“คุณโจวยังไม่ได้กินข้าวเลย ไปกินด้วยกันไหม เดี๋ยวพวกเราเลี้ยงเอง” เด็กหนุ่มคนหนึ่งเสนอ
“ขอโทษด้วย เธอมีนัดแล้ว” เฮ่อซวินพูดแทรก
“คุณคือ?”
เฮ่อซวินมองอีกฝ่ายด้วยหางตา เมื่อเห็นว่าเขากำลังโอบไหล่โจวจิ้งอยู่จึงตอบแบบไม่ลังเล
“สามี!”
หลังออกจากบริษัท โจวจิ้งก็แซวอีกฝ่ายอย่างรู้ทัน “หึงเหรอ? หึงใช่มะ ใช่มะๆๆ?”
“เอาบัตรประชาชนมารึเปล่า?” เฮ่อซวินตัดบท
“เอามา ทำไมเหรอ?”
ไม่พูดพร่ำทำเพลง เฮ่อซวินควักกล่องเล็กๆ ออกจากกระเป๋ากางเกง หยิบแหวนออกมาแล้วสวมลงบนนิ้วนางของเธอ
“แต่งงานกันนะ”
“???”
ไม่กี่นาทีต่อมา พวกเขาก็ถึงหน้าสำนักงานเขต
โจวจิ้งรู้สึกเสียดายที่ไม่ถูกขอแต่งงานแบบโรแมนติก แต่กลับถูกลากมาจดทะเบียนสมรสแบบมึนๆ เธอนั่งมองแหวนแล้วนึกขึ้นได้ว่าเขาเคยซื้อตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัย แถมพกติดตัวไปไหนมาไหนตลอด เพียงรอเวลาขอเธอแต่งงานเท่านั้น
ลูก
โจวจิ้งท้องแล้ว
“ให้ฉันเป็นพ่อบุญธรรมนะ” หยวนคังฉีเสนอ
“ไปไกลๆ เลย!” เฮ่อซวินส่ายหน้า
จากทนายที่ไม่กลัวฟ้ากลัวฝน ไม่กลัวคดียากๆ กลับตื่นกลัวจนผิดสังเกต ท่าทางของลูกสะใภ้ทำแม่สามีเป็นกังวลจนต่อว่าลูกชายของตัวเอง
“ลูกรังแกเธอหรือเปล่า? ทำไมถึงเครียดขนาดนั้น?” เป็นครั้งแรกที่คุณแม่ผู้อ่อนโยนของเฮ่อซวินต่อว่าเขา
คุณหมอเฮ่อไม่รู้จะตอบว่าอะไร เพราะเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
โจวจิ้งกลัวเพราะชาติที่แล้วเธอตายคาห้องคลอด ถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอีก เธอจะทำยังไง
หากต้องตายแบบเดิมแล้วไปเกิดใหม่อีก คงไม่สนุกแน่ๆ
“นายทำอะไรให้เธอไม่สบายใจหรือเปล่า? ผู้หญิงจะคิดมากเป็นพิเศษช่วงตั้งครรภ์นะ จะพูดจะทำอะไรก็ระวังหน่อย” หยวนคังฉีเตือน
เฮ่อซวินนั่งทบทวนคำพูดและพฤติกรรมของตัวเองตลอดทั้งวัน จนหลายคนไม่กล้าเข้าใกล้เพราะคิดว่าเขาอารมณ์ไม่ดี ทุกความพยายามของเฮ่อซวินไม่ได้ทำให้โจวจิ้งดีขึ้น เจ้าเขียวจึงยื่นมือเข้าช่วย
“ลูกพี่เป็นคนอ่อนไหวง่าย นายต้องอ่อนโยนให้มากกว่านี้”
เฮ่อซวินเหมางานบ้านไว้เองทั้งหมด ทั้งยังดูแลโจวจิ้งอย่างดีตั้งแต่ตื่นยันนอน แค่เธอขยับตัวกลางดึก เขาก็รีบลุกขึ้นดูแล้ว
ยิ่งเขาใส่ใจ เธอก็ยิ่งกลัว
ชาติที่แล้วโจวจิ้งตายอย่างโดดเดี่ยวในห้องคลอด มาชาตินี้กลับมีเฮ่อซวินคอยดูแลเอาใจใส่ หากเธอต้องตายอีกครั้ง คงเป็นเรื่องที่น่าเสียดายอย่างมาก
“ถ้าฉันคลอดยาก… หรือเกิดความผิดปกติกับเด็ก…” เธอถามเสียงสั่น
“ไม่มีทาง ฉันเป็นหมอ” เฮ่อซวินตอบเสียงดังฟังชัด
“แต่คุณไม่ใช่หมอสูติ!”
“ยังไงก็ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน ไม่ต้องห่วงนะ”
“ฉันกลัว”
“ฉันอยู่ตรงนี้เสมอ ไม่ต้องกลัว”
โจวจิ้งคลอด ‘เฮ่อหนวน’ อย่างปลอดภัยท่ามกลางบรรยากาศแห่งความสุข
เธอไม่เคยเห็นเฮ่อซวินร้องไห้ แต่เมื่อได้อุ้มลูกสาวเป็นครั้งแรก น้ำตาของเขาก็ไหลออกมาเป็นทาง หลายเดือนที่ผ่านมาเฮ่อซวินวิ่งเข้าออกแผนกสูติทุกวัน คนที่ไม่รู้คิดว่าเขาอยากย้ายแผนกจนผู้อำนวยการต้องเรียกไปคุย
แม้ทารกน้อยจะตัวเหี่ยวย่นไม่น่ารัก แต่เฮ่อซวินก็มองเธอด้วยแววตารักใคร่ตลอด
“หมอเฮ่อกังวลว่าคุณจะกลัวการคลอดลูกจนเกิดภาวะซึมเศร้า ไม่ทราบว่ายังกลัวอยู่ไหมคะ?” พยาบาลที่ดูแลโจวจิ้งถาม
“ไม่แล้วค่ะ” เธอหัวเราะ
การเดินทางที่แสนวิเศษของมาร์ตี้
ณ บ้านเดี่ยวสไตล์ฝรั่ง ท้องฟ้าปลอดโปร่งแจ่มใส
เด็กผู้ชายสามคนกำลังมุงดูเด็กหญิงที่นอนอยู่บนเตียงเล็กๆ ในสวน
พวกเขามีตาสีฟ้า ผมสีทอง คนโตเริ่มเป็นวัยรุ่นแล้ว ส่วนคนที่นอนอยู่มัดผมเปียสองข้าง ผิวขาวอมชมพู ดวงตากลมโตสีฟ้าใส่กระโปรงสีขาว น่ารักน่าชังเหมือนนางฟ้าตัวน้อยๆ
“มาร์ตี้ เล่นด้วยกันไหม?”
ปัญญาอ่อน! ฉันไม่ใช่เด็กอายุแปดขวบ แล้วเด็กอายุแปดขวบก็ไม่เล่นตัวต่อด้วย!—เธอคิดในใจ
พวกเขาคือพี่ชายแท้ๆ ของเธอ แต่กลับถูกมองว่าเป็นเด็กเอ๋อ
จากเด็กสาวมัธยมปลายวัยสิบแปดปีที่เพิ่งจะตบตีกับเถาม่านจนตกบันไดและถูกส่งไปให้น้ำเกลือในห้องพยาบาล จู่ๆ ก็ตื่นขึ้นเป็นเด็กดาวน์ซินโดรมอายุแปดขวบในต่างแดน คนปกติที่ไหนจะรับได้
ลูกสาวคนเดียวของบ้านนี้ชื่อว่ามาร์ตี้ เป็นเด็กพิเศษที่ตกจากที่สูงเพราะความเผอเรอของพี่เลี้ยง
อุบัติเหตุครั้งนี้ทำให้เธอกลายเป็นเด็กปกติ แถมยังพูดภาษาจีนได้อีก
ข่าวลือนี้แพร่สะพัดไปทั่วหมู่บ้าน เพื่อนฝูงและญาติๆ ต่างมาร่วมแสดงความยินดีและมอบของขวัญให้สาวน้อยกันยกใหญ่
มีทั้งตุ๊กตา ดิกชันนารี สติกเกอร์ และอื่นๆ อีกมากมาย
มาร์ตี้รู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง เธอสื่อสารไม่ได้ บอกความต้องการไม่ได้ ไม่มีเงินติดตัวและต้องอยู่แบบงงๆ ไปวันๆ
เธอเสียดายชีวิตตอนเป็น ‘โจวจิ้ง’ ที่ไม่เคยตั้งใจเรียนวิชาภาษาอังกฤษเลยสักคาบ
ต่อให้นิสัยเดิมจะเป็นคนอารมณ์ร้อน เห็นแก่ตัว และชอบโอ้อวด แต่คงต้องพักไว้ก่อนเพราะไม่อยากถูกเปิดโปงว่าเป็นตัวปลอม
หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งเดินลงมาจากชั้นสอง เธอหน้าตาสวยโดดเด่น หุ่นดีได้สัดส่วน ในมือถือตะกร้าใส่ขนมปัง น้ำสลัด และนมขวดใหญ่มาด้วย
“อย่าเล่นกับน้องแรงเกินไปนะเด็กๆ”
ผู้หญิงคนนี้ชื่อว่า ‘โอรีน่า’ เป็นแม่ของพวกเขา
“ผมกำลังสอนน้องเล่นตัวต่ออยู่ครับ” หนึ่งในลูกชายตอบ
โอรีน่าหันไปถามมาร์ตี้ “หิวแล้วใช่ไหม?”
มาร์ตี้จ้องตาอีกฝ่ายโดยไม่พูดอะไร
“โถ น่าสงสารเหลือเกินลูก” โอรีน่าทำเสียงเศร้า “จนถึงตอนนี้ก็ยังพูดภาษาของเราไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรนะ ค่อยๆ เรียนไป”
มาร์ตี้กลอกตาด้วยความรำคาญเพราะฟังไม่รู้เรื่อง
แม้จะฟังไม่ออก แต่เมื่อเห็นของกินตรงหน้า เธอก็รู้สึกหิวทันที
วันๆ มีแต่ขนมปัง ปลา สลัด แฮม นม แล้วก็น้ำผลไม้ เธออยากกินชาบู ปิ้งย่าง หม่าล่า อาหารทะเล ไม่ก็น้ำซุปอร่อยๆ บ้าง
มาร์ตี้ถอนหายใจแล้วเทนมใส่แก้ว
“แม่ มาร์ตี้ฉลาดมากเลย เธอเทนมเองได้ด้วย!” พี่ชายคนโตพูดอย่างตื่นเต้น
“น้องสาวของเราต้องเป็นอัจฉริยะแน่เลย!”
โอรีน่ามองมาร์ตี้ด้วยสีหน้าประหลาดใจ
ฉันแค่หิว ทำไมต้องดีใจกันขนาดนี้—มาร์ตี้เริ่มรำคาญ
เธอเริ่มเข้าสู่โหมดกระวนกระวาย อยากกลับไปใช้ชีวิตในร่างเดิมแต่ไม่รู้ต้องทำยังไง
ครอบครัวนี้จ้างครูพิเศษมาสอนมาร์ตี้ที่บ้าน เริ่มจากคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐาน การอ่านตัวอักษร กินข้าว แต่งตัว แล้วพวกเขาก็ค้นพบว่าเธอเรียนรู้ได้เร็วมาก
เรื่องเดียวที่ยังฝึกไม่ได้นั่นคือการยิ้มอย่างมีความสุขเหมือนเด็กทั่วๆ ไป เพราะเธอเอาแต่ทำหน้าบึ้งและชักสีหน้าใส่ทุกคนในครอบครัว
จิตแพทย์ทำการวิเคราะห์แต่ก็หาสาเหตุไม่พบ สรุปได้เพียงว่าเธอเป็นเด็กที่มีสติปัญญาล้ำเลิศเกินวัย
ความสามารถในการเรียนรู้ที่เป็นปกตินี้ทำให้มาร์ตี้ได้เข้าโรงเรียนเหมือนเด็กทั่วไป ไม่ต้องจ้างครูพิเศษมาสอนที่บ้านอีกแล้ว
เพียงวันแรกที่เข้าเรียน เธอก็โด่งดังไปทั่ว
รุ่นพี่บางคนชอบกลั่นแกล้งรุ่นน้อง ทั้งรีดไถ ทั้งบูลลี่ โดยเฉพาะเด็กอัจฉริยะอย่างเธอ
แต่ไม่ว่าใครจะเข้าหาแบบไหน มาร์ตี้ก็จะทำหน้านิ่งไร้อารมณ์ใส่ ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
หน้าตาสวยหวานและนิสัยลึกลับชวนค้นหาของเธอเป็นที่สนใจของเหล่านักเรียนชายในโรงเรียนอย่างมาก
ความเป็นผู้หญิงเท่ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและจีบยากแบบนี้ทำพวกเขาตื่นเต้นไม่น้อย
รุ่นพี่ต่างแย่งกันบอกรัก ส่งดอกไม้ ส่งช็อกโกแลตให้ ไม่ก็ร้องเพลงเรียกร้องความสนใจ แต่มาร์ตี้ไม่เคยแยแส
พูดบ้าอะไรกัน ฟังไม่รู้เรื่อง! สารภาพรักงั้นเหรอ เด็กประถมเนี่ยนะ?—เธอบ่นในใจ
ที่หลังโรงเรียนมีกระท่อมเล็กๆ ตั้งอยู่
เมื่อลองเดินเข้าไปใกล้ๆ มาร์ตี้ก็ถูกต่อยจนปากแตกหน้าบวม
พวกที่รุมทำร้ายเป็นเด็กมัธยมต้น แม้ไม่รู้ว่าพวกนั้นด่าอะไร แต่ก็ทำให้เธอเข้าใจว่าโลกใบนี้ล้วนมีแก๊งนักเลงและหัวโจกประจำโรงเรียนทั้งสิ้น
ความโดดเดี่ยวในตอนนี้ทำมาร์ตี้คิดถึงแก๊งสัญญาณไฟจราจรของเธอในยวู่เต๋อมาก
เด็กพวกนั้นพูดบางอย่างแล้วเดินเข้ามาล้อมเธอ จากนั้นก็รุมผลักไม่ก็ถีบ
“ทนไม่ไหวแล้วโว้ย!”
ไม่เคยมีใครแกล้งเธอได้ หากพวกนี้เป็นเด็กยวู่เต๋อคงเละไม่มีชิ้นดีแล้ว
“ไอ้พวกนักเลงต่างชาติ ไม่รู้จักเด็กไม่รู้จักผู้ใหญ่ซะเลย ฉันอายุสิบแปดแล้วนะ!”
มาร์ตี้สูดหายใจเข้าลึกแล้วแสยะยิ้ม เป็นยิ้มแรกที่เผยให้เห็นตั้งแต่เข้าเรียน
หลังถลกแขนเสื้อขึ้น มาร์ตี้ก็พุ่งเข้าไปต่อยเด็กผู้ชายคนที่ดึงผมเธอ
เขาล้มคว่ำลงไปนอนคลุกฝุ่น ตาบวมจนมองแทบไม่เห็น
เธอย่อตัวลงจ้องหน้าเขา นัยน์ตาของเด็กหนุ่มตรงหน้าเป็นสีเขียวมรกต ใบหน้าหล่อเหลาแม้จะบวมเป่งอยู่
สีของดวงตาทำเธอคิดถึงใครบางคน ความทรงจำที่ไม่เคยลืมเลือน
เมื่อถูกจ้องแบบไม่กะพริบตา เด็กหนุ่มก็เริ่มหน้าแดง
“นี่เธอ…” เขาสะกิดมาร์ตี้
เป็นหัวหน้าแก๊งเด็กประถมจะขายขี้หน้าไหมนะ?—เธอบ่นกับตัวเอง
“???”
“ชื่ออะไร?” เธอถามเขาด้วยภาษาท้องถิ่น
“อีฟ” เขาหน้าแดงหนักกว่าเดิม
“โอเคอีฟ จากนี้ฉันจะดูแลนายเอง”
“???” อีฟยังคงไม่เข้าใจ
“ก่อนอื่น” มาร์ตี้หรี่ตา “นายต้องไปย้อมผมเป็นสีเขียวก่อน!”
จบบริบูรณ์
ตอนต่อไป →