“เร็วถึงเพียงนี้!” 

 

 

“เปิดยามนี้ไม่ค่อยเหมาะสมนะ” 

 

 

…… 

 

 

ชั่วพริบตาสิ่งมีชีวิตในห้องโถงใหญ่ก็เกิดเสียงอื้ออึงขึ้น 

 

 

“แดนกว้างเย็นเพิ่งจะปรากฏตัวได้ไม่นาน เครื่องมือกว้างเย็นก็ปรากฏลางบอกเหตุออกมา เหมือนกับก่อนหน้าอย่างไรอย่างนั้น ยามนี้เป็นยามที่เผ่าแมลงมีเขากำลังรุกรานเมฆาสวรรค์ของพวกเราพอดี ไม่อาจแบ่งใจไปกับเรื่องนี้ได้ แต่การเปิดเขตกว้างเย็นในครั้งนี้ เป็นโอกาสงามๆ ในการเพิ่มพละกำลังให้กับแต่ละเผ่าในแผ่นดินใหญ่เสียงเพรียกอัสนี แน่นอนว่าย่อมไม่อาจดูแคลนได้ ดังนั้นจะเตรียมการเรื่องนี้อย่างไร ยังต้องให้สหายทุกท่านและท่านอาวุโสเวิงช่วยกันตัดสินใจถึงจำสำเร็จ” เชียนจีจื่อเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ 

 

 

“สหายเชียนพูดไม่ผิด การโจมตีเผ่าแมลงมีเขาเกี่ยวข้องกับกำลังกว่าครึ่งของเมืองเมฆาของพวกเรา แต่โชคดีที่การเปิดแดนกว้างเย็นนั้น พวกเราเองก็ไม่ได้มีประสบการณ์เป็นครั้งแรก แม้ว่าการเปิดครั้งนี้จะค่อนข้างเร็ว แต่ก็ไม่ต้องละลนลาน” ชายหนุ่มแซ่เวิงพยักหน้าขณะเอ่ย  

 

 

“ความจริงแล้วการเปิดแดนกว้างเย็น หลักสำคัญต้องดูกำลังและวาสนาของชนรุ่นหลังของตนเอง สิ่งที่พวกเราทำได้ก็แค่พยายามยืนยันรายชื่อผู้ที่จะเข้าไปรวมทั้งวางเขตอาคมที่จะเข้าไปในเขตแดนนั้นให้เร็วที่สุด แผ่นป้ายกว้างเย็นในครั้งนี้ สิบสามเผ่าของพวกเราก็ได้มาไม่มากนัก ในเมืองเมฆาก็รักษาเอาไว้ได้แค่สองก้อนเท่านั้น หากเป็นเช่นนั้นละก็ทางพวกเราก็แค่เตรียมเขตอาคมทั้งสองให้ดีก็พอแล้ว ส่วนแดนกว้างเย็นนั้นย่อมต้องให้เขาจัดการ พวกเราก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอันใด” ชายร่างใหญ่ที่เรือนกายเป็นสีดำสนิทราวกับถ่ายดำ เบะปากขณะเอ่ยสนับสนุน 

 

 

“เป็นเช่นนี้จริงๆ!” 

 

 

“แต่เมืองเมฆาของพวกเราก็มีชนรุ่นหลังระดับหลอมสุญตาขั้นสุดยอดจำนวนไม่น้อย เกรงว่าคงกำหนดรายชื่อได้ยาก”  

 

 

“ต้องระวังจารชนของเผ่าแมลงมีเขาถือโอกาสนี้สร้างความวุ่นวาย จะต้องเพิ่มความระมัดระวังเขตอาคมส่งตัวทั้งสองเขตนี้” 

 

 

…… 

 

 

ผู้ที่นั่งอยู่มีสีหน้ายินดี บ้างกลับขมวดคิ้ว แล้วทยอยกันเอ่ยปาก  

 

 

ชายหนุ่มแซ่เวิงได้ยินคำพูดของระดับศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ก็เผยสีหน้าอมยิ้มออกมา แต่รอจนทุกคนเอ่ยจนครบรอบหนึ่งแล้ว พลันเอ่ยถามหญิงสาวเผ่าผลึก  

 

 

“ท่านเซียนไฉ่ เจ้ามีอันใดจะสำทับหรือไม่?” 

 

 

“เหล่าสหายพูดกันครบแล้ว ข้าไม่มีอันใดจะสำทับอีก” หญิงงามเผ่าผลึกพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ตอบพร้อมกับอมยิ้ม 

 

 

“อืม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การเปิดแดนกว้างเย็นครั้งนี้ให้เตรียมการเหมือนดังที่ผ่านมา ส่วนรายชื่อของชนรุ่นหลังที่จะเข้าไปนั้น ก็ให้พวกท่านกลับไปจัดการกันเอาเอง แต่อย่างน้อยที่สุดต้องมีระดับปลายขั้นสุดยอดสองสามคน แต่การป้องกันเขตอาคมส่งตัวจำต้องเพิ่มกำลังคนมากกว่าสามเท่า และยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้รัศมีทั้งหมดในบริเวณสิบลี้เป็นเขตต้องห้าม คนนอกไม่อาจเข้าใกล้ได้ง่ายๆ เขตอาคมมีเพียงเผ่าหมื่นโบราณถึงจะวางได้ ทั้งหมดนี้ต้องให้สหายเชียนและพวกทั้งสามคนเป็นผู้จัดการ” หลังจากชายหนุ่มแซ่เวิงครุ่นคิดเล็กน้อย สุดท้ายก็ตัดสินใจ  

 

 

เชียนจีจื่อรวมทั้งอาวุโสอีกสองท่านนั่งอยู่ด้านข้าง แน่นอนว่าพลันค้อมตัวลงตอบรับคำสั่ง 

 

 

“ใช่แล้ว การกระตุ้นแผ่นป้ายกว้างเย็นของผู้ที่ถูกเลือกนั้น พวกเจ้าก็เลือกให้ดีก็แล้วกัน” ชายหนุ่มแซ่เวิงนึกขึ้นมาได้ พลันเอ่ยถาม 

 

 

“ผู้ถูกคัดเลือกคนหนึ่งได้ถูกยืนยันแล้ว อีกคนหนึ่งกลับไม่จำเป็น ที่ต้องถูกกระตุ้น” เชียนจีจื่อลังเลเล็กน้อย ถึงได้ตอบกลับ 

 

 

“หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้เรื่องที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น ผู้ที่กระตุ้นแผ่นกว้างเย็นล้วนต้องตัวเลือกที่หายาก และต้องทำพิธีการกระตุ้นในวินาทีสุดท้าย ครั้งนี้จะกระตุ้นก่อนได้อย่างไร” ชายหนุ่มแซ่เวิงได้ยิน สีหน้าก็อดที่จะเคร่งขรึมไม่ได้ 

 

 

“ท่านอาวุโสโปรดอภัย สถานการณ์แผ่นป้ายกว้างเย็นนั้นค่อนข้างพิเศษ ยามที่ได้มาก็ถูกคนกระตุ้นไปแล้ว เรื่องมันเป็นอย่างนี้…” แน่นอนว่าเชียนจีจื่อย่อมเอ่ยเรื่องของหานลี่อย่างระมัดระวังรอบหนึ่ง 

 

 

“คาดไม่ถึงว่าจะมีเรื่องเช่นนี้ด้วย เช่นนั้นคนผู้นี้ก็ไม่ใช่คนในเมฆาสวรรค์หรือแม้กระทั่งคนในแผ่นดินใหญ่ของพวกเรา” หลังจากที่ชายหนุ่มแซ่เวิงได้ฟังแล้ว ก็รู้สึกประหลาดใจขึ้นมา 

 

 

“เป็นเช่นนั้นจริงๆ ขอรับ และยิ่งไปกว่านั้นหลายๆ เผ่าของพวกเราก็สัญญาว่าหลังจากเสร็จเรื่องจะให้เขายืมใช้เขตอาคมส่งตัวครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าศิลาวิญญาณที่ต้องเสียจะให้เขาเตรียมเอง” เชียนจีจื่อตอบอย่างซื่อสัตย์ 

 

 

“เขตอาคมส่งตัวย่อมไม่เป็นอันใด สิ่งสำคัญก็คือฐานะคนผู้นี้ไม่ได้มีปัญหาอันใดสินะ” ชายหนุ่มแซ่เวิงมีสีหน้าสลับซับซ้อน แต่ก็เอ่ยซักถามอย่างไม่วางใจ 

 

 

“ท่านอาวุโสเวิงโปรดวางใจ คนผู้นี้น่าจะไม่มีปัญหาอันใด และยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็แค่อาศัยพลังของคนผู้นี้เข้าไปในแดนกว้างเย็นเท่านั้น ทุกขั้นตอนแทบจะอยู่ในสายตาของพวกเรา เขาจะทำอันใดได้อย่างไร ส่วนหลังจากเข้าไปแล้ว พวกเขาก็จะต่างคนต่างเคลื่อนไหว ยิ่งไม่เกิดปัญหาอันใดแน่” เชียนจีจื่อเอ่ยอย่างมั่นใจ  

 

 

“ในเมื่อสหายมั่นใจเช่นนี้ แผ่นป้ายกว้างเย็นก็ถูกคนผู้นี้กระตุ้นไปแล้ว เรื่องนี้ก็ช่างมันเถิด ถึงยามนั้นก็ออกคำสั่งคนอื่น ให้จับตาดูคนผู้นี้เงียบๆ ก็พอแล้ว” ชายหนุ่มแซ่เวิงรู้สึกว่าไม่เป็นปัญหา สุดท้ายก็พยักหน้า 

 

 

แน่นอนว่าเชียนจีจื่อย่อมตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำ 

 

 

“ส่งข่าวกลับไปให้พวกสหายลี่ว์ที่อยู่ด้านหน้า เผ่าแมลงมีเขาเพิ่มกำลังสนับสนุนแล้ว แม้แต่ระดับศักดิ์สิทธิ์ก็ยังเพิ่มขึ้นห้าหกคน ภายใต้ความไม่ระมัดระวังของพวกเรา ก็ถูกทำลายเมืองไปสามเมือง และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นฝ่ายเสียเปรียบ ดูแล้วเผ่าแมลงมีเขาคงมีเจตนาจะขยายอาณาเขตแล้ว” 

 

 

เมื่อเชียนจีจื่อและพวกทั้งสามนั่งลง เผ่าศักดิ์สิทธิ์ผิวสีดำเขียวก็หยัดกายลุกขึ้น รายงานอีกเรื่องกับชายหนุ่มแซ่เวิง  

 

 

“หึ รีบคัดเลือกระดับศักดิ์สิทธิ์ห้าคนและระดับสูงพันคนในเมืองส่งไปทัพหน้า หากพวกเขาอยากยกระดับการต่อสู้ เมฆาสวรรค์อย่างพวกเราย่อมต้องสู้ให้ถึงที่สุด” ชายหนุ่มแซ่เวิงแค่นเสียงหึด้วยความเย็นชา ออกคำสั่งอย่างไม่ต้องขบคิด 

 

 

“ขอรับ” 

 

 

จากนั้นคนอื่นๆ ก็เริ่มรายงานเรื่องสำคัญเรื่องอื่น  

 

 

สุดท้ายการประชุมของระดับที่สูงที่สุดในเมืองเมฆาที่กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วยามก็สิ้นสุดลง  

 

 

หลังจากที่ระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดออกจากที่นี่ ก็ทยอยกันหลับไปเตรียมการของตนเอง  

 

 

ส่วนหานลี่ในยามนี้ ก็ยังคงกักตนฝึกบำเพ็ญเพียรอย่างหนักภายในถ้ำพำนัก 

 

 

หนึ่งปีต่อมาหานลี่พลันเดินออกมาจากถ้ำพำนัก แล้วออกไปจากเมืองเมฆา 

 

 

แต่หลังจากผ่านไปแค่ครึ่งวัน เขาก็กลับเข้าไปในเมืองอีกครั้งอย่างลับๆ ล่อๆ และเข้าไปในห้องลับไม่ยอมออกมา 

 

 

เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป ชั่วพริบตาเวลาสามปีก็จากไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับ 

 

 

ส่วนในห้องลับในถ้ำพำนักของหานลี่ สายตาพลันมืดมน แต่ในนั้นกลับมีเงาร่างคนสามคนนั่งสมาธิอยู่บนฟูก 

 

 

หนึ่งในนั้นมีลำแสงสีทองเปล่งแสงระยิบระยับ ผิวมีเกล็ดสีทองปรากฏขึ้นเป็นชั้นๆ ราวกับทองคำบริสุทธิ์อย่างไรอย่างนั้น 

 

 

เรือนกายมีไอสีดำหมุนวน เงาร่างดูเลือนราง ไม่อาจมองให้ชัดเจนได้ คนสุดท้ายกลับเปล่งแสงสีม่วงระยิบระยับ ผิวเป็นสีเขียวมรกต 

 

 

ทั้งสามล้วนร่ายอาคมที่ไม่เหมือนกัน แต่ล้วนนิ่งงันไม่ขยับเขยื้อน 

 

 

และไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ ฉับพลันนั้นเงาร่างคนสีทองพลันสั่นสะท้าน ชั่วครู่ก็เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น 

 

 

ลำแสงสีฟ้าที่เจิดจ้าระเบิดออกในแววตา 

 

 

“นี่มันเรื่องอันใดกัน คาดไม่ถึงว่าคนผู้นั้นจะมาหาถึงที่ หรือว่าจะเป็น…” เงาร่างคนสีทองเอ่ยพึมพำ 

 

 

จากนั้นเขาก็สะบัดมือแขนเสื้อข้างหนึ่งไปกลางอากาศ ลำแสงสีขาวกลุ่มหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อ และลอยนิ่งอยู่บนเพดาน 

 

 

กลางอากาศมีลำแสงเจิดจ้า ลำแสงสีขาวสะท้อนเงาร่างคนทั้งสามเอาไว้อย่างชัดเจน 

 

 

เงาร่างคนสีทองตรงกลางนั่นก็คือหานลี่ แต่กลับกำลังขมวดคิ้ว ดูเหมือนว่าจะกำลังขบคิดอันใดอยู่ 

 

 

ผู้ที่มีผิวสีเขียวมรกตซึ่งกำลังเปล่งแสงสีม่วงอยู่ด้านข้าง คาดไม่ถึงว่าจะมีหน้าตาเหมือนกับหานลี่ทุกระเบียบนิ้ว แค่สองตาสดใส กำลังมองมาทางหานลี่ตาปริบๆ ท่าทางอยากรู้อยากเห็นเป็นอย่างมาก 

 

 

ยามนี้ในไอสีดำอีกกลุ่มหนึ่งพลันมีเสียงสวดมนต์ภาษาสันสกฤตดังออกมา ไอสีดำเริ่มแผ่ออกมาจางๆ ผลคือเผยร่างสัตว์ประหลาดสามหัวหกแขนที่ดูเหมือนมารและเทพออกมา 

 

 

สัตว์ประหลาดนี้มีสามหัวหกแขน สูงสองจั้ง รอบกายเปล่งแสงสีทองระยิบระยับเช่นกัน แต่ใบหน้าสองดวงกลับชัดเจนเป็นอย่างมาก ใบหน้าดวงสุดท้ายกลับไม่มีปากและจมูก ทำให้ผู้คนเห็นแล้วขนลุกซู่  

 

 

ส่วนสัตว์ประหลาดที่ดูเหมือนเทวรูปยักษ์สีทอง ใบหน้าชัดเจนทั้งสองที่กำลังหลับสนิท คาดไม่ถึงว่าจะเปิดตาออกโดยอัตโนมัติ รูม่านตามืดมิดราวกับจะดูดจิตสัมผัสของผู้คนทั้งหมดเข้าไปข้างใน  

 

 

“มีแขกมา พวกเจ้าไปฝึกฝนกันเองก่อน ข้าจะไปพบพวกเขาก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หานลี่ในยามนี้ครุ่นคิดเสร็จสิ้น ก็ออกคำสั่งกับคนทั้งสอง แล้วเปล่งแสงสีทองสว่างวาบ กลายเป็นสายรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งออกไปจากกำแพงอีกด้านของห้องลับ 

 

 

ผลคือแค่กะพริบวาบ สายรุ้งสีทองก็จมหายเข้าไปในกำแพงอย่างไร้ร่องรอยและเงียบเชียบ  

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ประตูใหญ่ของถ้ำพำนักที่แต่เดิมปิดสนิทพลันมีลำแสงสีเขียวสว่างวาบ แล้วเปิดออกอย่างช้าๆ 

 

 

หานลี่เดินออกมาจากด้านในด้วยสีหน้าเคร่งขรึม 

 

 

“คารวะท่านอาวุโสไฉ่ เหตุใดท่านอาวุโสถึงมีเวลาว่างมาเยี่ยมเยียนชนรุ่นหลังได้” หานลี่ค้อมตัวทักทายหญิงสาวที่รอหานลี่อยู่ด้านนอกถ้ำพำนักตั้งนานแล้วอย่างนอบน้อม 

 

 

หญิงสาวผู้นี้มีใบหน้าสง่างาม ร่างกายผอมสูง นั่นคือไฉ่หลิวอิงของเผ่าผลึกผู้นั้น 

 

 

“อันใด สหายหานไม่ต้อนรับข้าหรือ?” หญิงสาวผู้นั้นกลับฉีกยิ้มเบิกบานขณะเอ่ย  

 

 

“ท่านอาวุโสล้อเล่นแล้ว การที่ท่านอาวุโสไฉ่มาเยี่ยมเยียนชนรุ่นหลังถึงถ้ำพำนักได้ เป็นสิ่งที่ชนรุ่นหลังร้องขอก็ย่อมไม่มีวันได้มา สหายผู้นี้คือ…” หานลี่ย่อมหัวเราะหึๆ ขณะเอ่ย แต่ก็กลอกตาไปมองอีกคนที่อยู่ด้านหลัง 

 

 

ด้านหลังไฉ่หลิวอิง กลับมีหญิงสาวร่างกายอรชนอ้อนแอ้นอีกคนหนึ่งยืนอยู่ แต่ศีรษะกลับสวมงอบสีขาว ใบหน้าก็ถูกบดบังไว้ด้วยผลึกลำแสงรางๆ ไม่อาจมองเห็นใบหน้าที่ชัดเจนได้  

 

 

“นางเป็นศิษย์ที่เพิ่งรับมาใหม่” หญิงงามเผ่าผลึกกลับไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา แค่อธิบายอย่างคร่าวๆ เท่านั้น 

 

 

ส่วนหญิงสาวผู้นี้ก็แค่พยักหน้าไม่ได้ปริปากใดๆ 

 

 

หานลี่เห็นเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมไม่อาจเอ่ยถามอันใดอีก จึงทำได้เพียงเชิญให้ทั้งสองเข้ามานั่งในถ้ำพำนัก 

 

 

ผลคือผ่านไปไม่นาน ทั้งสามคนก็ทยอยกันนั่งลงในห้องโถงภายในถ้ำพำนักของหานลี่ 

 

 

หุ่นเชิดร่างมนุษย์คนหนึ่งยกผลไม้วิญญาณและน้ำชาสามถ้วยเข้ามาเสิร์ฟโดยที่หานลี่ใช้จิตสัมผัสควบคุม 

 

 

หญิงงามเผ่าผลึกลิ้มรสชาวิญญาณในถ้วยด้วยความสนใจ ผลคือแววตาพลันเปล่งประกายตกตะลึง 

 

 

“ไอวิญญาณเข้มข้นมาก ดูเหมือนว่าจะเป็นต้นชาที่มีอายุพันปีขึ้นไปถึงจะมีใบเช่นนี้ได้ โดยเฉพาะต้นชานี้เดิมทีก็เป็นชนิดที่หายากอยู่แล้ว เช่นนั้นละก็ ชาวิญญาณระดับนี้ย่อมมีคนขายอยู่น้อยมากในเมืองเมฆา” ไฉ่หลิวอิงจิบไปสองสามคำ ก็อดที่จะเอ่ยชื่นชมออกมาไม่ได้ 

 

 

“ในเมื่อท่านอาวุโสชอบ ชนรุ่นหลังก็ยังพอมีอยู่บ้าง ถือว่าเป็นสิ่งที่ชนรุ่นหลังคารวะท่านอาวุโสก็แล้วกัน” หานลี่เห็นเช่นนั้นพลันฉีกยิ้ม จากนั้นก็ปัดแขนเสื้อไปบนโต๊ะ กล่องสีขาวนวลใบหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบ 

 

 

“ในเมื่อสหายกล่าวเช่นนี้ ข้าเองก็ขอรับไว้อย่างไม่เกรงใจแล้ว ข้าชอบชานี้จริงๆ” หญิงงามเผ่าผลึกกลอกตาไปมา เอ่ยด้วยมุมปากที่ประดับไปด้วยรอยยิ้ม