองมาถึง พวกเขาก็กระโดดลงไปที่เวทีประลองใจกลางสนามทันที

“กฎของการประลองนั้นง่ายมาก ใครหมดสภาพหรือตกลงจากเวทีก่อนจะถือว่าแพ้ในทันที”

เสวี่ยหยูประกาศกฎการประลองให้กับพวกเขาทั้งคู่ และยกมือขึ้น ก่อนจะฟาดมือลงให้สัญญาณเริ่มการประลอง

“เริ่มได้!”

ในเวลานี้บนอัฒจันทร์ไม่เพียงแต่แน่นขนัดไปด้วยสมาชิกหอการค้า และเหล่าศิษย์แห่งสำนักดาบบูรพาไร้พ่าย แต่ยังมีชาวเมืองบางส่วนที่ได้ยินเสียงอึกทึกคึกโครมดังมาจากในสนามประลองแห่แหนกันเข้ามาชมศึกตัดสินที่จะชี้ชะตาอนาคตผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียวของภูมิภาคอีกด้วย

เสวี่ยหยูและเจิ้งซูต่างถอนหายใจออกมาอย่างหนักใจ แต่ทั้งสองก็รู้ดีว่าไม่ว่าพวกเขาจะโน้มน้าวอย่างไรก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจเย่เย่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงได้แต่ก้มหน้าภาวนาขอให้การต่อสู้ครั้งนี้จบลงได้ด้วยดี

ทั้งหวางเจียงหลิงและเย่เย่จ้องกันตาไม่กะพริบ พวกเขาต่างเพ่งสมาธิไปที่ศัตรูที่อยู่ตรงหน้า ราวกับโลกทั้งใบเหลือเพียงพวกเขา ทันใดนั้นเองเย่เย่ก็กวักมือท้าทายชายชรา หวางเจียงหลิงจ้าวสำนักดาบก็ไม่รอช้า ควักดาบออกจากฝักและพุ่งเข้าหาเย่เย่ด้วยรังสีอำมหิต…