บทที่ 173
สมรภูมิเดือดในหยางเฉิง
“พอได้แล้ว! ข้าจะกินยานั่นเอง” หวางเจียงหลิงจ้าวสำนักดาบแผดเสียงตำหนิบรรดาศิษย์ของเขา ก่อนจะรับยาจากมือของเย่เย่ และกลืนมันลงไป
เอื๊ออก
อย่างไรก็ตามยานั่นก็ไม่ใช่ยาพิษอย่างที่พวกเขาคาดคิด หลังจากที่เขากลืนมันลงไปไม่นานนักตัวยาก็สำแดงฤทธิ์ อาการบาดเจ็บของชายชราๆค่อยๆฟื้นตัวจนหายเป็นปลิดทิ้งในเวลาอันสั้น
“วะ…วิเศษ! นี่มันโอสถแขนงไหนกัน!?” เหล่าศิษย์แห่งสำนักดาบต่างหันมองเย่เย่ด้วยความประหลาดใจ
“วางใจเถอะ นี่คือยาสมานแผลกายที่ข้าใช้รักษาตัวเองอยู่บ่อยครั้ง” เย่เย่ผายมือและตอบกลับความสงสัยของพวกเขาอย่างเถรตรง
นับตั้งแต่ที่เย่เย่เอาชนะมูหลงได้ เขาก็แลกเปลี่ยนยาสมานแผลกายออกมาจากระบบจำนวนมากและพกติดตัวเอาไว้ตลอด
“ข้า หวางเจียงหลิงซาบซึ้งใจยิ่งนัก หากท่านประธานปรารถนาสิ่งใด เชิญบอกมาได้เลยอย่าได้เกรงใจ!” เมื่ออาการบาดเจ็บของเขาหายดี หวางเจียงหลิงก็ประสานมือโค้งคำนับ เย่เย่ด้วยเคารพจากใจจริง
“โฮ หวางฉีเจี่ยผู้นี้ละอายใจยิ่งนัก ได้โปรดลงโทษข้าน้อยที่บังอาจสงสัยในตัวท่านด้วยเถิด” เมื่อเห็นอาการบาดเจ็บของจ้าวสำนักหายราวกับปลิดทิ้ง หวางฉีเจี่ยและศิษย์น้อยใหญ่ก็คุกเข่าก้มหน้าขอขมาเย่เย่ด้วยความรู้สึกผิด
หวางเจียงหลิงไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเติม เขาชายตามองเย่เย่ราวกับรอการตัดสินใจจากเขา
“ตอนนี้ทุกท่านกลับไปพักผ่อนกันให้เต็มที่ พรุ่งนี้กองกำลังหอการค้าหยูเย่และสำนักดาบบูรพาไร้พ่ายจงล่วงหน้าไปยังตำหนักประกายแสงที่เมืองหยางเฉิง หากพวกเจ้าต้องการให้ข้ายกโทษให้ล่ะก็จงไปเอาหัวของหลินซิวเหยียนมา แยกย้ายได้!”
“โอ้ออออออออออ!”
หวางเจียงหลิงและบรรดาศิษยานุศิษย์แห่งสำนักดาบคุกเข่าลงประสานมือรับคำสั่งเย่เย่ด้วยเสียง ดังฟังชัด สีหน้าและแววตาของพวกเขาเปี่ยมไปด้วยพลังใจที่ล้นเหลือ เช่นเดียวกับสมาชิกหอการค้าหยูเย่
เมื่อการประลองยุทธ์ระหว่างเย่เย่ และหวางเจียงหลิงจบลงพวกเขาก็แยกย้ายกันไปเตรียม การสำหรับศึกครั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า ศึกสงครามที่จะชี้ชะตาภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ได้เปิดฉากขึ้นอย่างเป็นทางการ
ทันทีที่เย่เย่กลับมาถึงห้อง เขาก็เอนตัวลงนอนบนเตียงสักพัก ก่อนที่จะนั่งขัดสมาธิและข่มตาลงเพื่อเริ่มทำการเลื่อนขั้นวรยุทธ์
ในหัวของเขาปรากฏให้เห็นหินผาขนาดมหึมาตั้งตระหง่านอย่างสันโดษปิดกั้นกระแสน้ำที่เชี่ยวกรากอยู่ท่ามกลางน้ำตก เย่เย่โคจรลมปราณไหลเวียนไปทั่วร่าง พลางนึกย้อนถึงประสบการณ์การต่อสู้และวรยุทธ์ที่เขาสั่งสมมาเป็นแรมปี
ตู้มมมม ตู้มมม ตู้มมมมมม
หมัดของเย่เย่ประสานกับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวทำให้ หินผานั้นเริ่มผุกร่อนลงทีละนิดๆ เย่เย่เห็นดังนั้นก็เริ่มใจชื้นขึ้นมาและโจมตีหินนั้นอย่างต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกันระหว่างที่เย่เย่กำลังต่อสู้ภายในจิตของตน กงเจิ้น ปรมาจารย์แห่งทัณฑ์สวรรค์ที่ยังคงเดินทางหาเบาะแสเกี่ยวกับเหยียนลี่หยางศัตรูคู่อาฆาต และวิญญาณกลับชาติมาเกิดไปทั่วภูมิภาคก็ได้เรียนรู้เกี่ยวกับจี้หยกผสานวิญญาณ (จี้หยกเจิ้งฮุน) โดยบังเอิญ
“หึ! กะเอาไว้แล้วไม่มีผิด ดูเหมือนว่าข้าจะประเมินเจ้าต่ำไปสินะ เย่เย่!” เมื่อเขารู้ว่าโจวไท่ ผู้ถือครองจี้หยกผสานวิญญาณตายโดยน้ำมือของเย่เย่ เรื่องราวทั้งหมดก็ปะติดปะต่อกันในหัวของเขาทันที ชั่วเสี้ยววินั้นเองกงเจิ้นก็เผลอแสยะยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว
เช้าวันถัดมาซูฉีเจี่ย และหวางเจียงหลิงก็ได้นำทัพของทั้งสองล่วงหน้าไปยังหยางเฉิงตามคำสั่งของเย่เย่ ในใจลึกๆของ ซูฉีเจี่ย เขาตั้งใจจะใช้โอกาสนี้เพื่อพิสูจน์ตนให้เป็นที่ประจักษ์โดยไม่ต้องพึ่งเย่เย่
2 วันให้หลัง ณ ตำหนักประกายแสง เมืองหยางเฉิง
เพล้งง!
ทันทีที่หลินซิวเหยียนทราบข่าวการมาเยือนของหอการค้าหยูเย่ เขาก็ปัดชุดน้ำชาที่จัดวางอยู่บนโต๊ะเขาอย่างสวยงามตกลงกับพื้น
“จะเอาอย่างนี้ใช่ไหม เย่เย่! ดี! เช่นนั้นข้า หลินซิวเหยียนผู้นี้จะยัดเยียดความปราชัยให้พวกเจ้าเอง!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือด้วยความโกรธจัด และแผ่รังสีอำมหิตออกมา จนคนรอบข้างไม่กล้าเอ่ยปากหรือแม้แต่เข้าใกล้ในระยะ 5 เมตร
หลินซิวเหยียนนั้นยังไม่รู้เรื่องที่สำนักดาบบูรพาไร้พ่ายผนวกรวมกับหอการค้าหยูเย่ เขาไม่คิดว่าด้วยกำลังของหอการค้าหยูเย่เพียงลำพังจะทำอะไรเขาได้จึงปล่อยให้พวกเขาบุกเข้าประชิดตัวตำหนักได้โดยละม่อม
ทันใดนั้นเองเมื่อหลินซิวเหยียนเหลือบไปเห็นหวางเจียงหลิงและศิษย์แห่งสำนักดาบอยู่ปะปนกับกองกำลังของหอการค้าหยูเย่ ดวงตาของเขาก็เบิกโพลงด้วยความตกใจ
“ว่ะ…หวางเจียงหลิง นี่เจ้า!? ทำไมมาอยู่ที่นี่!” สีหน้าของประมุขแห่งตำหนักประกายแสงบิดเบี้ยวด้วยความประหลาดใจ
เดิมทีหลินซิวเหยียนนั้นจะใช้แผนปิดประตูตีแมว ให้ทัพของศัตรูบุกเข้ามาในอาณาเขตของตนและปิดล้อมพวกเขาจากทุกทิศทุกทาง แต่กลับกลายเป็นว่าทัพของเขาถูกปิดล้อมเสียเอง
“หลินซิวเหยียน ถ้าเจ้าไม่อยากตายล่ะก็ ยอมแพ้แต่โดยดีซะ!” หวางเจียงหลิงพูดพร้อมลำเลืองมองหลินซิวเหยียนที่อยู่ภายในตำหนักห่างออกไปไม่ไกลนัก
“อย่างนี้นี่เอง พวกเจ้าเป็นพันธมิตรกันแล้วสินะ!? หวางเจียงหลิงสำนักดาบของเจ้าไม่เหลือศักดิ์ศรีอยู่บ้างเลยรึไงกัน!” หลินซิวเหยียนชายตามองต่ำด้วยท่าทีเหยียดหยาม เขาสังเกตเห็นความคับข้องใจในสายตาของบรรดาศิษย์แห่งสำนักดาบจึงหวังปลุกปั่นให้ทั้งสองฝ่ายที่ยังไม่เป็นปึกแผ่นตีกันเอง
แต่หวางเจียงหลิง ชายชราที่ผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชนก็รู้ทันกลอุบายของหลินซิวเหยียน และตอบโต้เขาด้วยฝีปาก
“จะมีศักดิ์ศรีหรือไม่นั้นมันเป็นโกงการอะไรของเจ้า? ถ้าข้าเป็นเจ้าล่ะก็ข้าจะรีบยอมแพ้เสียตั้งแต่ตอนนี้!”
“ชิ! ไอ้แก่นี่” หลินซิวเหยียนสบถอย่างหัวเสีย
“เดินหน้าเข้าไป! ใครขัดขืนฆ่ามันให้หมด” ซูฉีเจี่ยชี้นิ้วไปด้านหน้า และตะโกนออกคำสั่งพวกพ้องของเขาเพื่อสร้างแรงกดดันให้ศัตรู
“โอ้ออออ!” กองกำลังของหอการค้าและสำนักดาบก็รุกคืบเข้าไป เสียงฝีเท้านับไม่ถ้วนของเขาดังสนั่นไปทั่วมุมของเมืองหยางเฉิง ชาวเมืองจำนวนมากปิดประตูหน้าต่าง และหลบอยู่แต่ในบ้าน ไม่มีใครกล้าออกมาข้างนอกเลยแม้แต่คนเดียว
“อย่าได้ใจไปหน่อยเลย! ทุกท่านจงฟังข้า ได้เวลากำจัดพวกไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงให้สิ้นซาก ไปได้!”
“โอ้อออออออ!”
ประตูหน้าตำหนักที่รายล้อมด้วยกำแพงสูงชันได้เปิดออก ปรากฏให้เห็นกองทัพของตำหนักประกายแสงที่มีจำนวนมากกว่ากองกำลังของหอการค้าที่ผนวกรวมกับสำนักดาบแล้วเสียอีก
พวกเขาไม่ได้มีดีแค่จำนวน ระดับวรยุทธ์ของพวกเขานั้นสูงส่งกว่าที่ซูฉีเจี่ยและหวางเจียงหลิงคาดคิดเอาไว้
ทั้งสองฝ่ายได้เข้าห้ำหั่นกันอย่างบ้าคลั่ง แม้ว่าฝั่งหอการค้าหยูเย่จะเสียเปรียบกว่าในทุกด้าน แต่พวกเขาก็สู้ไม่ถอย
ฟิ้วววววววววววว
เคร้งงงงงง!
หวางเจียงหลิงกวัดแกว่งดาบเขาปัดป้องคลื่นดาบที่พุ่งตรงมาทางเขาอย่างรวดเร็วได้ทันท่วงที แต่ความรุนแรงของมันก็ทำให้เขาขาลากดินถอยออกไปไกล
“หลินซิวเหยียน!?”
หลังจากปัดป้องคลื่นดาบ เบื้องหน้าเขาก็ปรากฏให้เห็นหลินซิวเหยียนที่ลงมาสู้ในสมรภูมิด้วยตนเอง
ประมุขผู้เกรี้ยวกราดแห่งตำหนักประกายแสงไม่รอช้า รุกไล่จ้าวสำนักดาบที่เสียหลักอย่างไม่ให้ตั้งตัว
“ตายซะ!”
“ใครกันแน่ที่จะตายน่ะ!”
การต่อสู้อันดุเดือดของทั้งสองฝ่ายผ่านไปวันแล้ววันเล่า เป็นระยะเวลากว่า 3 วัน 3 คืนก็ยังไม่รู้ผล