บทที่ 1592 – มรกดของเทพอสูรที่หลงเหลืออยู่

Ancient Strengthening Technique เทพอสูร บรรพกาล

บทที่ 1592 – มรกดของเทพอสูรที่หลงเหลืออยู่

 

ถึงแม้จะไม่เต็มใจ แต่เขาก็ไม่ได้หันกลับไปมองที่เจี้ยนเก้อ เขารู้ดีว่าหากเขาหันกลับไป มีโอกาสมากที่เขาจะกลับไปหาเธอ ดังนั้นชิงสุ่ยจึงได้ตัดสินใจที่จะมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่เหลียวกลับไปมอง

 

บางครั้งเราก็จำเป็นต้องมีความเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นมนจะเป็นอุปสรรคในการเดินทาง เนื่องจากเธอเลือกที่จะอยู่ในที่พระราชวังเทพสมุทร เขาจึงไม่มีทางเลือกที่จะต้องจากเธอมา

 

มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเขาและเธอ พวกเขาทั้งสองต่างมีหน้าที่ๆตัวเองต้องแบกรับเอาไว้

 

ในไม่ช้าชิงสุ่ยก็มาถึงแดนทะเลน้ำแข็ง นี่เป็นเวลาพักใหญ่ๆแล้วที่เขาไม่ได้หายใจบนบก มันจึงทำให้เขาต้องใช้เวลาสักพักในการปรับตัว

 

บรรยากาศเหนือแดนทะเลน้ำแข็ง ก็ยังคงมืดมน และหนาวเย็นดังเก่า  ชิงสุ่ยทอดสายตามองไปที่เกล็ดหิมะสีขาวที่ลอยล่องอยู่เต็มท้องฟ้าด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อย ดวงตาของเขาแฝงไปด้วยความโศกเศร้ามากมายที่บอกไม่ถูก

 

ความหนาวเย็นของที่แห่งนี้ส่งผลไปถึงหัวใจของเขา ภาพของเจี้ยนเก้อยังคงตราตรึงในใจของเขาในเวลานี้

 

ในการเดินทางไปยังพระราชวังเทพสมุทรในครั้งรี้ เขาได้นับประสบการณ์ที่มากกมาย ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่ง สหาย และที่สำคัญก็คือเขายังได้พบกับเจี้ยนเก้อ เมื่อนึกถึงเรื่องราวต่างๆมันทำให้เขายิ้มออกมาก่อนที่จะมองไปที่สุดขอบท้องฟ้าและเดินทางต่อในตอนนี้

 

ทางตอนเหนือ!

 

ร้อยลี้ต่อมาก็ยังถูกปลกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง

 

พันลี้ต่อมาหิมะก็ยังตกอยู่ …

 

หมื่นลี้ต่อมาภูเขาก็ยังถูกย้อมไปด้วยหิมะสีขาวเงิน

 

แสนลี้ต่อมันทุกอย่างยังคงขาวโพลน …

 

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยยังคงเหาะต่อไปทางตอนเหนือของดินแดนทะเลน้ำแข็ง ในเวลานี้หิมะที่ตกลงมานั้น เร็วพอที่จะทำจะปกคลุมไปทั่วร่างกายของเขา แต่ถึงอย่างไรก็ตามด้วยกลิ่นหายของเขามันทำให้หิมะนั้นไม่สามารถสัมผัสเขาได้

 

เมื่อมองไปที่หิมะสีขาวโพลน ชิงสุ่ยได้ตัดสินใจใช้ย่างก้าวเก้าเทวาออกมา!

 

เมืองหลินห่าย!

 

กลับไปที่เมืองหลินห่ายความรู้สึกของเขาก็ได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง ราวกับความเศร้าโศกใจของเขาได้ถูกละลายไป ราวกับตอนนี้เขาได้กลับมาที่บ้านของเขา มันเต็มไปด้วยความอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก

 

 

ในตอนนี้ เมื่อเขามองดูไปที่ผู้คนรอบตัวเขา มันทำให้เขารู้ว่าที่แห่งนี้นั้นไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ถึงแม้เมืองแห่งนี้จะตั้งอยู่ในพื้นที่หนาวเหน็บ แต่ก็มีผู้คนมากมายอาศัยอยู่ในเมืองแห่งนี้  แม้ว่าที่แห่งนี้จะยากในการดำรงชีพแต่ก็มีผู้คนมากมายอาศัยอยู่ที่นี่

 

อีกอย่างที่ชิงสุ่ยแปลกใจ แม้ว่าเมืองแห่งนี้จะไม่ได้อุดมสมบูรณ์มากนัก แต่เขาก็ไม่เคยพบเจอคนไร้บ้าน หรือขอทานเลย นี่เป็นเรื่องที่เขาแปลกใจอย่างหนึ่ง

 

 

ชิงสุ่ยมองไปที่กลุ่มคน ชาวบ้านที่ขายของอยู่ แม้ว่าอากาศจะเหน็บหนาวมากมายเท่าไร พวกเขาก็ไม่เคยหยุดหยอดเลย มันทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตของคนเขาเรานั้นเดมาเพื่อต่อสู้อย่างแท้จริง

 

ชิงสุ่ยไม่คิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าใครๆ  เขาคิดว่าทุกๆคนมีชีวิตที่เท่าเทียบกัน แม้แต่สัตว์ก็ตาม

 

ในตอนนี้ผู้คนมากมายต่างตื่นเต้นอย่างมากเมื่อเห็นชิงสุ่ยกลับมา ข่าวการกลับมาของเขาได้แพร่กระจายเป็นวงกว้างอย่างไฟลามทุ้ง  เช่นเดียวกับผู้คนในหอคอยจักรพรรดิที่สามารถสัมผัสได้ถึงการกลับมาของเขา

 

เหลียนหลินเฟิง, หยินต่ง, หลิงเฟย, ซีฉีชา, อวี้ เหนียง และคนอื่น ๆ ได้ออกมาต้อนรับเขาด้วยความยินดี

ทุกคนได้โอบกอดไปที่เขาด้วยความสุข เช่นเดียวกับเสวี่ย นั่วที่กอดไปที่เขาและร้องไห้ออกมา สำหรับชิงสุ่ยแล้วเธอนั้นไม่ได้ต่างอะไรไปจากน้องสาวของเขา นี่คือสิ่งที่เขารู้สึกออกมาจากใจจริง

 

เช่นเดียวกับเธอที่สามารถบอกได้ว่าการกระทำของเขา ราวกับเขารู้สึกกับเธอเพียงแค่เด็กน้อยคนหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรเธอก็ดีใจที่เขายังมีเธอในใจไม่ว่าจะในสถานะใดก็ตาม

 

แต่บางครั้ง เธอก็ยังสงสัยว่าบางทีเธออาจจะไม่สวยพอ  เขาจึงไม่คิดอะไรกับเธอ แม้เธอจะยอมรับว่าเธอไม่สวยเท่าพี่สาวของเธอ แต่เทียบกับคนอื่นๆแล้วเธอก็ไม่ด้อยกว่าเลย ในตอนนี้เธอมองไปที่ตาของชิงสุ่ยและกล่าว “น้องใหญ่ ท่านได้พบกับพี่เจี้ยนเก้อหรือไม่?”

 

“แน่นอน” เขายิ้มกว้างออกมาก่อนที่จะลูบไปที่หัวของเธอ นี่เป็นท่าทางที่เขาจะใช้ทำกับลูกๆของเขาเท่านั้น ในความเป็นจริงมันเป็นท่าทางที่เขาต้องการแสดงออก- เพื่อยืนยันความรู้สึกของเขาว่าเขาไม่ได้คิดอะไรกับเธอมากกว่าน้องสาวเท่านั้น

 

“อย่าทำเหมือนข้าเป็นเด็กสิ ท่านก็ไม่แก่กว่าข้ามากนัก ท่านไม่ได้รับอนุญาตให้โอ้อวดเรื่องอายุของท่าน”เธอตบลงไปที่มือของเขา ก่อนที่จะดึมันออกไป

 

“จริงสิ ทำไมพี่เจี้ยนเก้อถึงไม่กลับมากับท่านละ? ท่านกำลังโกหกข้าใช่ไหม? “เธอกล่าวและมองไปที่หน้าของเขาอย่างจริงจัง

 

“ทำไมข้าต้องโกหกเจ้าด้วยละ? นางมีเรื่องบางอย่างที่ต้องจัดการอยู่ เมื่อนางจัดการกับเรื่องราวทั้งหมดได้นางจะมาหาเราเอง “ชิงสุ่ยหัวเราะเบา ๆ

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยมองไปรอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่เหลียนหลิงเฟิงจะหัวเราะและกล่าวว่า “ไว้คุยกันทีหลังดีกว่าๆ มาๆ ลองดูสิว่า ข้าได้เตรียมอาหารอะไรไว้ให้เจ้าบ้าง  โอ้ว แต่มันคงไม่อร่อยเท่าฝีมือของเจ้า?  ฮ่าๆ”

 

“ในที่สุดเราก็ได้กินอาหารกัน แบบพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง” หยินต่งกล่าว

 

……..

 

ในตอนนี้ลูกของอวี้เหนียงก็ได้เติบโตขึ้นอย่างแข็งแรง โดยในตอนนี้ลูกคนสุดท้องของอวี้เหนียงมีอายุเพียงสามขวบเท่านั้น เธอนั้นมีความทรงจำเกี่ยวกับชิงสุ่ยน้อยมากแต่ถึงอย่างไรเธอก็ชอบที่จะให้เขาโอบกอดเธอไว้

 

ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้อุ้มเธอขึ้นไว้บนตัก ขณะที่เธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ราวกับเธอรู้สึกได้ความรักจากตัวของชิงุส่ย

 

“ชิงสุ่ย ข้าคิดว่าเจ้าคงมีอนาคตที่รุ่งโรจน์แน่นอนถ้าเจ้ายึดเอาอาชีพพี่เลี้ยงเด็ก ฮ่าๆ” เหลียนหลิงเฟิง กล่าวด้วยรอยยิ้ม ก่อนที่จะหัวเราะออกมา

 

“ฮ่าๆ ถ้าเช่นนั้นแล้ว ให้ข้าจะเลี้ยงลูกทั้งหมดของเจ้าด้วยดีมั้ย?” ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าว

 

“ไม่ หากลูกๆของข้ามีนิสัยเช่นเจ้าข้าคงได้อกแตกตาย” ซีฉีชารีบตอบอย่างรีบร้อน

 

ชิงสุ่ย และ เหลียนหลิงเฟิง ได้แต่หัวเราะออกมาเมื่อได้เห็นท่าทางของเธอ

 

 

“มีอะไรเกิดขึ้นบ้างรึไม่ในช่วงที่ข้าไม่อยู่?” ชิงสุ่ยหยิบขวด้หล้าออกมาก่อนที่ เหลียนหลิงเฟิงจะหยิบมันก่อนที่จะเทให้กับทุกๆคน

 

“ถ้ามีเรืองที่เป็นประเด็นก็มีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น” เหลียนหลิงเฟิงหยุดเทเหล้าในมือก่อนที่จะเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจัง

 

“ตระกูลของเทพอสูรได้ปรากฏตัวขึ้นในจักรวรรดิหิมะนิรันดร์”

 

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดดังกล่าวมันทำให้ชิงสุ่ยนั้นรู้สึกกังวลอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะว่าพวกเขานั้นเป็นผู้สืบทอดมรดกรบของพระเจ้าก็เป็นได้ ถึงตอนนี้มีเพียงแค่ถานท่าย หลิงเยียนเท่านั้น ที่เป็นคนดีที่ได้ครอบครองมรดกของเทพอสูรเอาไว้

 

ยิ่งไปกว่านั้นชิงสุ่ยรู้ดีว่ามรดกของเทพอสูรนั้นอันตรายขนาดไหน ในครั้งก่อนเขายังได้รับบาดเจ็บก็เพราะมัน

 

“เจ้าคิดว่าพวกเขาเป็นจะคนดีหรือไม่?” ชิงสุ่ยถามออกไป

 

“ข้าก็ไม่รู้ อาจดีหรือไม่ดี แต่ที่ข้ารู้มรดกของเทพอสูร เป็นแหล่งรวบรวมของพลังแห่งความชั่วร้ายเอาไว้ แม้ว่าคนดีๆครอบครองมัน ก็เป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะกลับมาเป็นคนดีเช่นดังเก่า “หลิงเฟิงกล่าออกมาหลังจากคิดอยู่ชั่วขณะ

 

“เพียงความเกลียดชังเพียงเล็กน้อยมันก็มากพอที่จะทำให้พวกเขาถูกควบคุมแล้ว เว้นเสียแต่ว่าพวกเขามีหัวใจแห่งพุทธะ มันก็อาจะทำให้พวกหลีกเลี่ยงการควบคุมได้ หากไม่เช่นนั้นแล้ว เขาจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงความบ้าคลั่ง กระหายเลือดไปได้  ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆความตายคือทางเลือกของพวกเขา “

 

“แล้วพอจะ ทางไหนที่ช่วยพวกเขาได้บางละ ยกเว้นความตาย?”

 

“มันก็ยังมีอีกหนทางหนึ่งที่พอจะช่วยพวกเขาได้ แต่มันเป็นเรื่องที่ยากอย่างมาก?”

 

“มันคือ?”

 

“ความรัก ความรักเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่าง  แม้แต่ชั่วร้ายก็ยังถูกกำจัดไปได้ด้วยความรัก “