บทที่ 345.2 อริยะมาเยือนจวนปี้โหยว

กระบี่จงมา! Sword of Coming

บทที่ 345.2 อริยะมาเยือนจวนปี้โหยว ProjectZyphon

หลังจากอิ่นเมี่ยวเฟิงกล่าวถึงเป้าหมายการมาเยือนจวนปี้โหยวยามค่ำคืนในครั้งนี้แล้ว จงขุยที่ค้นพบว่าเทพวารีลำคลองหมายเหอทำท่าวางตัวอยู่เหนือเรื่องราว เขาก็ทั้งโมโหทั้งขำ เพียงแต่ว่าคืนนี้เขามาที่ลำคลองหมายเหอ เดิมทีก็เพราะเรื่องนี้อยู่แล้ว บวกกับเรื่องที่ปีศาจลำคลองติดสินบนเมืองเซิ่นจิ่ง ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ถือว่าละเมิดข้อห้ามของเขา ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสพูดกับอิ่นเมี่ยวเฟิงว่า “เรื่องหนังสือที่จะเอามาตั้งบูชาในจวนปี้โหยว ข้าจะเป็นคนเกลี้ยกล่อมเจ้าแม่เทพวารีเอง พวกเจ้าเอาไปรายงานทางเมืองเซิ่นจิ่งได้อย่างสบายใจ แน่นอนว่าต้องเลือกใช้คำที่ฉลาดหน่อย เมื่อเรื่องนี้สำเร็จ พวกเจ้าก็จะมีคุณความชอบ แต่หากไม่สำเร็จ พวกเจ้าก็ไม่ต้องติดร่างแหเดือดร้อนไปด้วย ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดครั้งนี้ข้าถึงยอมช่วยพวกเจ้า นั่นก็ย่อมต้องมีต้นสายปลายเหตุอยู่แล้ว แต่พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องคิดส่งเดชให้วุ่นวาย”

อิ่นเมี่ยวเฟิงซาบซึ้งใจอย่างถึงที่สุด ครั้นจึงบอกลาไปพร้อมกับลูกศิษย์เส้ายวนหราน

พ่อบ้านผู้เฒ่าเดินนำทางพาเจ้าแม่เทพวารีของตนและแขกหนุ่มคนนั้นที่เหมือนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่กว่าไปยังห้องโถงใหญ่ของจวนที่ใช้รับรองแขก

เฉินผิงอันเดินอยู่ข้างกายจงขุย สายตาก็คอยมองทัศนียภาพของจวนปี้โหยวไปด้วย บนผนังบังตาวาดภาพมีชีวิตของศาลเทพวารีและลำคลองหมายเหอที่ไหลรินเอาไว้ ควันธูปลอยหมุนเป็นเกลียวอ้อยอิ่ง น้ำในแม่น้ำซัดโถม และยังมีเสียงน้ำดังมาให้ได้ยิน

มีเพียงเทพวารีเท่านั้นที่มองเห็นจิตหยินของเฉินผิงอัน อาจารย์และลูกศิษย์ของลัทธิเต๋าสองคนนั้นต่างก็ไม่อาจมองเห็น นี่เป็นเพราะว่าศาลเทพวารีและจวนปี้โหยวที่เฉินผิงอันอยู่ในเวลานี้ล้วนอยู่ในอาณาเขตของลำคลองหมายเหอ ส่วนปีศาจลำคลองกับผีพราย ฝ่ายแรกขอแค่อยู่ในแม่น้ำลำคลองและทะเลสาบ ตบะก็จะลึกล้ำ โดยเฉพาะในลำคลองหมายเหอที่มันเลือกเดินลงมา อันที่จริงมันได้รับวิชาอภินิหารที่ใกล้เคียงกับเทพวารีมาอย่างหนึ่งแล้วด้วย ดังนั้นจึงมองเห็นเฉินผิงอันเช่นกัน ส่วนพวกผีพรายทั้งหลายกลับเหมือนเวลาที่ผีขี้เหล้า ‘ได้กลิ่นหอมของเหล้า’ ถึงได้ถูกดึงดูดมาตามธรรมชาติมากว่า

มองห้องโถงขนาดใหญ่ที่สว่างเจิดจ้าเพราะเทียนที่ใช้จุดไฟใหญ่เท่าแขนคน บนโต๊ะยังวางบะหมี่ปลาไหลผัดฉ่าถ้วยนั้นเอาไว้

พอเห็น ‘ถ้วยใหญ่’ ใบนั้น เฉินผิงอันก็อึ้งตะลึงจนพูดไม่ออก

จงขุยสีหน้าเป็นปกติ นั่งแปะลงไปข้างโต๊ะ พูดกับเจ้าแม่เทพวารีด้วยรอยยิ้ม “ขอข้าด้วยถ้วยหนึ่ง ไม่เอาถ้วยใหญ่ขนาดนี้ แค่ใส่ถ้วยเล็กๆ มาก็พอ”

นางพยักหน้ารับ จากนั้นหันไปมองเฉินผิงอัน “คุณชายท่านนี้จะกินอาหารมื้อดึกด้วยหรือไม่?”

จิตหยินไม่หมือนจิตหยางที่เป็นดั่งร่างนอกร่างของผู้ฝึกตน ไม่อาจกินอาหารรสเลิศในโลกมนุษย์ได้ ได้แค่ใช้ปราณวิญญาณฟ้าดินมาเป็นสิ่งชดเชย

เฉินผิงอันจึงยิ้มส่ายหน้าบอกว่าไม่กิน

หนึ่งเทพวารี หนึ่งวิญญูชนนั่งร่วมโต๊ะกัน ต่างคนต่างกินบะหมี่ปลาไหลในอ่างและในถ้วยของตัวเอง

เสียงของจงขุยดังขึ้นมาในทะเลสาบหัวใจของเฉินผิงอัน “เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ ไม่รู้ว่าเจอกับโชควาสนาแบบใดถึงได้รับการสืบทอดจากยุคบรรพกาลมา สามารถใช้บทกวีขอฝนบนป้ายศิลามาเป็นคาถาในการหลอมอาวุธ ว่ากันว่าระดับขั้นของคาถานี้สูงมาก ถือเป็นรากฐานในการบรรลุมรรคาของเซียนห้าขอบเขตบนท่านนั้น ด้วยเหตุนี้คนบางคนจึงให้ความสนใจอย่างมาก เพียงแต่ติดที่ชื่อเสียง จึงได้แต่วางแผนอย่างเชื่องช้า”

ตามคำบอกของจงขุย เทพวารีลำคลองหมายเหอหลอมอาวุธมาแล้วทั้งสิ้นเก้าชิ้น สองชิ้นในนั้นได้เลื่อนขั้นเป็นสมบัติอาคม ระหว่างที่ต่อสู้กับปีศาจลำคลองทำเสียหายไปสามชิ้น นั่นคือสมบัติอาคมที่ทำให้นางสามารถกำราบปีศาจลำคลองไว้ได้อย่างอยู่หมัดตลอดเวลาสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา เพียงแต่ว่าจำนวนอาวุธของนางมีมากเกินไป

สตรีบนโลกเวลาออกไปท่องเที่ยวชานเมืองจะต้องเปลี่ยนชุดกระโปรง เปลี่ยนเครื่องประทินโฉม ทว่าเจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอท่านนี้ ยามที่ออกตรวจตราพื้นที่ในปกครองจะเลือกอาวุธชิ้นไหนติดตัวไปด้วยก็ต้องดูที่อารมณ์ในขณะนั้น

กินอาหารมื้อดึกเรียบร้อยแล้ว เจ้าแม่เทพวารีก็พูดกับจงขุยอย่างตรงไปตรงมาว่า “รบกวนท่านวิญญูชนช่วยยืนยันให้ข้าแน่ใจสักหน่อยว่า หากข้าดึงดันจะขอตำราเล่มนั้นของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งมาให้ได้ สำนักศึกษาต้าฝูจะหาข้ออ้างมาทำลายจวนปี้โหยวของข้าให้พินาศวอดวายหรือไม่? หรือจะจงใจสร้างความลำบากใจให้แก่สกุลหลิวต้าเฉวียน ทำให้ไม่ช้าก็เร็วต้องถูกเป่ยจิ้นและหนันฉีร่วมมือกันมาทำลายจนสิ้นชาติ?”

เฉินผิงอันรู้สึกว่าต้องหันมามองนางเสียใหม่แล้ว

จงขุยส่ายหน้าเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “สำนักศึกษาต้าฝูไม่ได้ป่าเถื่อนเผด็จการขนาดนั้น อย่างมากก็แค่ปล่อยให้จวนปี้โหยวทำลายอนาคตของตัวเองไป วันหน้าไม่ว่าเจ้าและราชวงศ์ต้าเฉวียนจะสร้างคุณความชอบมากแค่ไหนก็ไม่มีหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นตำหนักอีกแล้ว ข้อนี้เจ้าต้องคิดให้ดี วันนี้ไม่ว่าจะเป็นเพราะลึกๆ ในใจเจ้ารู้สึกว่าการเลื่อนขั้นเป็นตำหนักปี้โหยวเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หรือเป็นเพราะเลื่อมใสในบทความอันมีคุณธรรมของท่านผู้เฒ่าเหวินเซิ่งผู้นั้นจริงๆ สรุปแล้วก็คือเจ้ายืนยันจะปฏิเสธความหวังดีจากสำนักศึกษาต้าฝู นับจากนี้ไปย่อมถูกสำนักศึกษาจดจำความแค้น เรื่องในวันนี้จะถูกจดลงในเอกสารคดีของสำนักศึกษา วันหน้าต่อให้เจ้าสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่ที่ทำให้ปวงประชาผาสุก มีคุณความชอบต่อแผ่นดินมากแค่ไหน ก็ยังได้แค่แขวนป้ายคำว่าจวนปี้โหยวเท่านั้น ถึงเวลานั้นเจ้าอาจจะรู้สึกว่าสำนักศึกษาทำไม่ถูก เช่นนั้นก็ไม่สู้ลองพิจารณาการเลือกในวันนี้ดูให้ดี”

นางพยักหน้ารับ “ข้าจำไว้แล้ว ถึงเวลานั้นจะไม่มีทางตำหนิสำนักศึกษาต้าฝูของพวกเจ้าเด็ดขาด ทำสิ่งใดย่อมได้สิ่งนั้นตอบแทน อันที่จริงจะว่าไปแล้วก็ต้องบอกว่าข้าดูหมิ่นอำนาจของสำนักศึกษาต้าฝูพวกเจ้าถึงจะถูก”

จงขุยหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ารู้ด้วยหรือ?”

เทพวารีตัวเล็กๆ ของจวนปี้โหยวกล้าปฏิเสธการแต่งตั้งจากสำนักศึกษาต้าฝู หากสำนักศึกษาอีกสามแห่งในใบถงทวีปมาเห็นเข้า นี่ไม่ใช่เรื่องตลกที่ใหญ่เทียมฟ้าหรอกหรือ?

‘ข้อสรุป’ เหล่านี้ของจงขุยมองดูเหมือนเรียบง่ายผ่อนคลาย แต่แท้จริงแล้วเขากลับต้องแบกรับความเสี่ยงและแรงกดดันที่สูงมาก

บัณฑิตให้ความสำคัญกับหน้าตามากที่สุด แม้บางครั้งต้องอัดอั้นตันใจ แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทว่าหากถูกตบหน้าต่อหน้าคนมากมาย มีความเป็นไปได้มากว่าจะยกพู่กันขึ้นมาสังหารคน

ดังนั้นคำพูดเหล่านี้ของจงขุยในคืนนี้ก็คือยันต์คุ้มกันกายแผ่นที่ใหญ่ที่สุดสำหรับจวนปี้โหยวและศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอ

ถึงอย่างไรจงขุยก็ต้องเป็นเจ้าขุนเขาสำนักศึกษาต้าฝูคนต่อไปอย่างไม่ต้องสงสัย ถึงขั้นมีคนเคยกล่าวไว้ว่า ชีวิตนี้จงขุยมีหวังว่าจะได้เป็นผู้อำนวยการใหญ่ของสถานศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่ง

นางยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน “เอาบะหมี่อีกสักชามไหม?”

จงขุยจุ๊ปากพูด “บะหมี่หนึ่งชาม ปกป้องคนทั้งจวนปี้โหยว บะหมี่หนึ่งชาม ปกป้องคนทั้งราชวงศ์ต้าเฉวียน เจ้าแม่เทพวารี เจ้าช่างดีดลูกคิดไว้ได้ถี่ถ้วนยิ่งนัก”

แม้ปากของจงขุยจะไม่ละเว้นคน แต่ก็ยังขอบะหมี่เพิ่มอีกหนึ่งชาม เพราะว่าอร่อยมากจริงๆ นางยังบอกให้คนยกเหล้าชั้นดีมาอีกสองไห กลิ่นหอมโชยมาปะทะจมูก ขนาดเฉินผิงอันที่ดื่มเหล้ามานักต่อนักแล้ว หากไม่นับรวมเหล้าลืมทุกข์หวงเหลียนของภูเขาห้อยหัว คิดว่าคงมีแต่เหล้าหมักกุ้ยฮวาเท่านั้นที่พอจะทัดเทียมได้ เพียงแต่ว่าทั้งดื่มเหล้า ทั้งกินบะหมี่ เขาล้วนไม่อาจมีส่วนร่วมด้วยได้เลย

ก่อนจะดื่มเหล้า เจ้าแม่เทพวารีพูดย้ำแล้วย้ำอีกว่านี่คือเหล้าหมักร้อยปี ห้ามดื่มมากเด็ดขาด คนหนึ่งดื่มมากสุดได้แค่สามถ้วยใหญ่เท่านั้น หากดื่มมากกว่านี้ ต่อให้เป็นเทพเซียนก็เมาล้มได้

แต่เฉินผิงอันกลับเห็นว่าทั้งนางและจงขุยต่างก็ดื่มกันคนละสี่ถ้วยใหญ่ เหล้าไหหนึ่งถูกดื่มจนหมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว เจ้าแม่เทพวารียังบอกให้บ่าวในจวนไปหยิบมาเพิ่มอีกไห

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงได้เห็นผีขี้เหล้าสองคนที่คออ่อนยิ่ง

จงขุยคร่ำครวญเรียกหาจิ่วเหนียง

ส่วนเทพวารีก็ตะเบ็งเสียงพูดจาภาษาคนเมา บางครั้งยังยกมือตบโต๊ะช่วยเพิ่มความฮึกเหิมให้กับตัวเอง เวลานี้นางยกเท้าข้างหนึ่งขึ้นมาเหยียบบนเก้าอี้ ใช้นิ้วโป้งชี้ไปที่ตัวเอง ถามจงขุยที่นางเพิ่งรับเป็นพี่น้องว่า “อยู่ในยุทธภพ ต้องอาศัยอะไร?!”

จงขุยยังคงพร่ำเพ้อถึงจิ่วเหนียงของเขา

นางจึงถามเองตอบเองว่า “ความหยิ่งในศักดิ์ศรี! กระดูกสันหลังต้องยืดตรง หมัดต้องแข็ง คำพูดคำจาและการวางตัวต่างก็ต้องผ่าเผยกว้างขวาง! พี่น้องจงขุย ข้ารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนที่ไม่เลวเลยทีเดียว มีความรับผิดชอบเหมือนชายชาตรี! ข้าเลยรับเจ้าเป็นพี่น้อง วันหน้าจะบุกน้ำลุยไฟ เจ้าแค่พูดมาคำเดียว!”

เฉินผิงอันนั่งอยู่ด้านข้างด้วยความเบื่อหน่าย

ในใจคิดว่าหากเด็กชายชุดเขียวงูน้ำแห่งแม่น้ำอวี้เจียงอยู่ที่นี่ด้วย คงต้องพูดอะไรที่เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมน้ำมิตร แถมยังตบอกเสียงดังสะเทือนไปถึงชั้นฟ้าแน่ๆ

จงขุยชี้นิ้วไปยังฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ทว่าตำแหน่งที่ชี้ห่างจากเทพวารีไปไกลโข พูดด้วยดวงตาปรือปรอยว่า “ใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพไม่ใช่เรื่องของผู้ฝึกยุทธ์หรอกหรือ เจ้าเป็นเทพวารีคนหนึ่ง…ไม่ถูกสิ ดูเหมือนการพูดว่าเทพวารีอยู่ในยุทธภพ (แปลอีกอย่างได้ว่าแม่น้ำและทะเลสาบ) จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสมที่สุดแล้ว ก็ได้ ถือว่าเจ้าพูดถูกแล้ว เพียงแต่ว่าความหยิ่งในศักดิ์ศรีไม่อาจเอามากินแทนข้าวได้…”

เทพวารีเลิกคิ้ว กรอกเหล้าเข้าปากอึกใหญ่ พูดลิ้นพันกัน “เวลาปกติก็มีข้าวกิน! กินอิ่มมากเลยล่ะ เนื้องูตุ๋น บะหมี่ปลาไหลผัดฉ่า พ่อครัวของข้าบอกว่าเมื่อก่อนเคยทำอาหารให้ฮ่องเต้กิน ฝีมือจึงยอดเยี่ยมที่สุด ดังนั้น…คนเราจึงยังต้องมีความหยิ่งในศักดิ์ศรี!”

จงขุยโคลงศีรษะ “เจ้ามีความหยิ่งในศักดิ์ศรีของเจ้า เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ข้าต้องการแค่จิ่วเหนียง…”

เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน เตรียมจะไปชมทิวทัศน์ที่หน้าประตูห้องโถง

เหล้ารสดีอยู่ใกล้ในระยะประชิดแต่ดื่มไม่ได้ ได้แต่มองอย่างเดียวย่อมชวนให้คนหงุดหงิดใจ

และเวลานี้เอง จงขุยก็ลุกพรวดขึ้นนั่งตัวตรง ชุดเขียวสั่นสะเทือน ความเมามายหายเป็นปลิดทิ้ง

ส่วนเทพวารีกลับหัวกระแทกโต๊ะดังโป้กแล้วหลับสนิทไปทันที

เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมอง

เห็นเพียงแผ่นหลังของคนที่มีความสูงในระดับปานกลาง สวมใส่ชุดลัทธิขงจื๊อ

จงขุยกุมมือคารวะ “ลูกศิษย์จงขุยคารวะท่านอาจารย์”

คนผู้นั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มหนักเนิบช้า “ช่วงก่อนหน้านี้ลูกศิษย์นักการฝ่ายนอกคนหนึ่งของสำนักฝูจีไปเจอเข้ากับหายนะใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่งโดยบังเอิญ ตอนที่ข่าวส่งมาถึงสำนักศึกษา ยังไม่ทันรอให้พวกเราวางแผนเสร็จสิ้น ดูเหมือนฝ่ายตรงข้ามจะรู้เสียก่อนว่าท่าไม่ดี นั่นคือปีศาจใหญ่ห้าขอบเขตบนตนหนึ่ง ภูเขาของสำนักฝูจีถูกมันทำลายไปเกือบครึ่ง ขอบเขตหยกดิบสองคนของสำนักฝูจี คนหนึ่งตาย คนหนึ่งบาดเจ็บ ปีศาจใหญ่เองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส พยายามจะหนีไปทางทะเลตะวันตก ยังดีที่เจ้าสำนักภูเขาไท่ผิงขวางเอาไว้ ทว่าพวกภูตผีปีศาจที่ภูเขาไท่ผิงกำราบไว้ใต้บ่อมานานหลายพันปีกลับหนีไปเกินครึ่งในช่วงเวลานี้พอดี ตอนนี้ภาคกลางของใบถงทวีปจึงโกลาหลไม่หยุด”

จงขุยสีหน้าเคร่งเครียด “อาจารย์ ศิษย์ควรทำเช่นไร?”

คนผู้นั้นหัวเราะเสียงเย็น “ไม่ใช่ดื่มสุราดับทุกข์จนดึกดื่นก็แล้วกัน”

จงขุยก้มหน้า “ศิษย์ผิดไปแล้ว”

คนผู้นั้นถอนหายใจหนึ่งที “ก่อนฟ้าสางจงออกเดินทางไปยังภูเขาไท่ผิง ถึงเวลานั้นเจ้ากับลูกศิษย์ของสำนักศึกษาทุกคนต้องเชื่อฟังคำสั่งจากนักพรตของภูเขาไท่ผิง ห้ามอาศัยสถานะของสำนักศึกษากระทำการตามอำเภอใจเด็ดขาด ได้ยินไหม?!”

จงขุยพยักหน้ารับ “ทราบแล้ว”

จงขุยทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่ได้พูด

บุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่น่าจะเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักต้าฝูส่ายหน้า “การล้อมปราบปีศาจใหญ่ตนนี้ มีเพียงผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนถึงจะมีคุณสมบัติได้เข้าร่วม”

จงขุยเงียบงัน

สุดท้ายบุรุษชุดลัทธิขงจื๊อกล่าวว่า “จงขุย เจ้าต้องระมัดระวังให้มาก ภัยพิบัติในครั้งนี้ ไม่ว่าใครก็ล้วนมีโอกาสตายได้ทั้งนั้น ต่อให้เป็นข้าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น”

จงขุยพยักหน้ารับ แล้วพลันตระหนักได้ถึงเรื่องหนึ่ง “เมืองหูเอ๋อร์?”

อริยะลัทธิขงจื๊อท่านนั้นลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนตอบว่า “สามารถปล่อยไปก่อนได้ชั่วคราว”

สายตาของจงขุยซับซ้อน

กายธรรมของอริยะที่มาเยือนจวนปี้โหยวพลันหายวับไป

เฉินผิงอันยืนอึ้งปากอ้าตาค้างอยู่ตรงหน้าประตู

สำนักฝูจี ภูเขาไท่ผิง

ล้วนเป็นชื่อสำนักในใบถงทวีปที่เฉินผิงอันคุ้นหูดี โดยเฉพาะเทพธิดาจากหอจิ้งซินในพื้นที่มงคลดอกบัวผู้นั้น ตัวตนที่แท้จริงของนางก็คือนักพรตหญิงแห่งภูเขาไท่ผิงที่ชื่อว่าหวงถิง

ที่น่าเหลือเชื่อที่สุดก็คือปีศาจใหญ่ตนนั้นกลับทำให้คู่รักเทพเซียนของสำนักฝูจี หนึ่งตาย หนึ่งบาดเจ็บ?

จงขุยลุกขึ้นยืน มองมายังเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันไม่เข้าใจ “มีอะไรหรือ?”

จงขุยยิ้มเจื่อน “ข้าอาจจะมีคำขอร้องอย่างหนึ่งที่ทำให้เจ้าลำบากใจ”

เฉินผิงอันเข้าใจความคิดของจงขุยทันที “เหล็กหมาดหิมะชิ้นนั้น?”

จากนั้นเฉินผิงอันก็ส่ายหน้า

จงขุยสีหน้าหม่นหมอง แต่ก็เข้าใจเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันเอ่ยยิ้มๆ “ยกให้เจ้าไม่ได้ แต่ให้เจ้ายืมได้”

จงขุยถาม “จริงหรือ?! เจ้าคิดดีแล้วหรือ การเข่นฆ่าครั้งนี้อันตรายอย่างยิ่ง อย่าว่าแต่ข้าจงขุยเลย ต่อให้เป็นอาจารย์ของข้าก็อาจตายได้ เจ้าไม่กลัวว่าให้ข้ายืมเหล็กหมาดหิมะ ช่วยให้ข้าตวัดพู่กันเหมือนมีเทพช่วย แต่วันใดวันหนึ่งมันอาจถูกทำลายอยู่ในสนามรบหรอกหรือ? ไม่กลัวว่าต่อให้ข้าจงขุยไม่ตาย สุดท้ายก็อาจจะเล่นแง่ไม่ยอมคืนมันให้เจ้าหรือไร?”

เฉินผิงอันกะพริบตาปริบๆ ยื่นนิ้วออกมาสี่นิ้ว

จงขุยหัวเราะฮ่าๆ “เข้าใจแล้ว ถามใจตัวเอง”

เฉินผิงอันพลันนึกถึงปัญหาข้อหนึ่ง “ให้ร่างจริงของข้ามาที่จวนปี้โหยว? ระยะทางน้ำสามร้อยลี้ต้องใช้เวลาไม่น้อย ไม่สู้เจ้าจงขุยไปเอาเหล็กหมาดหิมะที่โรงเตี๊ยมริมลำคลองโดยตรงเลยดีกว่า?”

จงขุยครุ่นคิด “สามารถให้เจ้าแม่เทพวารีพาร่างจริงของเจ้ามาได้ รับรองว่าเร็วมาก เพราะข้ายังต้องทำบางอย่างที่จวนปี้โหยวแห่งนี้ ไม่เหมาะให้คนนอกเห็น”

จงขุยพูดพลางเดินมาหน้าโต๊ะ ใช้นิ้วเคาะผิวโต๊ะ “เจ้าแม่เทพวารี ยังจะแกล้งหลับอยู่อีกรึ?”

นางลุกขึ้นนั่งตัวตรงแล้วคลี่ยิ้ม ก่อนจะลุกออกมา “ข้าจะไปรับร่างจริงของคุณชายท่านนี้เดี๋ยวนี้ เพียงแต่รบกวนให้ร่างจริงของคุณชายกระโดดลงมาในลำคลองหมายเหอหลังจากข้านับถึงสิบ”

จากนั้นเจ้าแม่เทพวารีก็เริ่มนับเลขเสียงดังพลางพุ่งตัวไปยังช่วงหนึ่งของลำคลองหมายเหอที่อยู่ใกล้กับจวนปี้โหยวเพื่อ ‘งมคน’ นี่ก็คือวิชาอภินิหารเฉพาะขององค์เทพในพื้นที่แถบนี้

พอนับถึงสิบ เฉินผิงอันตบหัวตัวเองด้วยความจนใจเล็กน้อย

ครู่หนึ่งต่อมา นอกจากเทพวารีจะพาร่างจริงของเฉินผิงอันมาแล้ว ยังพาหนอนตามก้นตัวน้อยที่ร่างเปียกโชกมาด้วย

จงขุยหัวเราะร่าเสียงดัง

เฉินผิงอันถาม “จิตหยินจะกลับเข้าร่างอย่างไร?”

จงขุยสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง ลมเย็นๆ ก็พัดพาเอาจิตหยินของเฉินผิงอันกลับเข้าร่างจริงไปเบาๆ เขาเอ่ยเตือนว่า “หากยังไม่มีจิตหยางคอยติดตามมาช่วยคุ้มครอง วันหน้าอย่าได้ปล่อยจิตหยินออกมาท่องเที่ยวยามค่ำคืนง่ายๆ อีก”

เฉินผิงอันพ่นลมหายใจออกมายาวเหยียด ก่อนจะหยิบเหล็กหมาดหิมะออกมาจากวัตถุฟางชุ่น มอบให้กับจงขุย

จงขุยรับเหล็กหมาดหิมะมาแล้วก็ถามว่า “วันหน้าจะคืนให้เจ้าอย่างไร?”

เฉินผิงอันเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เจ้าสามารถมอบเหล็กหมาดหิมะไปให้กับเฉินผิงอันแห่งภูเขาลั่วพั่วเขตการปกครองหลงเฉวียน ราชสำนักต้าหลีของแจกันสมบัติทวีป”

จงขุยพยักหน้ารับแล้วสีหน้าก็เริ่มเปลี่ยนมาเป็นแปลกประหลาด ยิ่งนานสีหน้าของเขาก็ยิ่งพิลึกพิลั่น

อดไม่ไหวจริงๆ จงขุยจึงถามว่า “เจ้าคงไม่ได้รู้จักกับอาจารย์ฉีแห่งสำนักศึกษาซานหยาจริงๆ หรอกนะ? ข้ารู้เรื่องหลายเรื่องของถ้ำสวรรค์หลีจูต้าหลี”

เฉินผิงอันทั้งไม่พยักหน้ารับและไม่ส่ายหน้าปฏิเสธ

ส่วนเจ้าแม่เทพวารีกลับดื่มเหล้าดับความตกใจก่อน ถึงค่อยถามอย่างระมัดระวังว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้ารู้จักอาจารย์ของอาจารย์ฉีไหม?”

เฉินผิงอันเกาหัว ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า

ดูเหมือนว่าเรื่องดื่มเหล้านี้จะเป็นอาจารย์ผู้เฒ่าที่สอนเขา?

ตอนนั้นพอซิ่วไฉเฒ่าถูกเด็กหนุ่มบางคนแบกไว้บนหลัง ผู้เฒ่าก็ตบศีรษะของเด็กหนุ่มอย่างแรง แล้วโวยวายว่าเป็นเด็กหนุ่มต้องดื่มเหล้า

—–