ทุกคนมองไปยังฉีเฟยอวิ๋นและในที่สุดอาลักษณ์ราชสำนักเจิ้งก็เดินไปยังตรงหน้าของฉีเฟยอวิ๋น: “พระชายาเย่สามารถเห็นถึงความเจ็บป่วยของพี่ชายของข้าว่าอยู่ที่ใดหรือ?”
“โดยธรรมชาติแล้วมองออกอยู่แล้ว แต่ว่าข้าเพียงแค่มองเช่นนี้ก็ดูออกเพียงแค่ปวดที่ท้อง ที่เหลือนั้นยังไม่แน่ใจ” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวอย่างเฉยเมย นางเห็นผู้ที่อยู่ตรงหน้าร่างกายง่อนแง่น หดท้องเอาไว้แน่น แม้ว่าใบหน้าจะยิ้มแย้มแต่หลังค่อมที่เอวเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ท้องของเขาหดตัวตลอดเวลา ดังนั้นนางจึงได้กล่าวเช่นนั้น
อาลักษณ์ราชสำนักเจิ้งวุ่นอยู่กับการบอกให้คนอื่นถอยออกไปก่อนและขอให้ฉีเฟยอวิ๋นก้าวไปด้านหน้า: “ได้ยินชื่อเสียงทางการแพทย์ของพระชายาเย่มาเป็นเวลานานแล้วยังต้องขอให้พระชายาเย่ดูอาการให้พี่ชายของข้าด้วย”
“ดูนั้นได้แต่มีเรื่องจะสอบถาม หากอาลักษณ์ราชสำนักเจิ้งเต็มใจบอกความจริงแล้วหล่ะก็ไม่เพียงแค่รักษาอาการป่วยเท่านั้นยังจะรักษาให้หายด้วย
หากอาการป่วยนี้เป็นเพียงครึ่งปีและข้าสามารถรักษาให้หายได้อย่างน้อยก็ได้อายุขัยห้าปี หากว่าใต้เท้าอาลักษณ์ดูแลได้ดีเชื่อว่าสิบปีแปดปีก็มิใช่ปัญหา”
“ไม่รู้ว่าพระชายาเย่ต้องการถามเรื่องใด?” อาลักษณ์ราชสำนักเจิ้งเหลือบมองท่านผู้เฒ่า เขายังคงมีความกังวลเล็กน้อย
“เข้าไปคุยกันเถอะ” ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองไปยังเรือนหลักของลานอื่น อาลักษณ์ราชสำนักเจิ้งสั่งจึงได้ให้คนยกท่านผู้เฒ่าเข้าไปก่อน จากนั้นจึงรีบตามฉีเฟยอวิ๋นและอวิ๋นหลัวฉวนเข้าประตูไป
จากนั้นก็นั่งลง อาลักษณ์ราชสำนักเจิ้งนั่งลงข้างๆท่านผู้เฒ่าแล้วกุมมือของท่านผู้เฒ่าเอาไว้ ท่านผู้เฒ่าดูแล้วท่าทางเศร้าหมอง: “เจ้าอย่าได้ทำสิ่งใดมั่วซั่วนะ!”
“พี่ใหญ่วางใจได้ข้าคาดเอาไว้แล้ว ข้าไม่ทำเรื่องที่ขัดต่อสำนึก คำสอนของพี่ใหญ่ข้าจดจำตลอดเวลา”
อาลักษณ์ราชสำนักเจิ้งมองไปยังฉีเฟยอวิ๋น: “พระชายาเย่มีสิ่งใดเชิญกล่าว หากข้ากระหม่อมผู้ต่ำต้อยมีความสามารถและไม่ขัดต่อศีลธรรม กระหม่อมผู้ต่ำต้อยก็เต็มใจที่จะบอกตามความจริง”
“ไม่รีบร้อน ข้าขอดูก่อนเกิดข้าไม่สามารถดูออกหล่ะ?” ฉีเฟยอวิ๋นลุกขึ้นเดินไปยังตรงหน้าของท่านผู้เฒ่า นั่งลงแล้วจับข้อมืออันผอมเหี่ยวแห้งจากนั้นกดลงไปเริ่มการตรวจ
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองท่านผู้เฒ่า: “เดิมทีท่านเคยลงน้ำจับปลามาก่อนใช่หรือไม่?”
“ใช่?” ท่านผู้เฒ่าพยักหน้า อาลักษณ์ราชสำนักเจิ้งค่อนข้างตกใจ
“พี่ชายของข้านั้นในขณะยังเยาว์วัยลงน้ำจับปลาเป็นประจำ แต่เรื่องนี้มีคนรู้ไม่มากพระชายาเย่ได้ยินเรื่องนี้จากที่ใด?”
“ได้ยินมานั้นมิกล้า คนอายุขนาดท่านผู้เฒ่าเช่นนี้ข้าได้ยินมาว่าไม่มาหาท่านผู้เฒ่าก็ไม่ออกจากประตูจวนสินะ?” ฉีเฟยอวิ๋นเอามือกลับมาแล้วมองไปยังอวิ๋นหลัวฉวน: “ฉวนเอ๋อร์ท่านกลับไปยังจวนท่านแม่ทัพก่อนรอบหนึ่งแล้วนำกล่องยาของข้ามา ข้าจะเขียนกระดาษให้ท่านแผ่นหนึ่ง ท่านมอบให้กับหมอประจำจวนของจวนแม่ทัพขอให้เขาช่วยเหลือ นอกจากนี้ขอให้หมอประจำจวนมารอบหนึ่ง”
“ได้” อวิ๋นหลัวฉวนรับปาก ฉีเฟยอวิ๋นเขียนใบสั่งยาให้อวิ๋นหลัวฉวนใบหนึ่ง อวิ๋นหลัวฉวนรับใบสั่งยาแล้วจากไปเลย
ฉีเฟยอวิ๋นจึงได้กล่าวว่า: “อาการป่วยของท่านผู้เฒ่านี้เป็นมาหลายปีแล้วน่าจะได้รับจากในน้ำ และไม่สบายในทางเดินอาหารได้ง่าย รวมทั้งท้องเสียและอาเจียน ท่านหมอได้ดูแล้วเป็นแน่และสั่งยาต้มให้บ้างเพียงแต่ผลลัพธ์ไม่ดีขึ้น ทุกครั้งดื่มยาแล้วก็จะดีขึ้นบ้าง หยุดดื่มก็เป็นเช่นนี้แล้วและยิ่งอยู่ยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ”
“ใช่ เป็นเช่นนี้”
ฉีเฟยอวิ๋นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง: “เป็นแมลง”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองท่านผู้เฒ่าซึ่งเหม่อลอย ท่านผู้เฒ่าส่ายหน้า: “ข้าก็รู้สึกว่ามีบางสิ่งอยู่ในท้องของข้า ราวกับว่ากัดข้าเจียนตายเช่นนั้น”
“ของสิ่งนี้อาจทำให้อาเจียนและท้องร่วงได้ซึ่งต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแน่นอน มีแมลงชนิดหนึ่งดำรงชีวิตอยู่ในท้องของงู กบ และปลาบางชนิด
หากว่าทำให้สุกแล้วก็ดี หากว่าดิบก็กล่าวลำบากแล้ว ข้าว่าลักษณะท่าทางของท่านผู้เฒ่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะติดเชื้อจากของสิ่งนี้”
อาลักษณ์ราชสำนักเจิ้งถามอย่างรวดเร็ว: “พี่ชายของข้ายังจะช่วยได้หรือไม่?”
“ข้าให้พระชายาตวนกลับไปนำกล่องยามาก็คือมีวิธี”
“เช่นนั้นต้องรบกวนพระชายาเย่แล้ว” แววตาของอาลักษณ์ราชสำนักเจิ้งนองด้วยน้ำตาโดยที่ลักษณะท่าทางนั้นขอบคุณอย่างยิ่งนัก ฉีเฟยอวิ๋นรอไปด้วยและกล่าวถึงจุดประสงค์ที่นางมาขึ้น
“ใต้เท้าอาลักษณ์ จุดประสงค์ที่ข้ามาก็เพื่อสอบถามเรื่องหนึ่งจากท่าน ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องของเฉาเหวินรองเสนาบดีกรมพิธีการในถนนเส้นนี้” ฉีเฟยอวิ๋นเปิดอกถาม
อาลักษณ์ราชสำนักเจิ้งคาดไม่ถึงว่าจะเป็นเพราะเรื่องนี้ เมื่อกล่าวถึงเรื่องนี้สีหน้าของอาลักษณ์ราชสำนักเจิ้งดูไม่ได้แล้วกล่าวว่า: “เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ความลับอะไร เหตุใดพระชายาเย่ถึงคิดที่จะมาสอบถามที่นี่หล่ะ?”
“ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ความลับอะไร แต่ว่าผู้คนภายนอกนั้นไม่มีผู้ใดกล่าวถึง เรื่องนี้ก็ได้เพียงแค่ค้นหาทีละเรือนทีละเรือนแล้ว”
“ไม่มีผู้ใดกล่าวถึง?” อาลักษณ์ราชสำนักเจิ้งก็เป็นผู้ที่ตรงไปตรงมาเช่นกันแล้วใบหน้าของเขาก็หมองหม่น: “เฉาเหวินผู้นั้นเดิมทีเป็นลูกบุญธรรมของกระหม่อม พ่อของเขากับกระหม่อมนับว่าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน กระหม่อมรู้สึกว่าคนผู้นี้ไม่เลว สุภาพมีมารยามและซื่อสัตย์ใฝ่ในความรู้ วางแผนที่จะให้สิ่งที่ได้เรียนรู้กับเขาและส่งเสริมให้เขาขึ้นมาดำรงตำแหน่งรองเสนาบดีกรมพิธีการ
ใครจะรู้ว่าเขาเป็นผู้ที่มีเจตนาไม่ดี หลังจากเป็นรองเสนาบดีแล้วก็เปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน
ปกตินั้นไม่เพียงแต่เกียจคร้านไม่ทำสิ่งใดเอาแต่กินกับนอนแล้ว ยังเป็นผู้ที่ชอบพูดจายุให้รำตำให้รั่วอีกด้วย
เดิมทีวางแผนที่จะให้เขาออกจากตำแหน่งเพื่อสอบสวน ไม่ได้คาดคิดว่าต้ากั๋วจิ้วจะมาถามเรื่องนี้ด้วยตนเองแล้วยังข่มขู่กรหม่อมผู้ต่ำต้อยด้วย
เดิมทีกระหม่อมผู้ต่ำต้อยจะรายงานเรื่องนี้ แต่ด้วยเหตุผลหลายประการท้ายที่สุดเรื่องยังไม่จบก็จบลงแล้ว
แต่เฉาเหวินผู้นี้ทำชั่วมากมายนับไม่ถ้วน ผู้คนมากมายบนถนนเส้นนี้ถูกเขารังแก มีเพียงแต่ที่นี่ซึ่งเขาไม่กล้ามารังแก ช่วงเวลาก่อนหน้านี้เขายังแย่งชิงหญิงสาวผู้หนึ่ง กระทำมลทินแล้วโยนไปยังหอนางโลมและเรื่องนี้นั้นภายหลังก็ถูกทำให้เงียบหายไป
เรือนหลังใหญ่หลังนั้นเขาใช้เงินไม่เท่าไหร่ก็ซื้อที่ดินผืนหนึ่งเอาไว้ ต่อมาขณะสร้างก็เกิดเรื่องขึ้นและยังมีคนถูกเขาทุบตีจนตาย
เขาผู้นี้ทำชั่วมากมาย ในไม่ช้าก็เร็วกระหม่อมผู้ต่ำต้อยจะกราบทูลรายงานต่อฝ่าบาทซึ่งผู้ใดก็ไม่สามารถหยุดรั้งไว้ได้”
ฉีเฟยอวิ๋นหรี่ตาเล็กน้อย: “ยังมีเรื่องเช่นนี้อีก ชีวิตคนเกี่ยวข้องกับสวรรค์ หรือว่าไม่มีผู้ใดจัดการเรื่องนี้เลยหรือ?”
“ต้ากั๋วจิ้วเป็นพี่ชายแท้ๆของพระพันปี ฝ่าบาททรงเคารพพระพันปีแล้วผู้ใดจะกล้า?” อาลักษณ์ราชสำนักเจิ้งยิ่งกล่าวก็ยิ่งโมโหมากขึ้น: “หากรู้แต่แรกน่าจะปล่อยให้เขาเป็นเสี่ยวซือไปชั่วชีวิต!”
ฉีเฟยอวิ๋นขบขัน: “ทำชั่วชีวิตนั้นเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อได้รับการสนับสนุนจากต้ากั๋วจิ้วเช่นนั้นทำได้ไม่กี่วันก็ต้องแดงขึันมา เพียงแต่ว่าอาลักษณ์ถูกหลอกและตอนนี้รู้สึกไม่สมยอมใจ”
“ถึงจะเป็นเช่นนั้นแต่กระหม่อมผู้ต่ำต้อยยังคงไม่สมยอมใจและต้องการจัดการเขาให้เรียบร้อย ผู้ใดกล่าวก็ไร้น้ำหนักไม่ได้มีความสามารถดังต้ากั๋วจิ้ว”
“ก็ไม่ใช่ เช่นไรก็ต้องมีคนจัดการ ใต้เท้าอาลักษณ์ท่านรู้หรือไม่ว่าเฉาเหวินกับต้ากั๋วจิ้วเกี่ยวข้องกันเช่นไร”
“เขาเรียกต้ากั๋วจิ้วว่าท่านลุงที่เหลือนั้นไม่แน่ชัด คาดว่าแม่ของเขาเป็นคนของจวนกั๋วจิ้ว” อาลักษณ์ราชสำนักเจิ้งก็ไม่ได้รู้ทุกอย่าง ทุกสิ่งที่รู้ก็บอกกับฉีเฟยอวิ๋นแล้ว
ในเวลานี้อวิ๋นหลัวฉวนพาหมอประจำจวนจากจวนท่านแม่ทัพมาแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นบอกให้คนเข้ามาและนำกล่องยามาริเริ่มเตรียมการ
หลังจากเปิดออกแล้วก็เห็นฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกปราบปลื้มกับการมองการณ์ไกลของตนเองจริงๆ ขณะที่จัดยาเดิมทีไม่ได้วางแผนจัดเอาไว้ด้วย แต่คิดว่าเป็นครั้งสุดท้ายไม่ได้สนใจมากเช่นนั้น โดยพื้นฐานแล้วเห็นสิ่งใดก็หยิบสิ่งนั้น สิ่งของเหล่านี้นำใส่ในกล่องยาขณะที่เก็บจัดการ คิดไม่ถึงว่าจะได้ใช้แล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นนำยามาสองแผงแล้วบอกให้คนนำน้ำมาชามหนึ่ง นำยาใส่ลงในชามให้ละลาย ในไม่ช้าก็มองไม่เห็นแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นนำมาให้ท่านผู้เฒ่า: “ท่านดื่มซะก่อน ยานี้จะคงอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่จะบรรเทาอาการปวดได้ในไม่ช้า ครู่หนึ่งข้าจะฉีดยาให้ท่านหนึ่งเข็ม!”