รถไฟรางเบาที่ซาร์ดิเนียจะมุ่งหน้าไปทางเหนือ มันจะแล่นผ่านเมืองที่งดงามชื่อว่าโอริสตาโน และจะไปหยุดที่สถานีสุดท้ายที่เมืองโอลเบียซึ่งเป็นเมืองทางเหนือของซาร์ดิเนีย
หลี่ว์ซู่และคอรัลนั่งอยู่ในรถไฟแล้วมองออกไปข้างนอก คอรัลมองทุกอย่างที่รถไฟแล่นผ่านราวกับว่าเธอพยายามจะจดจำความทรงจำที่แสนสวยงามนี้ไว้ให้หมด
เธอแน่ใจว่าหลี่ว์ซู่ไม่ได้รู้สึกกับเธอแบบความรักที่ร้อนแรง ดูเหมือนว่าเขาแค่อยากจะปกป้องและช่วยเหลือ หรือตอบแทนความรู้สึกของเธอเท่านั้น
แต่เธอก็ไม่สนใจหรอก พวกเขาหนีออกมาด้วยกันแล้ว จะไปที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น
เสียงหอกกุงเนียร์ที่แตกออกในร่างกายชองเธอฟังดูเหมือนธารน้ำแข็งที่แตกแล้วตกลงไปในหน้าผา คอรัลเลือกที่จะไม่หลอกตัวเองและคนอื่นอีกต่อไปว่ามันมีต้นไม้แห่งโลกที่ซาร์ดิเนียอยู่หรือเปล่า เธอเอาคนทั้งกลุ่มเทวามาเสี่ยงกับเธอแล้ว และเธอก็ตัดสินใจจะผ่านเรื่องนี้ไปอย่างเงียบๆ
แต่คอรัลเองก็แห็นแก่ตัวเหมือนกัน เธออยากจะใช้ช่วงเวลาสุดท้ายกับหลี่ว์ซู่
ถึงแม้ว่ามันจะทำให้หลี่ว์ซู่มีปัญหามากมายในอนาคต แต่คอรัลขอเห็นแก่ตัวสักครั้งเถอะ ถ้าทำแบบนี้แล้วหลี่ว์ซู่คงจะไม่ลืมเธอแน่ๆ
ทั้งสองข้างทางที่รถไฟแล่นไปเต็มไปด้วยต้นหญ้า หญ้าที่แสนบอบบางนั้นปลิวไปตามแรงลม ทันใดนั้นพวกเขาก็ผ่านก้อนหินก้อนหนึ่งที่ถูกจารึกว่า ‘แล้วข้าได้เห็นสวรรค์แห่งใหม่และโลกแห่งใหม่ เมื่อคราวสวรรค์แรกและโลกแรกได้ตายจาก ที่แห่งนั้นไม่มีทะเลอีกต่อไป’
พวกเขากำลังจะเข้าใกล้ชายฝั่งของซาร์ดิเนียแล้วเพราะพวกเขาเดินทางออกมาจากทะเล ประโยคที่ว่านั่นมาจากพระคัมภีร์ไบเบิล ดูเหมือนว่าจะมีความหมายอะไรซ่อนอยู่ในการจารึกนี้แน่
คอรัลหันมายิ้มให้หลี่ว์ซู่ “นายชอบบทกวีหรือเปล่าหลี่ว์ซู่”
หลี่ว์ซู่คนฉลาดได้ยินอย่างนั้นไปก็รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย “เมื่อก่อนฉันไม่ค่อยมีเวลามาสนใจเรื่องอะไรพวกนี้หรอก พอหลังยุคพลังจิตวิญญาณฟื้นคืนก็ยิ่งไม่มีเวลาใหญ่เลย”
เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าอยากจะเป็นนักเขียนนิยาย เขาคงได้แต้มอารมณ์มาอย่างท่วมท้นเลยถ้าหักมุมตอนจบเสียหน่อย แต่กิมย้ง [1]
ก็ทำแบบนั้นไปแล้ว หลี่ว์ซู่ว่าตอนที่เซียวเล้งนึ่ง [2]
เสียร่างกายของเธอไป กิมย้งก็คงรู้สึกแข็งแกร่งเป็นอมตะไปแล้ว
แต่ประสบการณ์ชีวิตของหลี่ว์ซู่ทำให้เขาไม่ได้ฉายแววออกมาอย่างเต็มที่ เขาฉลาดมาก แต่ไม่ได้มีเวลาไปจัดการเรื่องของอย่างอื่นเลย
คอรัลเลยพูดกลับมาอย่างร่าเริง “ตอนฉันเด็กๆ แล้วต้องอยู่บ้านคนเดียวน่ะนะ ฉันทำได้แค่อ่านหนังสือแล้วหาเพื่อนในหนังสือนั่นแหละ หรือไม่ฉันก็ไปดูว่าคนเขียนเขามองโลกผ่านเรื่องที่เล่ายังไง เมื่อก่อนโลกของฉันมันบิดเบี้ยวไปหมด ที่บ้านฉันเอาแต่เรื่องดีๆ มาใส่หัวแล้วปิดกั้นเรื่องแย่ๆ อย่างอื่นไปหมด ทุกคนแสนจะสุภาพกับฉันมาก พอฉันไปกินข้าวที่โรงอาหาร พวกเจ้าของร้านก็น่ารักกับฉันมาก แต่ฉันรู้นะว่าแต่ละคนมีเรื่องให้กลุ้มใจกันหมด แต่ฉันเห็นแค่ด้านดีเท่านั้น ฉันทำให้พวกเขาบอกความอัดอั้นในใจออกมามาไม่ได้เลย พอคิดมาถึงตอนนี้แล้วก็รู้สึกเสียดายนิดหน่อยน่ะ”
“โชคดีขนาดไหนแล้วรู้ไหมเนี่ย…” หลี่ว์ซู่ถอนใจออกมา “ฉันล่ะอยากจะมีประสบการณ์แบบนั้นบ้างเหมือนกัน ตอนที่อะไรๆ ก็มีความสุขไปหมด รู้ไหมว่าเมื่อก่อนฉันต้องไปขายไข่ข้างถนนด้วยล่ะ ถึงอย่างนั้นก็ยังได้เงินปลอมมาห้าสิบหยวน ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่าจะหาอาหารที่ไหนมากินในคืนนั้นกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ ฉันสติแตกจนร้องไห้ออกมาเลย ฉันอยากจะออกไปใช้เงินปลอมที่ได้มานั่น เพราะโลกมันทำกับฉันแบบนี้นี่ ฉันก็น่าจะทำแบบนั้นด้วยใช่ไหม พอลังเลไปสักพัก แต่สุดท้ายฉันก็ฉีกเงินนั้นทิ้ง”
หลี่ว์ซู่เพิ่งเข้าใจว่าคอรัลก็เข้าใจความเป็นไปของโลกนี้เหมือนกัน เธอก็อาจจะนึกภาพออกแหละ แต่ไม่ค่อยมีโอกาสจะเจอเรื่องพวกนี้กับตัว เธอก็เลยบอกว่าโลกของเธอมัน ‘บิดเบี้ยว’ สินะ
คอรัลเข้าเข้าใจความเจ็บปวดที่หลี่ว์ซู่เจอเงินปลอมในตอนนั้น แต่เหตุการณ์พวกนั้นก็ทำให้ชายหนุ่มตรงหน้าเธอเป็นเขาได้ในทุกวันนี้ เธอเลยรู้สึกมีความสุข
เธอพูดตอบกลับมาว่า “คำพูดที่ฉันชอบมากที่สุดมาจากซิออน เดอร์เร่ เขาบอกว่า ‘เวลาที่เหมาะที่สุดในการปลูกต้นไม้คือสิบปีก่อน และเวลาที่เหมาะสมเป็นลำดับที่สองก็คือตอนนี้เลย’ มีอีกคำพูดหนึ่งที่เออร์เนส แฮมมิงเวย์พูดเหมือนกันนะ ‘ความกล้าหาญเป็นความสง่างามในยามคับขัน’ แล้วนายล่ะ มีคำพูดที่ชอบบ้างไหม”
หลี่ว์ซู่อึ้ง เขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองเป็นเตี้ยวซือ [3]
ชายหนุ่มคนนี้เจอคนฉลาดๆ เข้าไปแล้วไม่รู้จะต้องทำตัวอย่างไร เกียรติของชายหนุ่มคนนี้ก็คือการทำอะไรน่าสนใจๆ ต่อหน้าเพศตรงข้ามเพื่อทำให้พวกเธอประทับใจ แต่ตอนนี้หลี่ว์ซู่ไม่รู้จะพูดอะไรต่อเลย
.” ไม่มีเลยสักประโยคเลยเหรอ” คอรัลเอียงคอถามยิ้มๆ หลี่ว์ซู่คนเถื่อนต้องเงียบไปเป็นเวลานานก่อนจะตอบ
“เปลี่ยนตัวเลขถ้ามันเป็นเลขคี่ แต่ถ้าเป็นเลขคู่ก็ไม่ต้องทำอะไร จะติดลบหรือจะเป็นบวกขึ้นอยู่กับว่าอยู่จตุภาคไหนของในวงกลม… อย่างนี้ได้ไหมล่ะ”
“ฮ่าๆๆๆ” นี่คงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุดในชีวิตของคอรัลแล้ว เธอไม่เข้าใจเลยว่าหลี่ว์ซู่คิดยังไง แต่เขาเอาคำพูดนั่นขึ้นมาพูดตอนที่คุยกันจริงจังแบบนี้เนี่ยนะ
เสียงหัวเราะของเธอทำให้ผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างหน้าพวกเขาหันมามองอย่างเอ็นดู คอรัลรีบตะครุบปากตัวเองไว้แล้วกระซิบขอโทษไป แต่ว่ากลับไม่มีแต้มอารมณ์ใดๆ เกิดขึ้น
หลี่ว์ซู่มองดูคอรัลที่มองดูออกไปนอกหน้าต่างด้วยสายตามีความสุข อย่างใจลอย แดดยามบ่ายส่องเข้ามาในรถไฟและส่องประกายไปมาที่ปลายเส้นผมของเธอ
คอรัลยอมฟังมุกตลกห่วยๆ ของหลี่ว์ซู่แบบไม่บ่นและไม่ให้แต้มอารมณ์เลยสักนิด หลี่ว์ซู่ที่เป็นเจ้าแห่งการทำลายบรรยากาศเจอหญิงสาวที่ไม่ให้แต้มอารมณ์ใดๆ เมื่อฟังมุขตลกของเขาแล้ว
เพราะตอนนี้คอรัลมีความสุขมากเหลือเกิน…
คำว่า ‘โชคชะตา’ เป็นสิ่งไกลตัวสำหรับหลี่ว์ซู่มากเพราะเขารู้สึกว่าชีวิตตัวเองถูกสาปมาโดยตลอด แต่เรื่องพวกนี้มันกลับย้อนมาหาเขาแล้วล่ะ
แต่หลี่ว์ชู๋ไม่ค่อยแน่ใจในอะไรบางอย่าง นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่เขานั่งอยู่ข้างผู้หญิงสวยๆ บนรถไฟแบบนี้ และกำลังมุ่งหน้าไปที่ไหนไม่รู้ไกลแสนไกล
แต่แล้วหลี่ว์ซู่ก็ลุกยืนขึ้นและไปหยุดอยู่หน้าผู้ชายวัยกลางคนคนหนึ่งที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์แบบสบายอารมณ์อยู่ หลี่ว์ซู่พูดกับเขาว่า “ทำไมไม่รีบลงรถไฟไปเองตอนที่ฉันกำลังอารมณ์ดีล่ะ นี่ให้โอกาสแล้วนะ”
ผู้ชายวัยกลางคนคนนั้นสูดหายใจเข้าลึกและวางหนังสือพิมพ์ลง เขาไม่ได้แก้ตัวและไม่ได้ลังเลที่จะกระโดดออกไปจากรถไฟที่กำลังแล่นอยู่สู่ทุ่งหญ้าข้างนอกรถไฟ
พวกผู้มีพลังไม่ต้องคิดมากกับแรงเฉื่อยพวกนี้หรอก เหตุการณ์ครั้งนี้เตือนหลี่ว์ซู่ไว้ว่าทางข้างหน้านั้นอันตรายมากแค่ไหน
แต่เขาจะทำอะไรได้ล่ะ คอรัลเริ่มเห็นเมฆทะมึนจากทางเหนือเข้ามาบดบังพระอาทิตย์ “ฝนจะตกอีกแล้วล่ะ”
หลังจากที่หัวหน้าบาทหลวงโดนบีบให้อยู่ในเมืองทางตอนใต้ของซาร์ดิเนียต่อไป พวกสมาชิกคนอื่นๆ ของกลุ่มแก่นความเชื่อทั่วทั้งยุโรปก็เริ่มแห่กันมาตามทางที่หลี่ว์ซู่และคอรัลมุ่งหน้าไป
ราวกับว่าพวกเขามาตามกลิ่นเลือด เหมือนกับเมฆสีเทาที่ลอยอยู่บนฟ้า หลี่ว์ซู่ที่อยู่ข้างๆ คอรัลพร้อมจะเผชิญหน้ากับใครก็ตามที่จะเข้ามา
เขาไม่ได้นึกถึงเลยว่าเมื่อเขาอยู่ใกล้คอรัลแล้วรอยสีขาวที่ฝ่ามือก็กลับหายไปอย่างต่อเนื่อง อย่างกับว่ามันจะโผล่ขึ้นมาสู่ภายนอกอย่างนั้น
——
[1] เป็นนักเขียนนิยายกำลังภายในที่ได้รับความนิยมมาก มักเขียนนิยายโดยแฝงเนื้อหาทางการเมืองบางอย่างไว้
[2] เป็นสตรีงามที่สุดในนิยายกำลังภายใน
[3] เป็นศัพท์แสลงของจีน หมายถึงชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาและมีฐานะในสังคมระดับกลางๆ เกิดมาในครอบครัวที่ต่ำต้อย