ตอนที่ 753 ไปทูลถวายรายงานต่อหน้าพระพักตร์ / ตอนที่ 754 ยังมีพยานอีก

เล่ห์ร้ายโฉมสะคราญ

ตอนที่ 753 ไปทูลถวายรายงานต่อหน้าพระพักตร์ 

 

 

“กระหม่อมยินดีรับโทษ!” พอหลิวเหอเปิดปากเอ่ยเช่นนี้ คนด้านหลังต่างก็คุกเข่าลงไป 

 

 

ฉินเย่หานนั่งบนบัลลังก์ ใบหน้าไร้ซึ่งอารมณ์ มีเพียงดวงพระเนตรคู่นั้นนิ่งสนิทจนน่ากลัว 

 

 

“ว่ามา!” ได้ยินเพียงไร้ซึ่งน้ำเสียงเย็นชาแต่ร่องรอยอารมณ์ใดๆ  

 

 

ขันทีที่รับคำสั่งแล้วเดินออกไป ไม่นานนักพวกจี้เหิงหรานก็เดินเข้ามา 

 

 

ซูหลียังกำพัดเอาไว้ในมือ ทันทีที่เดินเข้ามา แววตาจดจ้องร่างคนในตำหนัก 

 

 

และเป็นไปตามที่คาด เพื่อเรียกทุกคนมารุมนางโดยที่นางเองยังตั้งตัวไม่ทัน! 

 

 

ใบหน้าซูหลีนิ่งเฉยจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม ละสายตาจากขุนนางพวกนั้น และชะงักค้างไปในตอนที่เห็นซูไท่  

 

 

ซูไท่เองก็มองนาง เพียงแต่สีหน้าประหลาดอย่างมาก แถมยังสลับซับซ้อนบอกไม่ถูก แววตาเป็นประกาย 

 

 

ซูหลีหัวเราะโง่ๆ ดูแล้วซูไท่คงจะรู้แล้ว 

 

 

แต่เขารู้ก็ไม่ได้ส่งจดหมายมาบอกอะไรนาง แต่กลับปล่อยให้นางกลับมาเมืองหลวงโดยไม่รู้เรื่องอะไรแบบนี้แทน 

 

 

ดูไปแล้วในสายตาซูไท่ก็ยังคงให้ความสำคัญกับบุตรชายมากกว่า 

 

 

“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!” ซูหลีเดินอ้อมเหล่าขุนนางที่คุกเข่าอยู่ตรงไปตำแหน่งค่อนไปด้านหน้า จากนั้นก็สะบัดเสื้อคลุมตนเองและคุกเข่าลง 

 

 

ในทันใดนั้นเองรอบบริเวณก็ตกอยู่ในความเงียบสงัด 

 

 

ไม่ว่าซูหลีจะเป็นผู้หญิงหรือไม่อย่างไร ท่าทางของอีกฝ่ายไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปจะเทียบเคียงได้ 

 

 

“ลุกขึ้น” ฉินเย่หานจ้องนางอย่างลึกซึ้ง เห็นนางมีท่าทีปกติ ถึงขนาดว่าดูดีกว่าตอนที่จากไปมากนัก รอยครุ่นคิดพาดผ่านในแววตา 

 

 

“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เหมือนซูหลีไม่สังเกตเห็นอะไร บอกให้นางลุกขึ้น นางก็ลุกขึ้นจริงๆ 

 

 

“ฝ่าบาท! ฝ่าบาททรงให้ความเป็นธรรมด้วย!” คิดไม่ถึงว่าซูหลีเพิ่งจะลุกยืนขึ้น ก็มีคนร้อนรนขึ้นมา 

 

 

ซูหลีเห็นหลี่ซื่อที่พุ่งมาคุกเข่าข้างตัวนาง ดวงตาก็ฉายแววเย็นชาทันที 

 

 

ก่อนนี้นางยังคงปล่อยอีกฝ่ายไว้ เพราะอย่างไรซูไท่เองก็ชอบหลี่ซื่อผู้นี้ และนางยังต้องอาศัยอยู่ในสกุลซู จึงไม่แตกหักกับอีกฝ่าย 

 

 

แต่ตอนนี้ดูไปแล้วการยอมอ่อนของนางรังแต่จะทำให้อีกฝ่ายได้คืบจะเอาศอกไปทุกที 

 

 

“เจ้าเป็นใครกัน? ที่นี่คือตำหนักอวิ๋นเซียว หญิงชาวบ้านอย่างเจ้าสามารถเข้าออกได้ตามอำเภอใจหรือ?” โอรสสวรรค์ยังไม่ตรัสอะไร แต่หวงเผยซานที่อยู่ด้านข้างกลับชิงเอ่ยขึ้นมาก่อน 

 

 

หลี่ซื่อที่กำลังคุกเข่าอยู่นั้น ไม่กล้าแม้แต่จะแหงนศีรษะขึ้น เมื่อเผชิญหน้ากับพระราชอำนาจของอีกฝ่าย 

 

 

จึงทำได้เพียงก้มศีรษะเอ่ยเสียงสูง “ทูลฝ่าบาท หม่อมฉันเป็นฮูหยินของซูไท่ราชเลขากรมขุนนาง และเป็นมารดาเลี้ยงของซูหลี ขอฝ่าบาททรงให้ความเป็นธรรมด้วย!” 

 

 

พูดจบแล้วก็โขกศีรษะลงบนพื้น 

 

 

“เจ้าเป็นมารดาเลี้ยงของซูหลีหรือ?” หลิวเหอที่ยืนข้างๆ มองหลี่ซื่อ ด้วยแววตาเป็นประกาย แถมยังจงใจถามอีก 

 

 

“หม่อมฉันเองเพคะ” หลี่ซื่อรับคำ 

 

 

“ฝ่าบาท หญิงนางนี้ไม่ใช่คนทั่วไป นางเป็นมารดาเลี้ยงของซูหลี น่าจะเข้าใจในสถานภาพร่างกายของซูหลีที่สุด กระหม่อมขอฝ่าบาททรงลองฟังคำพูดของหญิงผู้นี้ด้วย!” 

 

 

หลิวเหอเสสายตามองและเอ่ยเสียงสูงออกมาทันที 

 

 

แต่ซูไท่ที่อยู่ในแถวขุนนาง หลังจากเห็นหลี่ซื่อปรากฏกายขึ้น หน้าเขาพลันเปลี่ยนไปน้อยๆ 

 

 

เขาก็พอจะรู้เรื่องของซูหลีพอประมาณหนึ่ง แต่เขากลับไม่รู้เรื่องที่หลี่ซื่อจะทำเช่นนี้ 

 

 

หลี่ซื่อสมองมีปัญหาไปแล้วกระมัง? 

 

 

ทำแบบนี้ที่จะพัง ไม่ใช่แค่ซูหลี แต่เป็นพวกเขาบ้านสกุลซู! 

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 754 ยังมีพยานอีก 

 

 

“ขอบคุณใต้เท้าท่านนี้มาก” หลี่ซื่อตอบอย่างซาบซึ้งใจ 

 

 

“พูดมาสิ เราจะฟัง” ทันทีที่ฉินเย่หานตรัส ซูหลีเหลือบตามองเขาอย่างอดไม่ได้ 

 

 

เพียงแต่ว่าอ่านอะไรบนใบหน้าหล่อเหลานั้นไม่ออกจริงๆ 

 

 

ซูหลีเองก็ไม่แน่ใจว่าฉินเย่หานมีจุดมุ่งหมายอะไรกันแน่ แต่มีจุดหนึ่งที่นางแน่ใจก็คือ คนเหล่านี้ก่อเรื่องใหญ่โตเช่นนี้ ก็เพราะอยากจะยั่วโทสะฉินเย่หานก็เท่านั้น 

 

 

แต่ฉินเย่หานรู้เรื่องนางเป็นผู้หญิงมาตั้งนานแล้ว หากจะบอกว่าทรงกริ้วก็ไม่เห็นต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้ 

 

 

แต่พระองค์จะลงโทษนางเพราะเรื่องนี้หรือไม่นั้น ซูหลีเองก็ยังไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่นัก 

 

 

“ฝ่าบาท ใต้เท้าซูหลีผู้นี้บอกว่าตนเองเป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของนายท่านของข้า แต่ที่จริงแล้วไม่ใช่!” คำพูดของฮ่องเต้เหมือนให้ความกล้าหลี่ซื่อ นางชันตัวขึ้นและเอ่ยด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน 

 

 

เพียงแต่ยังคงไม่กล้ามองฉินเย่หาน ทว่านั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการกล่าวหาซูหลีแต่อย่างใด 

 

 

“ฝ่าบาท หม่อมฉันและนายท่าน พวกเราเป็นคนซื่อสัตย์ ย่อมไม่กล้าสร้างเรื่องเช่นนี้แน่ ใครก็รู้ว่าความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงนี้จะต้องลงโทษเจ็ดชั่วโคตร ไหนเลยจะกล้าทำเรื่องเช่นนี้ แผนการทั้งหมดนี่มารดาในสายเลือดของซูหลีเป็นผู้ก่อเรื่องขึ้นทั้งสิ้น!” 

 

 

“นายท่านมีทายาทน้อย ตอนมารดาซูหลีสมรสกับท่านนั้น นายท่านมีบุตรสาวอยู่แล้ว เพื่อความมั่นคงของตนเอง มารดาของซูหลีจึงบอกนายท่านว่าตนเองให้กำเนิดบุตรชาย ซึ่งที่จริงเป็นบุตรสาว นายท่านเป็นคนเลินเล่อ พอมารดาซูหลีบอกเช่นนี้ นายท่านจึงเชื่อ” 

 

 

“มัวแต่ดีอกดีใจ จนไม่เคยตรวจสอบเพศของซูหลีมาก่อน” หลี่ซื่อนำเอาเรื่องภายในบ้านสกุลซูมาแผ่หลาต่อหน้าทุกคน 

 

 

ใบหน้าซูไท่เขียวคล้ำจนขายซีด และสลับไปแดงก่ำ 

 

 

นี่ทำให้เขาขายหน้าจะแย่ 

 

 

ถึงแม้ว่าหลี่ซื่อจะเป็นคนพูดออกมา แต่คนที่ทำเรื่องนี้นั้น ที่จริงคือซูหลีและมารดาอีกฝ่าย หลังจากรู้ความจริง ซูไท่ก็ตั้งใจว่าจะเอาป้ายไหว้วิญญาณมารดาซูหลีออกจากหอสกุลซู 

 

 

เขาไม่มีฮูหยินแบบนี้! 

 

 

กล้าปิดบังเขามาหลายปีขนาดนี้ หากไม่โดนคนแฉ เขายังเชื่อฟังคำซูหลีจะไล่บุตรชายแท้ๆของตนที่เกิดกับหลี่ซือออกจากสกุลซู! 

 

 

จะไม่ให้เขาโกรธได้อย่างไร? 

 

 

ดังนั้นเขารู้เรื่องนี้ดีแล้ว แต่วันไม่ใช่เวลาที่ควรแพร่เรื่องนี้ออกไป เขาจึงไม่ได้บอกซูหลี 

 

 

ในสายตาเขาแล้วซูหลีและมารดา น่ารังเกียจพอกัน พวกนั้นทำราวกับเขาเป็นคนโง่ 

 

 

“พูดใส่ร้ายไร้หลักฐาน ฮูหยินซู ท่านมีหลักฐานหรือไม่?” หลิวเหอคุกเข่าอยู่ข้างหลี่ซื่อ เออออคล้อยตามหลี่ซื่อ 

 

 

“หม่อมฉันกล้าพูดแบบนี้ย่อมต้องมีหลักฐาน” หลี่ซื่อตอบหลิวเหอ “ฝ่าบาท มารดาซูหลีไม่ได้มีสาวใช้มากมานัก หนึ่งคือแม่นมของซูหลีแม่นมชุย อีกคนคือสาวใช้สองคน หนึ่งในนั้นป่วยตายไป แต่ยังมีอีกคน…” 

 

 

ซูหลีหรี่ตาลง นางยังบอกว่าคนเหล่านี้มาจากไหน ที่แท้ก็เป็นคนของมารดานาง 

 

 

ซึ่งก็จริงคนที่จะรู้เรื่องเพศสภาพนางดีที่สุดย่อมต้องเป็นคนสนิทของมารดานาง 

 

 

ถ้าจะใช้เป็นหลักฐานยืนยัน คนเหล่านี้ย่อมเหมาะสมที่สุด 

 

 

“หม่อมฉันนำสาวใช้ผู้นั้นมาด้วย ฝ่าบาททรงต้องการฟังคำนางหรือไม่เพคะ?” หลี่ซื่อนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยสำทับ 

 

 

“เรียกเข้าเฝ้า” ฉินเย่หานยังไม่ได้แสดงท่าทีใด เพียงแต่เอ่ยเสียงเรียบๆ เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยจบ 

 

 

ซูหลีเลิกคิ้ว มองอีกฝ่ายอย่างอดไม่ได้