ตอนที่ 331 คนแซ่ฉู่ / ตอนที่ 332 ขายหน้าแย่

ลิขิตฟ้าชะตารัก

ตอนที่ 331 คนแซ่ฉู่ 

 

 

 

 

 

ฉู่เกอรับตั๋วเงินจากมือของเขามาใส่ในกระเป๋าของตัวเอง จากนั้นก็แบมือไปทางเขาอีกครั้ง “เมื่อครู่นี้เป็นค่าเปิดปากของข้าเพียงแค่คนเดียว แต่ที่นี่ก็ยังมีคนอยู่อีกสามคน ท่านก็ต้องให้พวกเขาด้วยเช่นกัน อย่างไรเสียเมื่อครู่นี้พวกเราก็พูดคุยกันทั้งหมดสี่คน เช่นนั้นก็ต้องให้พวกเขายินยอมด้วย มิเช่นนั้นข้าก็ไม่กล้าพูดหรอก” 

 

 

จวินอู๋เหินรู้ทันทีว่าตัวเองโดนแกล้งเสียแล้ว เช่นนั้นจึงกัดฟันหยิบตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงออกมาอีกสามใบแล้วส่งให้ “คราวนี้เจ้าจะบอกข้าได้หรือยัง” 

 

 

“ได้สิ” ฉู่เกอพยักหน้า 

 

 

“เมื่อครู่นี้พวกเจ้าคุยเรื่องอะไรกันแน่” จวินอู๋เหินเอียงหูเข้ามาใกล้ เพื่อจะฟังอย่างตั้งใจว่าพวกเขาคุยอะไรกัน จากนั้นทุกอย่างก็ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่ฉู่เกอจะหัวเราะเสียงดังออกมา “เมื่อครู่นี้พวกเราคุยกันถึงเรื่องความลับ บอกเจ้าไม่ได้หรอก ไม่อย่างนั้นก็จะถูกฟ้าดินลงโทษ ข้าไม่กล้าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง” 

 

 

“เจ้าหลอกข้า!” จวินอู๋เหินกัดฟันกรอด ยื่นมือออกไปหมายจะแย่ง “ในเมื่อเจ้าไม่บอก เช่นนั้นก็เอาเงินข้าคืนมา!” 

 

 

“เหตุใดต้องคืนด้วย เมื่อครู่ข้าก็บอกแล้วว่าเป็นค่าเปิดปาก ข้าก็บอกเหตุผลไปหมดแล้ว ไม่ได้นิ่งเงียบไม่พูดอะไรเลยเสียหน่อย ท่านจะมาว่าข้าหลอกลวงท่านได้อย่างไรกัน” เสียงหัวเราะของฉู่เกอดังแว่วเข้ามา ก่อนที่นางจะหลบมือของเขาที่ยื่นเข้ามาด้วยท่าทีสบายๆ จากนั้นก็ไปหลบที่หลังของฉู่ป๋าย แล้วบ่นขึ้นมาอย่างไม่กลัวตายว่า “หากท่านไม่ยอม ก็ลองไปถามพวกเขาเองสิ ไม่แน่เขาอาจจะบอกท่านก็ได้” 

 

 

“พวกคนแซ่ฉู่!” จวินอู๋เหินร้องเรียกฉู่เกอเสียงหนักๆ เพียงฟังจากน้ำเสียงก็รู้สึกได้ถึงความโกรธเคืองของเขา นี่นางกำลังล้อเขาเล่นอยู่ใช่หรือไม่ 

 

 

“ที่นี่มีคนแซ่ฉู่ตั้งสองคน ท่านเรียกใครกันเล่า” ฉู่เกอแลบลิ้นออกมา ไม่สนใจแม้แต่น้อยว่าเขาจะโกรธเคืองมากเพียงใด 

 

 

“เจ้าถอยไปเดี๋ยวนี้!” จวินอู๋เหินถลึงตาจ้องมองฉู่ป๋ายที่ยืนขวางทางอยู่ วันนี้เขาต้องลากตัวเด็กสาวที่อยู่ด้านหลังของเขามาตีเสียให้เข็ดถึงจะสาสม! 

 

 

“ไม่ถอย” ฉู่ป๋ายกลับไม่ขยับ ใบหน้าเรียบเฉยเหมือนผิวน้ำ มองไม่ออกว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่ ราวกับว่าแม้จะโดนพายุถล่มลมฝนกระหน่ำเขาก็จะไม่ขยับแม้แต่น้อย 

 

 

จวินอู๋เหินโกรธจนใบหน้ากลายเป็นสีม่วงคล้ำ ยกนิ้วขึ้นชี้พวกเขา “พวกเจ้าสองพี่น้องนิสัยก็เหมือนกันไม่มีผิด ล้วนแล้วแต่ชอบบีบบังคับผู้อื่น โชคดีที่ข้าเป็นคนมีเงิน เงินสี่ร้อยตำลึงเงินข้าไม่เอาก็ได้!” 

 

 

ทุกคนเห็นแล้วก็ยิ้มออกมาน้อยๆ ต่างรู้สึกขบขันท่าทีโกรธเคืองของจวินอู๋เหินยิ่งนัก 

 

 

ฉู่เกอยื่นหน้าออกมาจากทางด้านหลัง จากนั้นก็โบกตั๋วเงินในมืออย่างได้ใจ “ได้ยินมาว่าครั้งก่อนท่านติดเงินค่าอาหารฉู่ฉู่และคุณหนูรองของข้าหนึ่งมื้อ เงินเหล่านี้ก็เท่ากับเป็นการชดใช้คืนแล้ว เราไม่ได้หลอกท่านเลยแม้แต่น้อย ทุกคนว่าอย่างไรเล่า” 

 

 

“ดียิ่งนัก” อวิ๋นเซิ่นปรบมืออย่างยินดี “มีคนจ่ายค่าอาหารให้ข้าเองก็ยินดียิ่งแล้ว ประหยัดเงินแล้วยังได้ทานอาหารดีๆ อีก” 

 

 

“ตัวเราเองก็ไม่คัดค้าน” ฟู่เส่าชิงลอบมองเริ่นหว่าเอ๋อร์ที่กำลังเบือนหน้ามองไปยังทิศทางอื่นอยู่ จากนั้นจึงค่อยหันกลับมา สายตาตกอยู่ที่ร่างของจวินอู๋เหิน มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มบาง  

 

 

ฉู่เกอหันไปมองฉู่ป๋ายและอวี้อาเหราที่ยังคงนิ่งเงียบ “ฉู่ฉู่ คุณหนูรอง พวกท่านว่าอย่างไร” 

 

 

“อืม” ทั้งสองคนส่งเสียงตอบรับออกมาพร้อมกัน 

 

 

จวินอู๋เหินที่ถูกหลอกเอาเงินไปเหมือนกับกระโจนลงน้ำ ทำอย่างไรก็ไม่อาจหวนคืนได้ เขาโกรธเสียจนใบหน้ายับยู่ ราวกับมีควันไฟพวยพุ่งขึ้นมาจากศีรษะ จ้องมองอีกฝ่ายด้วยริมฝีปากที่ขบแน่น หมดคำจะเอ่ยอ้าง “ได้ ในเมื่อพวกเจ้าชั่วร้ายถึงเพียงนี้ วันนี้ข้าก็จะกินให้เต็มที่ กินให้คุ้มกับเงินสี่ร้อยตำลึงเงินที่เสียไป และหากเกินสี่ร้อยตำลึงเงินข้าก็จะไม่จ่ายให้แล้วนะ” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 332 ขายหน้าแย่ 

 

 

 

 

 

“เช่นนั้นท่านก็เชิญกินตามสบายเถิด” ฉู่เกอพยักหน้า แล้วหัวเราะร่าออกมาเสียงดัง “ขอเพียงอย่ากินจนท้องแตกก็พอ เพราะเมื่อถึงตอนนั้นก็ไม่แน่ว่าทางหอจุ้ยเซียนจะรับผิดชอบให้ท่านได้อย่างไร จะเป็นการผิดต่อท่านเสียเปล่าๆ” 

 

 

จวินอู๋เหินไม่สนใจคำพูดถากถางของนาง เพียงสะบัดชายเสื้อแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ 

 

 

ในยามนี้หานสือก็เดินเข้ามาจากทางด้านนอก แล้วทำความเคารพต่อทุกคนที่อยู่ด้านใน จากนั้นจึงยิ้มให้กับฉู่เกอ แล้วกล่าวว่า “ท่านหญิงน้อยอยากทานอะไรหรือขอรับ ข้าน้อยจะได้สั่งการลงไป” 

 

 

“อาหารทุกอย่างในร้านนี้ สั่งมาให้หมด อย่างไรเสียท่านอ๋องน้อยก็เป็นคนจ่ายเงิน” 

 

 

“ขอรับ” 

 

 

หลังจากที่หานสือถอยออกไปแล้ว ภายในห้องก็เหลือเพียงความเงียบงัน 

 

 

ทุกคนต่างนั่งลงประจำที่ตนเอง เผชิญหน้ากันบนเก้าอี้ไม้ไม่พูดไม่จา สีหน้าของเริ่นหว่านเอ๋อร์ดูย่ำแย่ลงอยู่บ้าง นางเดินไปยังข้างกายของฉู่เกอ แล้วเอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบา “พี่เกอ ข้ารู้สึกไม่ค่อยแข็งแรงเท่าใดนัก ไม่รบกวนเวลาพวกท่านทานอาหารแล้ว เช่นนั้นข้าขอลาก่อนแล้วกันนะเจ้าคะ” 

 

 

“ไม่เอาสิ” ฉู่เกอรั้งนางไว้ “ไม่ง่ายเลยกว่าที่ข้าจะกลับมา เจ้าเห็นหน้าข้าก็จะหนีแล้วหรือ ข้าทำให้เจ้าไม่พอใจหรืออย่างไรกัน หากข้าทำผิดต่อเจ้า ข้าก็ต้องขออภัยด้วย แต่ถ้าหากไม่ใช่เจ้าก็อยู่ทานข้าวด้วยกันก่อนเถิดนะ เจ้าไม่คิดถึงข้า แต่ข้าคิดถึงเจ้าจะแย่แล้ว” 

 

 

“จริงด้วย ทานข้าวด้วยกันก่อนเถิด” อวิ๋นเซิ่นเอ่ยโน้มน้าว 

 

 

“พี่เกอกล่าวเกินไปแล้วเจ้าค่ะ” เริ่นหว่านเอ๋อร์ไม่อาจปฏิเสธได้ เช่นนั้นจึงจำต้องตอบรับคำ “ถ้าเช่นนั้นก็รบกวนแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

“นี่สิเด็กดี” ฉู่เกอลูบศีรษะนางอย่างอ่อนโยน 

 

 

เริ่นหว่านเอ๋อร์อายุน้อยสุดในที่นี้ แต่ฉู่เกอเองก็ไม่ถือว่าแก่กว่านางมากมายนัก เพียงแต่โตกว่าเริ่นหว่านเอ๋อร์อยู่บ้าง แต่ท่าทางของนางกลับดูนิ่งขรึมกว่าอีกฝ่ายมากทีเดียว พูดจามีชีวิตชีวาและน่ารัก แต่ก็รู้ประสา รู้ว่าเวลาไหนควรพูดไม่ควรพูด ทว่าเริ่นหว่านเอ๋อร์กลับเหมือนดอกไม้ที่อยู่ในห้องอันอบอุ่น ไม่รู้ว่าผู้อื่นนั้นคิดเช่นไร 

 

 

นี่คือข้อแตกต่างระหว่างท่านหญิงแห่งจวนอ๋องและคุณหนูธรรมดา 

 

 

อีกอย่าง คนที่เติบโตมาในค่ายทหาร ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปแน่! 

 

 

อวิ๋นเซิ่นเห็นการกระทำของฉู่เกอแล้ว ก็หัวเราะออกมา จากนั้นก็หันไปทางฉู่ป๋าย “เจ้าเองก็ยังไม่ได้โตกว่านางสักเท่าไหร่ แต่กลับยังรู้จักดูแลน้องสาวเช่นนี้ พี่ชายของเจ้าเห็นว่าเจ้ารู้จักประสาเช่นนี้แล้วคงจะต้องภาคภูมิใจอย่างมากเป็นแน่ จริงหรือไม่” 

 

 

“คุณหนูเซิ่นกล่าวได้ถูกต้องนัก” ฉู่ป๋ายเห็นด้วย 

 

 

“ฉู่ฉู่ ไม่คิดว่าท่านจะใส่ใจน้องถึงเพียงนี้” ฉู่เกอกะพริบตาที่ส่องประกายสว่างไสว อย่างไรเสียนางก็เป็นน้องสาวร่วมมารดาเดียวกันกับฉู่ป๋าย นางจึงมีรูปร่างหน้าตาที่คล้ายคลึงกันมาก โดยเฉพาะดวงตาที่หวานซึ้งและส่องประกายสดใส สิ่งเดียวที่ต่างออกไปก็คือนางไม่มีแววตาที่ลึกล้ำราวกับบ่อน้ำโบราณอย่างที่อีกฝ่ายมี ทว่ากลับมีดวงตาที่ดึงดูดราววังน้ำวน เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา ลำคอขาวผ่องที่โผล่พ้นออกมาจากเส้นผมยาว คงเป็นเพราะก่อนหน้านี้นางขี่ม้ามาจนถึงประตูเมืองจึงทำให้เส้นผมถูกลมตีเสียยุ่งเหยิง 

 

 

“จะพูดจะจาอะไรต้องระวังให้มาก” ฉู่ป๋ายไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจ มุมปากยกโค้งขึ้นเล็กน้อย ยามพูดจากับนางนั้นอ่อนโยนกว่าที่พูดกับผู้อื่นอยู่มาก 

 

 

“ก็ข้าชอบเรียกเช่นนี้นี่นา” ฉู่เกอกล่าวเสียงสะบัด แล้วจึงเบี่ยงเบนความสนใจ “เหตุใดหานสือยังไม่นำอาหารมาส่งอีก พวกเรารอตั้งนานแล้วนะ บอกให้คนครัวเตรียมอาหารไว้ก่อนแล้วมิใช่หรอกหรือ ให้พวกเราต้องรอขนาดนี้ช่างไม่เข้าท่ายิ่งนัก ข้าจะต้องไปดูเองเสียแล้ว!” 

 

 

“เจ้ารออยู่ที่นี่เถิด ทางนั้นให้หานสือเป็นคนจัดการ” ฉู่ป๋ายลากเสื้อด้านหลังของนางเพื่อดึงให้นางกลับมานั่งที่ 

 

 

ฉู่เกอไม่พอใจ “ท่านพี่ ท่านก็รีบปล่อยชายเสื้อข้านะ เล่นดึงเช่นนี้ข้าก็อายเขาแย่ ตอนนี้ข้าไม่ใช่เด็กน้อยอายุสามขวบแล้ว เหตุใดท่านยังทำเช่นนี้อยู่อีกเล่า”