บทที่ 707 : ตระกูลหลิงตกอยู่ในอันตราย
“ขอบคุณเจ้านาย..ไวส์เคานต์เพียร์ซยินดีเป็นบริวารที่จงรักภักดีของท่านตลอดไป!”
“ขอบคุณเจ้านาย..ไวส์เคานต์จอยซ์ยินดีเป็นบริวารที่จงรักภักดีของท่านตลอดไป!”
ท้ายที่สุด..หลังจากสิ้นสุดความหวาดกลัวและตื่นตระหนกตกใจของเพียร์ซกับจอยซ์ ทั้งคู่ก็ได้กลายเป็นบริวารที่ซื่อสัตย์ของหลิงหยุนไปแล้ว! เพียร์ซกับจอยซ์ต่างก็คุกเข่าหนึ่งข้างพร้อมกับกล่าวปฏิญาณตนเป็นบริวารของหลิงหยุนตามธรรมเนียมตะวันตก
แต่ทั้งคู่นั้นแตกต่างจากพอลกับเจสเตอร์ที่ได้ใช้เวลาอยู่กับหลิงหยุนถึงสองสามวันก่อนที่จะถูกถ่ายเลือดให้กลายเป็นบริวารของเขาทั้งคู่จึงได้ยอมรับสถานะบริวารอย่างเต็มอกเต็มใจ ตรงข้ามกับเพียร์ซและจอยซ์ที่ต่างก็เต็มไปด้วยความหวาดกลัวตระหนกตกใจ และหลังจากที่พ่ายแพ้ต่อหลิงหยุน พวกมันก็ถูกทำให้กลายเป็นบริวารของเขาภายในเวลาเพียงแค่สิบวินาที และกระบวนการทั้งหมดนั้นทำให้พวกมันทั้งคู่ถึงกับยากที่จะลืมเลือน
“พวกเจ้าทั้งคู่ได้รับเลือดของข้าเข้าไปแล้วแต่เป็นได้แค่ไวส์เคานต์เท่านั้นรึ ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น..”
หลิงหยุนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อยที่บริวารใหม่ทั้งคู่ของเขานั้นหลังจากได้รับเลือดของเขาแต่กลับพัฒนาขึ้นมาเพียงแค่ขั้นเดียว..
เพียร์ซและจอยซ์นั้นมีปีกตั้งแต่ก่อนที่จะถูกถ่ายเลือดให้กลายเป็นบริวารของหลิงหยุนและจากตัวอย่างของพอลกับเจสเตอร์นั้น ทั้งคู่เป็นเพียงแค่แวมไพร์ชั้นต่ำ แต่หลังจากได้รับเลือดของหลิงหยุนเข้าไป พวกมันถึงกับพัฒนาขึ้นเป็นบารอนได้ในทันที แต่เพียร์ซกับจอยซ์กลับพัฒนาขึ้นเป็นแค่ไวส์เคานต์เท่านั้น หลิงหยุนจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้น!
พวกเจ้ารู้หรือไม่..เหตุใดพอลกับเจสเตอร์เมื่อได้รับเลือดของข้าเข้าไป ทั้งคู่กลับมีปีกและสามารถพัฒนาขึ้นเป็นถึงบารอนได้ ทั้งที่พวกมันเป็นเพียงแค่แวมไพร์ชั้นต่ำเท่านั้น แต่แวมไพร์ชั้นสูงอย่างพวกเจ้ากลับสามารถพัฒนาขึ้นเป็นแค่ไวส์เคานต์ได้เท่านั้น
เพียร์ซกับจอยซ์ที่ภาคภูมิใจในสายเลือดได้แต่ยิ้มและตอบไปว่า“เจ้านาย.. ความจริงแล้วเวลานี้ความสามารถและความแข็งแกร่งของพวกเราทั้งคู่นั้นเทียบเท่ากับเคานต์แล้ว แต่การจะขึ้นเป็นเคานต์ได้นั้นไม่สามารถทำได้เองตามใจชอบ อย่างน้อยต้องได้รับความเห็นชอบจากแกรนดยุคเสียก่อน..”
หลิงหยุนถึงกับอึ้งไป..พร้อมกับคิดในใจว่า‘มีอย่างนี้ด้วยรึ!’ จากนั้นจึงตอบกลับยิ้มๆว่า
“เอาล่ะ..เรื่องนี้ไว้กลับไปค่อยคุยกัน!”
แน่นอนว่ายอดฝีมือของตระกูลเฉินจะต้องพากันมาที่นี่แน่และเวลานี้ตัวเขาเองก็เริ่มอ่อนกำลังลงมากแล้ว จึงต้องออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
หลิงหยุนยกมือขึ้นชี้ไปทางเฉินไห่คุนซึ่งนอนขยับเขยื้อนไม่ได้อยู่ที่พื้นจากนั้นจึงหันไปสั่งแวมไพร์ทั้งสองตนว่า
“ด้วยความสามารถของพวกเจ้าทั้งคู่ในเวลานี้คงจะสามารถพาเจ้านั่นบินไปด้วยได้สินะ”
เพียร์ซกับจอยซ์ยิ้มพร้อมกับพยักหน้า“สบายมากเจ้านาย..”
หลังจากที่พูดจบ..จอยซ์ก็ขยับปีกใหญ่ทั้งสองข้างของตนเอง และร่างสูงใหญ่ของมันก็พุ่งเข้าหาเฉินไห่คุนที่นอนอยู่บนพื้นทันที พร้อมกับเอื้อมมือข้างหนึ่งไปคว้าเข็มขัดของเฉินไห่คุน แล้วยกร่างของมันบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับสั่งว่า“เจ้าต้องระวังหน่อยล่ะ.. หมอนี่มีประโยชน์กับข้ามาก อย่าปล่อยให้มันหล่นลงไปตายล่ะ!”
จอยซ์ยิ้มพร้อมกับตอบไปว่า“เจ้านาย.. ท่านไม่ต้องห่วง! ต่อให้เข็มขัดของมันขาดระหว่างที่บินกลับไป ข้าก็สามารถบินลงไปรับร่างของมันไว้ได้ทัน มันไม่มีทางร่วงลงพื้นได้อย่างแน่นอน..”
จอยซ์มีปีกใหญ่ถึงสองข้าง..หากเข้าตั้งใจพุ่งจากฟ้าสู่พื้นดินแล้วล่ะก็ ความเร็วของมันนั้นต้องเร็วกว่าแรงโน้มถ่วงของโลกเสียอีก มันจึงมั่นใจอย่างมาก!
หลิงหยุนถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยพร้อมกับยกมือขึ้นเกาศรีษะตัวเองตัวเขาเองนั้นห่างเหินกับการเหาะเหินเดินอากาศมานานจนลืมเรื่องพวกนี้ไปหมดแล้ว
“คงต้องรอให้ข้าเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่เสียก่อนสินะ!”
หลิงหยุนมุ่งมั่นที่จะฝึกฝนให้สามารถเข้าสู่ขั้นพลังชี่-4ซึ่งเป็นขั้นแรกของด่านกลางในขั้นพลังชี่นี้ และเมื่อถึงตอนนั้นเขาก็จะเหาะเหินเดินอากาศได้อย่างแน่นอน
“เจ้านาย..ท่านต้องการให้ข้าทำอะไรบ้าง เพียร์ซกำลังรอรับใช้ท่านอยู่!” เพียร์ซซึ่งถูกจอยซ์ขโมยทำผลงานไปก่อนหน้าจึงรีบร้องถามหลิงหยุนทันที
หลิงหยุนหัวเราะพร้อมกับสั่งว่า“เจ้ามีหน้าที่พาข้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้า..”
ไม่กี่วินานทีต่อมา..หลิงหยุนก็นั่งอยู่บนหลังของเพียร์ซที่กำลังบินอยู่บนท้องฟ้า เขาสั่งแวมไพร์ทั้งสองตนว่า
“เอาล่ะ..รีบบินออกจากที่นี่กันได้แล้ว!”
ทันทีที่ได้รับคำสั่งจากหลิงหยุน..มนุษย์ค้างคาวทั้งสองตนก็กระพือปีกใหญ่ของพวกมันค่อยๆบินสูงขึ้นๆ จนกระทั่งมองเห็นบ้านเรือนที่อยู่บนพื้นดินเป็นเพียงแค่จุดเล็กๆเท่านั้น
ยิ่งสูงอุณหภูมิก็ยิ่งต่ำและแรงลมก็ยิ่งรุนแรง แต่ทั้งสองปัจจัยนี้ไม่มีผลกระทบใดๆต่อหลิงหยุนที่เข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-9 แล้วแม้แต่น้อย!
เหตุใดก่อนที่จะเข้าสู่การบ่มเพาะพลังที่แท้จริงในขั้นพลังชี่นั้นจึงต้องมีการปรับร่างกายก่อนอย่างนั้นหรือ แน่นอนว่าการปรับร่างกายนั้น ไม่ได้มีไว้เพื่อใช้ในการต่อสู้ที่แสนดุเดือดเท่านั้น
ยกตัวอย่างที่เห็นชัดที่สุดก็คือการขึ้นไปต่อสู้กันกลางอากาศอย่างเมื่อครู่นี้..
หากหลิงหยุนสามารถฝึกจนถึงด่านกลางของขั้นพลังชี่ได้เมื่อใดเขาก็จะสามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ และเมื่อถึงเวลานั้น หากร่างกายของเขายังคงเป็นร่างกายเฉกเช่นคนธรรมดาสามัญ ก็แทบไม่ต้องคิดถึงเรื่องเหาะเหินเดินอากาศอีกเลย!
นั่นเพราะการบินอยู่บนอากาศนั้นเป็นการเคลื่อนที่ด้วยความรวดเร็วมาก อาจเรียกได้ว่าเป็นการเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเลยก็ได้! แม้ว่าจะยังไม่ใช่การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดชนิดที่เรียกว่าเร็วกว่าเสียง แต่การเหาะไปกลางอากาศนั้น ก็เป็นการเคลื่อนที่ได้รวดเร็วยิ่งกว่ารถสปอร์ตเสียอีก
และหากร่างกายของคนผู้นั้นยังเป็นร่างกายเฉกเช่นคนธรรมดาสามัญหากต้องเคลื่อนที่ด้วยความเร็วขนาดนั้น คนผู้นั้นจะสามารถหายใจได้อย่างไร
แน่นอนว่าคนผู้นั้นไม่มีทางหายใจได้ทันอย่างแน่นอน!
และต่อให้สภาพภูมิอากาศบนท้องฟ้าดีมากและไม่มีลมพัดมาเลย แต่ความเร็วจากการบินอยู่กลางอากาศนั้น โดยธรรมชาติก็สร้างลมขึ้นมาได้เองอยู่แล้ว
ภายใต้กระแสลมที่รุนแรงระหว่างเหาะไปเช่นนั้นดวงตาของคนผู้นั้นก็คงยากที่จะลืมขึ้นได้ และสองหูก็จะได้ยินเพียงเสียงหวีดหวิวของกระแสลม อีกทั้งเมื่อถึงเวลานั้นกระแสลมที่เกิดขึ้นก็จะทำให้คนผู้นั้นไม่สามารถหายใจได้อยู่ดี เช่นนี้แล้วจะมีประโยชน์อะไรที่คนผู้นั้นจะเหาะเหินเดินอากาศได้!
การบ่มเพาะพลังที่แท้จริงนั้นคือการสร้างความแข็งแกร่งและเพิ่มพูนความสามารถให้กับร่างกาย แต่การที่จะทำเช่นนั้นได้ ก็ต้องเริ่มจากการปรับสภาพร่างกายไปทีละระดับขั้น ท้องฟ้าสามารถต้านทานพายุ ท้องทะเลสามารถยืนหยัดต้านทานแรงดันจากน้ำลึก การบ่มเพาะต้องทำให้คนผู้นั้นสามารถไปได้ทั้งบนฟ้า ใต้น้ำ และบนผืนดิน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้ร่างกายของคนผู้นั้นกลายเป็นร่างกายที่แข็งแกร่งและทนทาน
ด้วยเหตุนี้..การบ่มเพาะที่แท้จริงจึงต้องเริ่มต้นจากการปรับสภาพร่างกายก่อน!
หลิงหยุนฝึกวิชาดาราคุ้มกายและสามารถเข้าสู่ระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-9 ได้แล้ว เวลานี้อาจพูดได้ว่า หากหลิงหยุนต้องเผชิญกับพายุเฮอริเคน เขาก็สามารถหายใจได้เป็นปกติ อีกทั้งยังสามารถลืมตาท่ามกลางพายุได้ นั่นเพราะประสาทสัมผัสทั้งห้าของหลิงหยุนนั้นได้ถูกปรับสภาพจนแข็งแกร่งแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหูของหลิงหยุนนั้น ต่อให้มีเสียงลมดังมากสักเพียงใด ตราบใดที่มีเสียงดังขึ้น เขาก็สามารถได้ยินอย่างชัดเจน
ภายใต้แรงดันน้ำใต้ท้องทะเลลึกต่อให้ไม่มีเครื่องมือหรือเทคโนโลยีในการดำน้ำใดๆ เขาก็สามารถเคลื่อนที่ไปได้อย่างราบรื่นไม่ต่างจากคนธรรมดาที่กำลังเดินอยู่บนผืนดิน และนี่คือการบ่มเพาะที่แท้จริง!
ร่างกายที่แข็งแกร่งของแวมไพร์ก็เฉกเช่นเดียวกันไม่เช่นนั้นแล้ว ต่อให้พวกมันมีปีกใหญ่มหึมา ก็คงไม่กล้าบินขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างแน่นอน!
“ทิวทัศน์ยามค่ำคืนของเมืองหลวงช่างงดงามเสียจริงๆ!นับว่าเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดเมืองหนึ่งในโลกใบนี้..”
เวลานี้หลิงหยุนกำลังยืนอยู่บนแผ่นหลังของเพียร์ซที่กำลังบินสูงจากพื้นกว่าหนึ่งกิโลเมตรและกำลังจ้องมองไปยังแสงไฟในเมืองหลวงที่อยู่เบื้องล่างด้วยความสบายอกสบายใจ
เพียร์ซนั้นตื่นเต้นไม่น้อยเลยทีเดียวเพราะผู้ที่ยืนอยู่บนแผ่นหลังของเขาเวลานี้คือเจ้านายของเขาเอง มันจึงบินไปอย่างระมัดระวัง เพราะเกรงว่าหลิงหยุนจะร่วงลงไป และมันคงจะต้องรู้สึกผิดบาปไปตลอดชีวิตอย่างแน่นอน..
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม..หลิงหยุนก็ได้คำนวณคร่าวๆอยู่ในใจแล้วว่า หากเขาพลาดพลั้งตกลงไปในระยะหนึ่งพันเมตรนี้ อย่างมากเขาก็ได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น..
อีกทั้งด้วยวิชาดาราคุ้มกายนั้นก็ทำให้ร่างกายของหลิงหยุนแข็งแกร่งราวกับทองคำ..
“จอยซ์..เจ้าอย่าลืมปกป้องร่างของเฉินไห่คุนไว้ด้วย ไม่เช่นนั้นมันจะตายเพราะขาดอากาศหายใจ..”
เฉินไห่คุนซึ่งเป็นพ่อของเฉินเซินนั้นถูกจอยซ์จับตัวบินขึ้นไปบนท้องฟ้าในยามค่ำคืนเช่นนี้ต่อให้อยู่ในระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-5 มันก็ถึงกับหวาดกลัวจนแทบเป็นลมตาย
นี่ยังไม่พูดถึงอาการบาดเจ็บสาหัสที่ร่างกายของมันแทบทนไม่ไหวอยู่เวลานี้ดังนั้นการบินอยู่บนท้องฟ้าด้วยเพดานบินที่สูงเช่นนี้ ก็แทบจะไม่ต่างจากการได้ไปเกิดใหม่อีกครั้งเลย
และหากเฉินไห่คุนซึ่งแม้ว่าจะอยู่ในระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-5ตกลงไปบนพื้นเวลานี้แล้วล่ะก็ รับรองว่ามันคงจะมีสภาพไม่ต่างจากโคลนนุ่มนิ่มก้อนหนึ่งเท่านั้น
มองลงไปบนพื้นดินซึ่งสูงถึงหนึ่งพันเมตรนี้เมืองหลวงใหญ่อย่างปักกิ่งถึงกับมีขนาดเล็กลงมาก แต่ด้วยสายตาที่ทรงพลังของหลิงหยุนนั้น ภายใต้แสงไฟส่องสว่างเขาสามารถมองเห็นแม้กระทั่งยี่ห้อรถที่วิ่งอยู่บนท้องถนนในเวลานี้ได้อย่างชัดเจน
“เจ้านาย..พวกเราจะไปที่ใหนกัน” เพียร์ซขยับปีกนิ่งอยู่กลางอากาศพร้อมกับหันมาถามหลิงหยุนด้วยความเคารพนบนอบ
หลิงหยุนสำรวจไปทั่วทั้งเมืองแล้ว..เขาเห็นทั้งพระราชวังต้องห้าม กำแพงเมืองจีน พระราชวังฤดูร้อน และสถานที่น่าสนใจอื่นๆอีกมากมายในเมืองหลวงแล้ว
หลังจากบินชมเมืองจนพอใจแล้วหลิงหยุนก็สั่งเพียร์ซว่า “มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ..”
ไม่นานนัก..เพียร์ซก็พาหลิงหยุนบินมาถึงบริเวณบ้านที่หลิงหยุนอาศัยอยู่ในเวลานี้ และเมื่อมองจากที่สูง.. บ้านของเขาก็เหลือหลังเล็กเพียงนิดเดียว
หลังจากการต่อสู้ที่ดุเดือดเมื่อครู่..ร่างกายของหลิงหยุนก็ค่อยๆฟื้นคืนสู่ระดับสูงสุดของขั้นปรับร่างกาย-9 แล้ว จุดตันเถียนของเขาเวลานี้ก็ขยายใหญ่จนไม่อาจจะจินตนาการได้ ทำให้หลังจากที่เดินวิชาพลังลับหยินหยางแล้ว พลังหยินและหยางในร่างกายก็ถูกสร้างขึ้นได้ใหม่อย่างรวดเร็ว และกำลังไหลเวียนไปทั่วทั้งร่างกาย และเพียงเวลาไม่กี่นาที ร่างกายของหลิงหยุนก็ฟื้นฟูได้ถึงสี่สิบส่วนแล้ว
เวลานี้หลิงหยุนต้องการกลับไปดูที่บ้านก่อนและหากไม่มีอะไรผิดปกติกับคนตระกูลเกา เขาก็จะเข้าไปหาท่านปู่ในคืนนี้
ในเมื่อช่วยลุงสองของเขา– หลิงเย่วกลับไปที่ตระกูลหลิงได้แล้ว หลิงหยุนก็เชื่อว่าคงจะมีข่าวคราวมากมายเกี่ยวกับตระกูลเฉิน หลิงหยุนจึงต้องการไปสืบข่าวคราวดู
“เอาล่ะ”
ทันทีที่บินไปถึงบริวเวณสวนในบ้านหลิงหยุนก็สั่งให้เพียร์ซเตรียมบินลง แต่จู่ๆ เขาก็ได้ยินเสียงร้องตะโกน และเสียงอึกทึกดังมาจากทางด้านทิศเหนือ
หลิงหยุนเดินพลังลับหยิน-หยางขั้นสุดเพื่อให้สายตาของเขาสามารถมองเห็นได้ในระยะไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้และจ้องมองสำรวจไปยังทิศทางของเสียว
จากนั้นหลิงหยุนก็พบว่าทางทิศเหนือของบ้านเขานั้นมีกลุ่มคนสวมผ้าปิดหน้าสีดำในมือหนึ่งถือดาบยาวกำลังต่อสู้กับคนอีกกลุ่มหนึ่งอย่างดุเดือด!
กลุ่มคนที่สวมผ้าสีดำปิดหน้านั้นหลิงหยุนรู้ดีว่าพวกมันคือเหล่านินจา!
ชายชราผอมขาวร้องตะโกนออกไปอย่างโกรธแค้นและกำลังหลบหลีกการโจมตีของนินจาไปทางซ้ายทีขวาที!
“ท่านปู่!”
“นั่นมัน..เหล่ากุ่ย!”
“เจสเตอร์!”
หลิงหยุนเห็นหลิงลี่ก่อนคนแรกตามมาด้วยเหล่ากุ่ยที่กำลังโจมตีศัตรูอยู่เงียบๆ จากนั้นจึงเห็นเจสเตอร์ที่กลายร่างเพื่อปกป้องคนตระกูลหลิง
“แย่แล้ว..คนตระกูลหลิงกำลังตกอยู่ในอันตราย!”
สีหน้าของหลิงหยุนเปลี่ยนไปในทันทีแววตาของเขาปรากฏรังสีอำมหิต พร้อมกับร้องตะโกนสั่งเพียร์ซกับจอยซ์ว่า
“บินตรงไปทางทิศเหนือด้วยความเร็วสูงสุด!”