ตอนที่ 612 ความขัดแย้งในราชสำนัก

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 612 ความขัดแย้งในราชสำนัก

จ้าวหลานหยู่พยายามอธิบายต่อ “ใช่พ่ะย่ะค่ะ ขอเพียงฟู่หวงให้เวลาลูกอีกสองวัน ลูกจักหาวิธีที่ดีกว่านี้มาให้อย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ ! ” น้ำเสียงของเขาตื่นเต้นขึ้นเล็กน้อย ทว่าน่าเสียดายที่การแสดงออกมิได้ทำให้ฮ่องเต้มีความเชื่อมั่นแต่อย่างใด

สีพระพักตร์จึงเคร่งขรึมขึ้นพลางทอดพระเนตรไปทางคนของจ้าวหลานหยู่จนทำให้พวกเขารู้สึกสั่นสะท้านอย่างห้ามมิอยู่ แผ่นหลังของพวกเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อ อำนาจของฮ่องเต้ที่แผ่ออกมามิใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถตั้งรับได้

จ้าวหลานหยู่ยังมีความพยายาม “ฟู่หวง”

“พอ ! ” แต่ฮ่องเต้ขัดขึ้นมาด้วยสีพระพักตร์ที่เต็มไปด้วยความมิพอพระทัย เห็นได้ชัดว่าทรงผิดหวังกับการแสดงออกของจ้าวหลานหยู่มิน้อย

“ในเมื่อไม่มีผู้ใดที่มีข้อเสนอดีกว่านี้ก็ทำตามข้อเสนอของอ๋องมู่แล้วกัน”

“ฝ่าบาททรงพระปรีชายิ่งนักพ่ะย่ะค่ะ ! ” เหล่าขุนนางทั้งหลายน้อมรับพระบัญชาโดยพร้อมเพรียง

ความขัดแย้งในราชสำนักนั้นพวกเขาต่างก็รู้เห็นกันอยู่ แม้ภายในใจมีคนที่ตนเลือกสนับสนุนอยู่แล้ว ทว่าต่อหน้าพระพักตร์ก็ทำได้เพียงพยายามทำตัวเป็นขุนนางที่ดีและทำตามหน้าที่ของตนเท่านั้น

มู่จวินฮานมองพระพักตร์ของฮ่องเต้ที่กำลังชื่นชมตน และในขณะที่จะถอนสายตากลับมาก็ได้สบตากับจ้าวหลานหยู่ด้วยแววตาที่แฝงความหมายบางอย่าง

แววตานั้นกลับโดนจ้าวหลานหยู่เข้าใจผิดว่ามู่จวินฮานตั้งใจยั่วยุ ดังนั้นภายในใจจึงรู้สึกเจ็บแค้นขึ้นมา

เมื่อกลับถึงจวน จ้าวหลานหยู่ที่เต็มไปด้วยความโกรธจึงปาข้าวของจนกระจัดกระจายเกลื่อนพื้นต่อหน้าลูกน้อง ก่อนที่เสียงเครื่องเคลือบลายครามที่ตกแตกบนพื้นจักทำให้เหล่าลูกน้องที่อยู่รอบข้างกลัวจนตัวสั่นพลางยืนมองจ้าวหลานหยู่ระบายโทสะออกมา

พวกเขารู้ดีว่าหากมิให้จ้าวหลานหยู่ระบายความโกรธภายในใจออกมา มิแน่เขาอาจทำอันใดที่บุ่มบ่ามกว่านี้ ดังนั้นต่อให้ไม่สบายใจเพียงใดก็ทำได้เพียงก้มหน้าอย่างนอบน้อมแล้วฟังเสียงของตกแตกที่ดังขึ้นรอบห้องเท่านั้น

เพียงแต่การทำลายข้าวของยังมิทำให้จ้าวหลานหยู่พอใจ และเมื่อคิดไปคิดมาก็เป็นเพราะลูกน้องของตนไร้ความสามารถจึงทำให้มู่จวินฮานได้ความดีความชอบในครั้งนี้ไป

ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ก่อนที่เขาจะหมุนตัวไปต่อว่าบรรดาลูกน้องที่ยืนก้มหน้ารออยู่ “พวกเจ้าไร้ประโยชน์เสียจริง สั่งให้พวกเจ้าทำงานก็ทำมิสำเร็จ ให้หาวิธีก็หามิได้ มีลูกน้องไร้ความสามารถเยี่ยงพวกเจ้าแล้ว ข้าจักสู้มู่จวินฮานได้เช่นไร ! ”

เหล่าลูกน้องได้ยินจ้าวหลานหยู่ต่อว่าก็มิกล้าเอ่ยสิ่งใดออกมา ได้แค่รอจนจ้าวหลานหยู่คลายความโกรธลงแล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

พาลนึกถึงเมื่อตอนที่จ้าวหลานหยู่ทั้งแกล้งตายทั้งแสร้งทำเป็นอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ก็ยังสู้มู่จวินฮานมิได้อยู่ดี

ภายในจวนอ๋องมู่ อันหลิงเกอสั่งให้คนทำขนมดอกเหมยไปให้มู่เหล่าหวางเฟย

เมื่อผิงฟางหนิงรู้ก็มิพอใจเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังตั้งใจหาโอกาสไปก่อกวนความสัมพันธ์ของทั้งคู่ทันที

มู่เหล่าหวางเฟยกำลังหยั่งเชิงอันหลิงเกอ แต่ผิงฟางหนิงกลับเดินเข้ามาเสียก่อน นางเห็นท่าทางรักใคร่ระหว่างอันหลิงเกอและมู่เหล่าหวางเฟยอีกครั้งก็ยิ้มเย็นชาออกมาทันที ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงอันนุ่มนวลว่า “คารวะหมู่เฟยเจ้าค่ะ”

ทั้งสองคนตกใจขึ้นมา แต่ครั้งนี้ใบหน้าของมู่เหล่าหวางเฟยดูมิค่อยพอใจเท่าไรนักจึงตะโกนออกไปด้านนอก “เหตุใดจึงไม่มีผู้ใดรายงานข้าก่อน ! ”

ทันใดนั้นองค์รักษ์ด้านนอกก็รีบวิ่งเข้ามา ก่อนคุกเข่าให้มู่เหล่าหวางเฟย “เรียนมู่เหล่าหวางเฟย ! นายหญิงมิยอมให้พวกข้าน้อยรายงานขอรับ”

รอยยิ้มของผิงฟางหนิงแข็งค้างทันที ขณะมองมู่เหล่าหวางเฟยด้วยความตกใจ แววตาทอประกายน่าสงสารแล้วเอ่ยออกมา “หมู่เฟย เสี่ยวหนิงแค่อยากมาเยี่ยมท่านเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอเห็นดังนั้นก็ยิ้มเย็นออกมาและมิอยากอยู่รบกวนต่อจึงขอตัวออกมาก่อน

เดิมทีนางอยากไปสั่งให้ห้องครัวทำอาหารให้ แต่บังเอิญพบกับทัวป๋าถิงฟางเสียก่อน

“พวกเจ้าทำซุปเม็ดบัวให้ข้าที ข้าจักยกไปให้ท่านอ๋อง” ทัวป๋าถิงฟางเอ่ยออกมาด้วยท่าทางที่เต็มไปด้วยอำนาจขณะอยู่หน้าประตูห้องครัว อันหลิงเกอเห็นดังนั้นก็ก้าวถอยหลังออกมาแล้วสั่งให้ปี้จูเข้าไปแทน ส่วนนางก็ยืนรออยู่ที่เดิม

ทัวป๋าถิงฟางเห็นปี้จูก็รู้ได้ทันทีว่าอันหลิงเกอต้องมาด้วยแน่จึงหมุนตัวเดินไปหาอันหลิงเกอด้วยท่าทางคุกคาม

พริบตาเดียวทัวป๋าถิงฟางก็เดินมาหยุดอยู่ตรงด้านหน้าของอันหลิงเกอ ก่อนมองตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าอย่างประเมิน

จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ามิได้ตั้งครรภ์ ดูท่าพระชายาจักมีความสุขมิน้อย แม้แต่สีหน้าก็ดูสดใสขึ้นมากทีเดียว”

นางกล่าวพร้อมแฝงความหมายที่ว่าอันหลิงเกอมิอยากให้นางอยู่ที่นี่ คำพูดตั้งใจที่จักทำให้อันหลิงเกอตกที่นั่งลำบากอย่างชัดเจน

แต่อันหลิงเกอเพียงกวาดตามองเพราะมิอยากยุ่งกับสตรีผู้นี้แม้แต่น้อยแล้วเอ่ยออกไปตามมารยาทว่า “เจ้ากล่าวอันใด หากเจ้าโชคดีตั้งครรภ์ขึ้นมา ข้าต้องดีใจอยู่แล้ว” แม้เป็นคำกล่าวที่ฝืนใจแต่อันหลิงเกอก็พยายามพูดออกมาเพื่อให้ทัวป๋าถิงฟางมิสามารถเอ่ยเสียดสีได้อีก

เป็นจริงดังคาด เมื่อทัวป๋าถิงฟางได้ยินคำพูดของอันหลิงเกอ แม้รู้ว่าอีกฝ่ายเอ่ยออกมาตามมารยาท แต่เมื่อมิพบพิรุธใดจากใบหน้าจึงทำได้เพียงจ้องมองนิ่ง ๆ เท่านั้น

พอดีกับที่ปี้จูเดินมาจากห้องครัวและมาอยู่ข้างกายของอันหลิงเกอ นางจึงคำนับให้แก่ทัวป๋าถิงฟาง “คารวะเช่อเฟยเจ้าค่ะ”

“เฮอะ ในเมื่อพวกเจ้ามีคนมากกว่า ข้าขอตัวก่อนแล้วกัน” ทัวป๋าถิงฟางรู้ดีว่ามิสามารถหาเรื่องอันหลิงเกอที่นี่ได้อีกจึงยอมจากไป

ระหว่างที่เดินกลับ ปี้จูจึงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “พระชายา ก่อนหน้านี้ทัวป๋าถิงฟางกล่าวอันใดหรือเจ้าคะ ? บ่าวคิดว่านางต้องมิประสงค์ดีเป็นแน่”

อันหลิงเกอนึกถึงท่าทางของทัวป๋าถิงฟางก็รู้ดีว่าต้องมิหวังดีอย่างแน่นอน “ต่อไปหากพวกเราเจอนางอีกก็อย่าไปยุ่งกับนางแล้วกัน”

นางมิได้กลัวทัวป๋าถิงฟาง เพียงแต่การสร้างปัญหามิสู้การไร้ปัญหา เช่นนี้ย่อมเป็นการดีต่อทุกคน จักได้มิต้องทำให้มู่จวินฮานต้องคอยกังวลไปด้วย

ภายในจวนอ๋อง เดิมที่ซูเอ๋ออยากมาหาอันหลิงเกอ แต่ได้ยินว่าอันหลิงเกอมิได้อยู่ที่เรือนฝูหลิง

ขณะที่รออยู่นั้นซูเอ๋อก็เห็นเงาบางอย่างวิ่งผ่านไป นางจึงตามไปยังประตูหลังของจวนแล้วเดินตามต่อไปทางป่าด้านตะวันออก

“หึ เจ้ากระต่ายน้อย วันนี้ข้าจักพาเจ้ากลับไปให้ได้ ! ” ตอนนั้นเองซูเอ๋อได้เข้าไปในป่าเพื่อตามหากระต่ายป่าที่เห็นเมื่อครู่ทันที

ตอนแรกนางยังจำทางที่เข้ามาได้ แต่เมื่อเดินลึกเข้าไปและหันกลับมาอีกครั้งก็หาทางออกมิเจอเสียแล้ว ภายในใจจึงเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา

ทว่ากระต่ายตัวขาวราวกับหิมะเมื่ออยู่ท่ามกลางต้นไม้เขียวขจีจึงสะดุดตาอย่างมาก ความสนใจทั้งหมดของซูเอ๋อจึงถูกเจ้ากระต่ายตัวนั้นดึงดูดไปจนหมด นางยกกระโปรงขึ้นก่อนค่อย ๆ ก้าวเข้าไปใกล้กระต่ายอย่างระมัดระวัง

นางเกือบจับกระต่ายน้อยได้อยู่แล้ว มือก็ยื่นออกไปอยู่ตรงหน้าของมันแล้ว ทว่ากระต่ายตัวนั้นกระโดดเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็ว

ซูเอ๋อยังตามกระต่ายต่อไปอีก กระต่ายก็วิ่งเร็วมากและเพียงมินานก็ค่อย ๆ ห่างออกไป เมื่อเห็นกระต่ายตัวนั้นหลุดไปได้ซูเอ๋อจึงมองตามอย่างโมโห ก่อนจะมองไปรอบ ๆ เพื่อหวังว่าได้พบเป้าหมายใหม่

แต่เหมือนว่ากระต่ายทุกตัวในป่านี้พร้อมใจกันหลบซ่อนก็มิปาน นอกจากกระต่ายสีขาวที่พบเมื่อครู่แล้วมิว่านางมองหาอย่างไรก็ไม่เห็นกระต่ายอีกแม้แต่ตัวเดียว

ดูท่าแล้วหากไม่มีอันหลิงเกอช่วยก็คงจับมิได้แน่ นางจึงละทิ้งความคิดตามจับกระต่ายด้วยตนเองและเตรียมเดินกลับไป