ตอนที่ 387 แขกที่ไม่ได้รับเชิญ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ภายในกระโจมขนาดเล็กทว่าไม่แออัด ขณะนี้ฉินอวี้โม่กำลังนั่งดื่มนมแพะสดที่ซูวั่งชวนส่งมาให้

ภายในพริบตาเดียว เวลาก็ล่วงเลยไปกว่าเจ็ดวันแล้วนับตั้งแต่ที่นางมาถึงชนเผ่าเมฆาครามแห่งนี้ ตลอดช่วงเจ็ดวันที่ผ่านมานี้ก็เต็มไปด้วยเพลิดเพลินและความสุขอย่างที่นางคาดหวังไว้

บรรดาสมาชิกของชนเผ่าเมฆาครามมีความกระตือรือร้นอย่างยิ่งและฉินอวี้โม่เป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตอาอู่ไว้ พวกเขาจึงสุภาพและเป็นมิตรกับนางยิ่งขึ้นไปอีก ระหว่างช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ อดีตนักฆ่าสาวผู้เย็นชาก็สัมผัสได้ถึงความซาบซึ้งอย่างสุดหัวใจของชาวชนเผ่าเมฆาครามทุกๆคน

“นายหญิง ชาวชนเผ่าเมฆาครามเหล่านี้เป็นคนเรียบง่ายและจริงใจจริงๆ”

มารยาผู้ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม อสูรสาวเองก็ประทับใจผู้คนที่นี่มากเช่นกัน

แม้หลังได้ใช้ชีวิตคลุกคลีอยู่กับชนเผ่าเมฆาครามพักใหญ่ ผู้คนที่นี่ก็ไม่เคยสืบถามตัวตนที่แท้จริงของทั้งสามและดูจะไม่สนใจในเรื่องที่ไม่จำเป็น ในหัวใจของพวกเขา จอมยุทธ์ฉินอวี้โม่คือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตอาอู่ไว้และควรค่าแก่ความเคารพนอบน้อมของพวกเขาอย่างแท้จริง

“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่ วันนี้เป็นวันชุมนุมรวมตัวกันของชนเผ่าเมฆาคราม มาร่วมเล่นสนุกเพลิดเพลินใจกับพวกเราด้วยล่ะ”

ในขณะที่นายหญิงและอสูรนั่งคุยกันอยู่นั้น ซูน่าก็วิ่งปรี่เข้ามาหาฉินอวี้โม่โดยตรงพร้อมกับรอยยิ้มกว้าง

ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ ซูน่าและฉินอวี้โม่ใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น ทั้งสองมีอายุที่ไม่ห่างกันนักและซูน่าเป็นคนที่มีจิตใจกล้าหาญซึ่งฉินอวี้โม่ชื่นชอบเป็นอย่างมาก ไม่แปลกเลยที่สตรีทั้งสองจะกลายเป็นมิตรสหายที่ดีต่อกัน

ซูน่าเองก็ค้นพบว่าจอมยุทธ์โฉมงามผู้นี้เข้าถึงได้ไม่ยากอย่างที่คิดไว้ นางให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์และความเที่ยงธรรมเป็นที่สุด อีกทั้งยังมีความกระตือรือร้นฝังลึกอย่างไม่อาจปิดบัง

“ซูน่า ข้าบอกกี่ครั้งกี่คราแล้วว่าให้เรียกข้าว่าอวี้โม่ก็พอ”

ฉินอวี้โม่กล่าวขณะยืนขึ้น นางเคยได้ยินเกี่ยวกับการชุมนุมของชนเผ่าเมฆาครามมาก่อนหน้านี้แล้ว มันเป็นงานที่คึกคักพอๆกับงานใหญ่ในทุ่งกว้างในชีวิตก่อนของนางและแน่นอนว่าฉินอวี้โม่จะต้องให้ความสนใจ

“เฮ้ ก็ข้าไม่ชินนี่นา”

ซูน่ายิ้มอย่างร่าเริงพร้อมคว้ามือฉินอวี้โม่และวิ่งออกไปข้างนอกทันทีโดยไม่ลืมที่จะยิ้มให้มารยา

“มารยา เจ้าก็มาด้วยเถอะ เสี่ยวอวี้ตามอาอู่ไปแล้ว”

เมื่อก้าวออกจากกระโจม ฉินอวี้โม่ก็พบว่าสมาชิกทุกคนของชนเผ่าเมฆาครามล้วนแต่งองค์ทรงเครื่องเสร็จเรียบร้อยแล้วและใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มกว้างตรึงใจ

เมื่อเห็นฉินอวี้โม่ปรากฏตัว คนเหล่านั้นก็ยิ้มกว้างและทักทายด้วยความกระตือรือร้นทันที

ตลอดช่วงที่ผ่านมา ทุกคนในชนเผ่าเมฆาคำรามรู้แล้วว่าฉินอวี้โม่มิใช่คนเข้าถึงยากและนางไม่ได้มีนิสัยดุดันหรือวางตัวจนเข้าถึงยากเหมือนกับยอดฝีมือคนอื่นๆ

ซูน่าดึงมือฉินอวี้โม่และวิ่งตรงไปที่กระโจมของตนเองก่อน

“อวี้โม่ ในวันที่สดใสและคึกคักเช่นนี้ อาภรณ์บุรุษทำให้เจ้าดูแปลกประหลาดยิ่งนัก เปลี่ยนเป็นอาภรณ์แบบของเราแล้วไปร่วมสนุกกันเถอะ”

ซูน่าหาเสื้อผ้าชุดหนึ่งและยื่นให้ฉินอวี้โม่พร้อมพยักศีรษะเป็นสัญญาณให้นางสวมมัน

เมื่อมองดูอาภรณ์ที่ดูเหมือนชาวเผ่าไตในชาติที่แล้ว ฉินอวี้โม่ก็เพียงแต่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและไม่ปฏิเสธใดๆ

*傣族Dai tribe เผ่าไต — ชนกลุ่มน้อยของจีน การแต่งกายของเพศหญิงจะสวมเสื้อแขนกระบอกหรือเสื้อแขนสั้น และนุ่งผ้าถุง

ภายในเวลาเพียงครู่เดียว นางก็สวมชุดนั้นโดยที่มีหมวกสักหลาดใบงามอยู่เช่นกัน

“โอ้ งดงามจริงๆเลย ต่อให้เจ้าสวมอาภรณ์ธรรมดาของเรา มันก็ไม่ทำให้ความงามของเจ้าลดน้อยลงเลยสักนิด”

เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่ในชุดใหม่ ซูน่าก็อดถอนหายใจเบาๆไม่ได้ ทว่าไม่มีความริษยาใดๆแอบแฝงอยู่

ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ นางคุ้นชินกับความงามเหนือมนุษย์ของฉินอวี้โม่แล้วและนางไม่ต้องการที่จะเปรียบเทียบตนเองกับนาง การเปรียบเทียบความงามกับฉินอวี้โม่ย่อมไม่ต่างไปจากการฆ่าตัวเอง

ขณะนี้ซูน่าเองก็เปลี่ยนเป็นอาภรณ์ที่ไม่ต่างจากฉินอวี้โม่โดยที่สวมหมวกสักหลาดและใบหน้าของนางก็คู่ควรกับคำว่างดงามเช่นเดียวกัน

เมื่อได้ยินคำชมของซูน่า ฉินอวี้โม่เพียงยกยิ้มมุมปากเบาๆ ไม่ว่าเป็นสตรีผู้ใดก็ย่อมมีความสุขจนแทบตัวลอยเมื่อได้ยินผู้อื่นชื่นชมในความงามของตนเอง

“จะว่าไปแล้ว เจ้าอยากให้มารยาเปลี่ยนชุดด้วยหรือไม่?”

เมื่อนึกถึงมารยาในชุดสีขาวสะอาด ซูน่าก็เอ่ยถาม

“ไม่ต้องหรอก มารยาไม่ชอบสวมเสื้อผ้าสีอื่น”

ฉินอวี้โม่ส่ายศีรษะเบาๆเพื่อไม่ให้ซูน่ากังวลเรื่องมารยา

ฉินอวี้โม่เข้าใจลักษณะนิสัยของมารยาเป็นอย่างดี แม้ว่าทุกวันนี้มันจะมีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นกว่าก่อนมาก ทว่าแต่เดิมแล้วมันก็ก่อตัวขึ้นจากน้ำแข็งและความเยือกเย็นนั้นยากที่จะจางหายไป

ตัวอย่างเช่นเรื่องการแต่งกาย อสูรสาวมักจะสวมเพียงเสื้อผ้าเรียบๆสีขาวและไม่เคยสวมเสื้อผ้าสีอื่น นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้ของมารยาและถือเป็นจุดที่คนอื่นรู้สึกจนปัญญา

“เอาล่ะ ออกไปข้างนอกกันเถอะ”

ซูน่าพยักศีรษะและไม่เอ่ยอะไรต่อขณะจับมือฉินอวี้โม่และเดินออกไปข้างนอก

ตรงกลางระหว่างกระโจมหลายหลังคือพื้นที่โล่งกว้างซึ่งเป็นลานจัตุรัสของชนเผ่าเมฆาคราม และงานชุมนุมของชนเผ่าจะเกิดขึ้นที่ลานนี้

เมื่อฉินอวี้โม่และอีกสองชีวิตมาถึงลานจัตุรัส พวกนางก็พบว่าบรรดาสมาชิกชนเผ่าส่วนใหญ่มารวมตัวกันที่นี่และจับกลุ่มกันแล้ว

ณ จุดกึ่งกลางของลานจัตุรัสมีสังเวียนเล็กๆ ซึ่งจะถูกใช้สำหรับการแข่งขันในงานชุมนุมนี้

“ฮ่าๆๆ งานชุมนุมของชนเผ่าเราไม่ได้ซับซ้อนเลย ในงานนี้จะมีการแข่งขันหลากหลายประเภทซึ่งสิ่งที่น่าสนใจที่สุดคือกีฬามวยปล้ำ และในตอนกลางคืนเราจะขับร้องเต้นรำไปด้วยกันและจะย่างอาหารกินกันด้วย”

ซูน่าพาฉินอวี้โม่ไปนั่งลงในจุดหนึ่งซึ่งเป็นที่สำหรับครอบครัวของผู้นำชนเผ่า

ซูวั่งชวน ซูชิงและคนอื่นๆยังมาไม่ถึงในขณะที่อาอู่และหานอวี้ก็ยังไม่ได้อยู่ที่นี่เช่นกัน พวกเขาน่าจะกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าและเตรียมตัวมาที่นี่

เมื่อป้าหลานซึ่งเป็นคนแรกที่ฉินอวี้โม่ได้พบในชนเผ่าเมฆาครามมองเห็นฉินอวี้โม่เดินใกล้เข้ามา นางก็ยิ้มอย่างเอ็นดูพร้อมกล่าว “ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่งดงามดุจดั่งเทพธิดาจริงๆ แม้มาเยือนงานชุมนุมของเราก็ยังโดดเด่นเป็นประกายเหนือทุกคนเช่นนี้”

คำพูดของป้าหลานเต็มไปด้วยความจริงใจและปราศจากความมุ่งร้ายใดๆ

ในตอนที่พบฉินอวี้โม่เป็นครั้งแรก ป้าหลานคิดทันทีว่านางเป็นสตรีที่งดงามอย่างที่สุด แม้แต่ความงามของเทพมายาในตำนานก็ยังเทียบกับฉินอวี้โม่ไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ลักษณะนิสัยสบายๆและเรียบง่ายของฉินอวี้โม่ทำให้ผู้อื่นประทับใจอย่างยิ่งและมีความรู้สึกของการยอมจำนนอยู่เล็กน้อย

ป้าหลานถูกชะตาและรู้สึกชอบพอฉินอวี้โม่มาก ในช่วงที่ผ่านมานี้ นางมักจะส่งสิ่งของหลากหลายอย่างให้ฉินอวี้โม่เสมอเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรักและเอ็นดูของตนเอง

“ขอบคุณป้าหลานสำหรับคำชมเจ้าค่ะ ทว่าป้าหลานอย่าเรียกข้าเช่นนั้น เรียกข้าว่าอวี้โม่เถอะเจ้าค่ะ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มและกล่าวกับสตรีวัยกลางคน

ป้าหลานอดหัวเราะเบาๆกับคำพูดของสตรีรุ่นลูกไม่ได้

“ท่านแม่ น้าซูน่า มารยา ทุกคนต่างก็อยู่ที่นี่แล้ว”

ในขณะที่สตรีหลายนางพูดคุยกันอยู่นั้น เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยก็ดังขึ้นพร้อมกับหานอวี้และอาอู่ที่ปรากฏให้เห็น

หานอวี้สวมชุดน่ารักของเด็กประจำชนเผ่าเมฆาครามเช่นกันซึ่งดูน่ารักน่าชังยิ่งกว่าเดิม

หากไม่ทราบตัวตนและพลังที่แท้จริงของหานอวี้ ผู้ที่พบเห็นคงคิดว่ามังกรน้อยร่างมนุษย์เป็นเพียงเด็กชายตัวน้อยที่น่ารักจ้ำม่ำคนหนึ่งเท่านั้น

“ท่านจอมยุทธ์อวี้โม่”

อาอู่พยักศีรษะให้กับฉินอวี้โม่เช่นกัน ในเจ็ดวันที่ผ่านมา อาการบาดเจ็บของเขาฟื้นตัวและหายสนิทแล้ว หลังจากการบ่มเพาะพลังช่วงหนึ่ง พลังของเขาก็พัฒนาขึ้นเล็กน้อย

“อาอู่ อย่าเรียกข้าเต็มยศว่าจอมยุทธ์อวี้โม่เลย เรียกแค่ชื่อของข้าก็พอแล้ว”

ฉินอวี้โม่ยิ้มอย่างเป็นมิตร อาอู่เป็นบุรุษหนุ่มรูปงามและหัวแข็งยิ่งนัก นางบอกเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าไม่ต้องเรียกนางว่าท่านจอมยุทธ์ ทว่าอาอู่ก็ยังหัวดื้อและเรียกเช่นนั้นไม่เปลี่ยนจนฉินอวี้โม่รู้สึกจนปัญญา

แม้การเรียกว่าท่านจอมยุทธ์นั้นหมายถึงการแสดงความเคารพอย่างจริงใจ ทว่าฉินอวี้โม่ก็ไม่ชอบคำเรียกเช่นนี้ นางรู้สึกสบายใจมากกว่าหากคู่สนทนาจะเรียกเพียงชื่อของนาง

“ฮ่าๆๆ พวกเจ้ามาถึงกันเร็วจริงๆ”

ในขณะที่พูดคุยกัน คนกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามา ผู้มาใหม่เหล่านี้มิใช่ใครอื่น หากแต่เป็นท่านตา ท่านลุงและท่านป้าของอาอู่ซึ่งก็คือซูวั่งชวน ซูชิงและสวี่ซิ่ว

“คารวะท่านผู้นำ”

เมื่อเห็นซูวั่งชวนและอีกสองคน ทุกคนก็ยิ้มและพยักศีรษะก่อนโค้งคำนับทักทาย

“ฮ่าๆๆ ทุกคนลุกขึ้นเถอะ วันนี้เป็นวันดีของชนเผ่าเมฆาครามของเรา ไม่ต้องมีพิธีรีตองนักหรอก”

ซูวั่งชวนยิ้มออกมา อารมณ์ของเขาดีขึ้นเล็กน้อยในช่วงหลายวันที่ผ่านมานี้ แม้ว่าการนึกถึงมารดาของอาอู่จะทำให้เกิดความเศร้าเสียใจอยู่เล็กน้อย เขาก็รู้ดีว่ามันไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งใดได้ เขาจึงไม่ได้เอ่ยอะไรให้มากความ

“สหายน้อยอวี้โม่ เจ้ามีความสุขที่ได้อยู่ในชนเผ่าเมฆาครามของเรารึไม่?”

ซูวั่งชวนมองฉินอวี้โม่พร้อมเอ่ยถาม เขาไม่ได้มาเยี่ยมเยือนฉินอวี้โม่ตลอดหลายวันที่ผ่านมาเพราะมีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดการ

และฉินอวี้โม่รู้ว่าซูวั่งชวนมีธุระต้องสะสาง นางจึงไม่เคยรบกวนเขา

“ฮ่าๆๆ ทุกคนกระตือรือร้นอย่างยิ่งและปฏิบัติต่อข้าเป็นอย่างดี ชนเผ่าเมฆาครามเป็นชนเผ่าที่อบอุ่นอย่างยิ่งจนข้าอยากอยู่ที่นี่ไปนานๆ”

ฉินอวี้โม่ยิ้มพร้อมเอ่ยตอบอย่างจริงใจ

“ฮ่าๆๆ หากสะดวกใจ ก็เชิญเจ้าอยู่ที่นี่นานๆได้เลย แต่ทว่า..ข้าคิดว่าเจ้าคงจะมีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดการและอยู่ที่นี่ได้ไม่นานใช่รึไม่?”

ซูวั่งชวนยิ้มตอบ แม้ว่าเขาไม่เคยถามหรือสืบหาตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่ เขาก็รู้ว่านางมิใช่คนธรรมดาและไม่มีทางที่นางจะอยู่ที่นี่ได้นาน

“อย่างไรก็ตาม หากสหายน้อยอวี้โม่จัดการธุระทุกอย่างเสร็จสิ้นและอยากมาพักที่นี่ พวกเราทุกคนก็ยินดีให้การต้อนรับเป็นอย่างดี”

ซูวั่งชวนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงจริงใจ

“ขอบคุณน้ำใจของท่าน ในอนาคตข้าจะอยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้เป็นแน่”

ฉินอวี้โม่พยักศีรษะและตอบตกลง

ซูวั่งชวนยิ้มและไม่ได้พูดอะไรต่อก่อนหันไปส่งสัญญาณให้ทุกคนนั่งลง

“ฮ่าๆๆ วันนี้เป็นวันชุมนุมประจำปีของชนเผ่าเรา ขอให้ทุกคนสลัดความกังวลและความเศร้าโศกทั้งหมดไปก่อนเพื่อที่พวกเราจะได้เพลิดเพลินกับความสุขในวันนี้อย่างเต็มที่”

ซูวั่งชวนยิ้มให้ทุกคนและกล่าวขึ้นด้วยเสียงดังฟังชัด

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็ปรบมือเสียงดังและยิ้มกว้าง

“ฮ่าๆๆ ไม่คิดเลยว่าจะบังเอิญขนาดนี้”

ก่อนที่งานชุมนุมจะเริ่มต้นขึ้น เสียงหัวเราะเบาๆก็ดังขึ้นมาก่อนที่กลุ่มคนหลายคนเดินเข้ามาจากระยะไกล ถัดจากพวกเขาคือสมาชิกชนเผ่าเมฆาครามที่ทำหน้าที่ออกลาดตระเวนพื้นที่โดยรอบซึ่งขยิบตาส่งสัญญาณให้ซูวั่งชวนและฉินอวี้โม่ด้วยสีหน้าเหยเก

“ผู้นำซู ไม่คิดจะต้อนรับพวกเราหน่อยรึ?”

กลุ่มคนที่เดินเข้ามาตรงหน้าซูวั่งชวนและซูชิงเอ่ยออกมาพร้อมยิ้มเย็นชา

ซูวั่งชวนเพียงแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อยก่อนกลับสู่ปกติ จากนั้นก็ยิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าว “การที่เจ้าเมืองฉินเดินทางมาถึงที่นี่ ชนเผ่าเมฆาครามของเราจะไม่ให้การต้อนรับได้อย่างไร”

เขาหยุดชั่วคราวก่อนกล่าวต่อ “เพียงแต่ว่ามีบางอย่างที่เจ้าเมืองฉินควรจะเข้าใจให้ชัดเจน ในงานชุมนุมของชนเผ่าเมฆาครามของพวกเรา การพาคนที่เราไม่ชอบหน้าเข้ามาเป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสมนัก”

สายตาของซูวั่งชวนหยุดลงที่บุคคลที่อยู่ถัดจากเจ้าเมืองฉินซึ่งก็คือผู้นำชนเผ่าเพลิงคำรามและเป็นคนที่เขาชิงชังมากที่สุดในวินาทีนี้—เลี่ยหยาง

เลี่ยซานซึ่งยืนอยู่ถัดจากเลี่ยหยางก็กวาดสายตามองไปที่อาอู่ ฉินอวี้โม่และคนอื่นๆด้วยแววตามุ่งร้าย

.