เทพสงครามพิทักษ์โลก บทที่ 449
หม่าตงกล่าวอย่างนอบน้อม : “ท่านแม่ทัพ ตามที่ท่านสั่ง ก่อนหน้านี้ไม่นาน ผมได้ไปกวาดล้างกิจการสีเทาของตระกูลหลันทั้งหมดแล้วครับ!”
“ดีมาก!” สองตาของหยางเฟิงแฝงไปด้วยประกายไฟ : “ตระกูลหลันทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ ครั้งนี้ ฉันจะทำให้พวกตระกูลหลันหายไปจากตงไห่ให้หมด!”
“ท่านจะให้ผมจัดการเลยไหมครับ?” หม่าตงถามทันที
หยางเฟิงโบกมือ แล้วกล่าว : “น้ำของตระกูลหลันนั้น ลึกมาก…”
“หืม?”
ทันใดนั้น
ทั้งห้องพลันเงียบกริบ
ทุกคนมองหน้ากันไปมา
ล้วนไม่รู้ว่าสิ่งที่หยางเฟิงพูดหมายความว่าอย่างไร
หยางเฟิงอธิบายว่า : “ตระกูลหลันปกครองตงไห่อย่างกดขี่มาหลายปี มันต้องมีที่พึ่งแน่! ยุทธวิธีการทำสงคราม รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง! ตอนนี้พวกเรา ต้องรู้ให้ได้ว่าใครอยู่เบื้องหลังตระกูลหลัน?”
อาศัยความเข้าใจตระกูลหลันของหยางเฟิง
ก่อนหน้านี้ตระกูลหลันเป็นเพียงแค่ตระกูลอันดับสาม
ถึงแม้อิทธิพลของตระกูลเย่จะช่วยตระกูลหลัน ให้กลายเป็นตระกูลชั้นหนึ่งในตงไห่
แต่สามารถขึ้นมาเป็นตระกูลชั้นหนึ่งได้ ในช่วงเวลาอันสั้นขนาดนี้
พึ่งพาแค่เพียงอิทธิพลของตระกูลเย่นั้นไม่พอแน่นอน
เบื้องหลังของตระกูลหลัน ต้องมีความลับที่น้อยคนจะรู้อยู่เป็นแน่
ถ้าลงมือกับตระกูลหลันในตอนนี้
เกรงว่าจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
คนที่อยู่เบื้องหลังตระกูลหลัน จะต้องระแวดระวังมากแน่
ถึงตอนนั้นค่อยคิดจะจับอีกฝ่าย เกรงว่าจะยากเสียแล้ว!
ได้ยินคำพูดของหยางเฟิง
หม่าตงก็เข้าใจความคิดของหยางเฟิงแล้ว
ในใจของเขาอดที่จะยกย่องไม่ได้
ที่หยางเฟิงกลายเป็นเทพนักรบอันดับหนึ่งของต้าเซี่ยได้ ความคิดแบบนี้คนธรรมดาเทียบไม่ติดจริงๆ!
“ผมมีวิธีหนึ่ง อาจจะขุดความลับของเบื้องหลังตระกูลหลันออกมาได้…”
ในตอนนี้
หลันฮ่าวก็เอ่ยปากออกมาทันใด
เขามองไปรอบๆ แล้วกล่าวด้วยท่าทางลึกลับ : “คุณหยาง เราใช้โจวห้าวให้ตลบหลังพวกนั้นได้ ให้โจวห้าวเป็นหนอนในตระกูลหลันให้พวกเรา…โจวห้าวคนนี้ ไม่ลงรอยกับตระกูลหลันมานานแล้ว ขอเพีงแค่เขายอมตลบหลังพวกนั้น ผมเชื่อ ว่าโจวห้าวต้องยอมแน่ๆ!”
“ที่แกพูดมามันจริงหรือ?” หยางเฟิงขมวดคิ้ว
หลันฮ๋าวพยักหน้าทันใด : “ที่ผมพูดทั้งหมดเป็นเรื่องจริงครับ! แม้ว่าโจวห้าวจะเป็นลูกเขยของตระกูลหลัน แต่ชีวิตโจวห้าวช่วงนี้ไม่ค่อยน่าพอใจ ก็ตั้งแต่ที่ตระกูลหลันรุ่งเรืองขึ้นมา ฐานะของโจวห้าวในตระกูลหลันก็ไม่ต่างจากหมาตัวหนึ่ง”
“หลันเฟิงกับหลันจื่อสองพ่อลูกนั่น ไม่ได้ปฏิบัติกับโจวห้าวเหมือนเขาเป็นคนในตระกูลหลันเลย พวกเขาทั้งตบตีทั้งด่าว่าโจวห้าว”
พูดไป หลันฮ๋าวก็ลอบมองหยางเฟิงแล้วพูดต่อ : “โดยเฉพาะ…หลันจื่อมักจะเอาคุณไปเปรียบเทียบกับโจวห้าวอยู่บ่อยๆ ด่าว่าโจวห้าวไร้ความสามารถ เป็นขยะไร้ค่า เทียบไม่ได้แม้แต่กับลูกเขยตัวเล็กๆของตระกูลเย่ ทำให้เธอต้องขายหน้าต่อหน้าเย่เมิ่งเหยียน…”
ได้ยินดังนั้น
หยางเฟิงอดจะทำหน้าแปลกประหลาดไม่ได้
เขายังจำได้
เมื่อก่อนหลันจื่อมักจะโอ้อวดโจวห้าวต่อหน้าเขา
ว่าสามีของตนเก่งกาจขนาดไหน
เขาแค่ลูกเขยตัวเล็กๆ ไม่มีคุณสมบัติพอแม้จะใส่รองเท้าให้เธอด้วยซ้ำ!
ตอนนี้ก็ผ่านมานานแล้ว
หลันจื่อพลิกลิ้นแล้วหรือ?
โจวห้าวในสายตาของตระกูลหลัน ยังไม่สู้แม้แต่หมาตัวหนึ่งงั้นหรือ?
ดูเหมือนจะเป็นกงเกวียนกำเกวียนจริงๆ กรรมตามสนอง!
เมื่อก่อนโจวห้าวทำตัวสูงส่งกว่าใส่เขา
ตอนนี้
ในที่สุดเขาก็ได้สัมผัสรสชาติการอยู่ภายใต้เท้าคนอื่นแล้ว
“ดี!” หยางเฟิงพยักหน้าทันใด : “หม่าตง เรื่องที่จะให้โจวห้าวตลบหลังพวกนั้นแกไปจัดการ บอกโจวห้าวว่า ถ้ามันช่วยฉันขุดความลับของตระกูลหลัน ฉันจะปล่อยตระกูลโจวไป ไม่งั้นฉันจะถอนรากถอนโคนตระกูลโจวไปด้วยเลย!”
พูดถึงประโยคสุดท้าย
รังสีสังหารอันเยือกเย็น ก็แผ่ซ่านออกมาจากตัวของหยางเฟิง
ฉับพลัน อุณหภูมิโดยรอบก็ลดลงอย่างรวดเร็ว
หลันฮ๋าวและพวกตัวสั่นเทิ้มอย่างห้ามไม่อยู่
หม่าตงไม่กล้าออกความคิดสักนิดเลย พยักหน้าอย่างรีบร้อน : “ครับ! ท่านแม่ทัพ ผมรับรองว่าจะทำภารกิจให้สำเร็จครับ!”
เห็นดังนั้น
หยางเฟิงพยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก