บทที่ 426 แยกย้าย

มหายุทธ์ สะท้านภพ Remake

บทที่ 426 แยกย้าย
หลี่เสวียนหยางสีหน้าหมองหม่นถึงขั้นสุด ตอนนี้เขากับซุนเชียนซางถูกผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ขวางเอาไว้ ส่วนหลัวซิวพอกคิดจะหนีกลับไม่มีใครขวางเขาเอาไว้ได้

ที่พึ่งสำคัญที่สุดของเขาก็คือค่ายพิทักษ์เขาของสำนัก แต่ตอนนี้ค่ายกลได้เสื่อมมนตร์ไปแล้ว

“จนถึงตอนนี้คนของตำหนักจื่อยังไม่มาเลย ดูรูปการณ์แล้วมีความเป็นไปได้สูงมากว่าอาจารย์ตำหนักจื่อจะสิ้นชีพไปแล้ว”

ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์อย่างหลี่เสวียนหยางที่มีอายุขัยมาถึงสองพันแปดร้อยปีไม่เคยรู้สึกทุกข์ใจเช่นนี้มาก่อน

ศึกใหญ่ของผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ทั้งสี่ ทำให้ที่ตั้งของสำนักเสวียนหยางพังทลาย พระราชวังใหญ่โตย่อยยับ ภูเขาระเบิดเป็นจุน ฝุ่นลอยตลบอบอวล ควันลอยโขมง พลังอันน่าหวาดหวั่นได้ก่อตัวเป็นเกลียวคลื่นที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างไปทั่ว

ผู้ที่รวมตัวกันอยู่บนเขาเสวียนหยางเป็นนักยุทธ์ที่มาจากหลายกองกำลัง ทุกคนต่างตกใจจนหนีกระจัดกระจาย ไม่มีใครกล้ารั้งอยู่ที่นี่ต่อไปเพราะกลัวว่าจะพลอยได้รับอันตรายไปด้วย

“มันนี่เอง ฝีมือของมันแข็งแกร่งขนาดนั้น ยังจะต้องเชิญมกุฎยุทธ์มาอีกตั้งสองคนด้วยรึ”

ในกลุ่มคนที่กำลังหนีตาย เย่เจียเอ๋อร์มองไปยังเรือรบสัมริดเขียวที่ลอยเคลื่อนตัวออกไปยังขอบฟ้าอย่างรวดเร็วพลางรู้สึกแค้นใจ

เมื่อนึกย้อนกลับไปในช่วงเริ่มแรก เธอกับหลัวซิวยังคงอยู่ในแดนพรสวรรค์เหมือนกัน เวลาหมุนเวียนเคลื่อนผ่าน ตอนนี้เธอมีอายุได้ 20 ปี การที่เธอบรรลุแดนฝึกจิตขั้น 8 ได้นั้นก็ถือว่าเป็นอัจฉริยะที่ยากจะหาตัวจับได้แล้ว

แต่หลัวซิวกลับมีพลังแข็งแกร่งพอที่จะรับมือกับอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์ได้

เมื่อเทียบกันแล้ว พรสวรรค์ที่เธอมีแทบจะเทียบอะไรกับเขาไม่ได้เลย

อีกทางฝั่งหนึ่ง ชิวลั่วสุ่ยที่หลบหนีมาซ่อนตัวอยู่ที่หลบภัยของอาจารย์สำนักสุ่ยเยว่จงก็ยังคงมีความรู้สึกไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน

หนุ่มน้อยผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งที่มีอายุไม่ถึง 20 ปี กลับต่อสู้กับจักรพรรดิยุทธ์ได้ การบรรลุแดนจักรพรรดิยุทธ์มันง่ายขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

ตลอดชีวิตของหลี่เสวียนหยางได้ทำให้มีคนจากกองกำลังต่างๆ มารวมตัวกันอยู่บนเขาเสวียนหยางเล็กๆ แห่งนี้ และในบรรดาคนพวกนี้ยังเคยพบเจอหลัวซิวมาก่อนและบางคนถึงขั้นรู้จักเขาเสียด้วยซ้ำ

สามารถพยากรณ์ได้เลยว่า หลังจากเกิดเหตุการณ์วันนี้แล้ว หลัวซิวรวมทั้งชื่อของเขาจะก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมาอีกครั้ง

……

“ฮ่าๆ เพื่อนยาก ฉันไม่เล่นด้วยแล้ว”

เมื่อผ่านการต่อสู้อย่างดุเดือดมาแล้วเกือบครึ่งชั่วยาม หนิงเหอโจวคาดเดาว่าหลัวซิวน่าจะหลบหนีออกจากเขาเสวียนหยางไปไกลและไปถึงที่หมายอันปลอดภัยแล้ว

อีกไม่นานนัก ค่ายกลพิทักษ์เขาระดับ 7 บนเขาเสวียนหยางแห่งนี้จะกลับมาใช้งานได้อีกครั้ง เมื่อถึงตอนนั้น หากเขากับมู่จื่อซิวคิดอยากจะหนีก็คงหนีไม่พ้น

มู่จื่อซิวเองก็ตระหนักถึงประเด็นนี้ได้เช่นกัน และยังแอบคะเนเวลาอยู่ในใจตลอดอีกด้วย

คนทั้งสองปล่อยคู่ต่อสู้ในเวลาพร้อมๆ กัน เกิดลำแสงหมุนวนขึ้นก่อนที่พวกเขาจะบินขึ้นไปยังขอบฟ้า

“บัดซบ!”

หลี่เสวียนหยางโมโหมากแต่เขาก็ไม่ได้ตามไป เพราะเขารู้ตัวดีว่าพลังของอีกฝ่ายแม้จะเทียบเท่ากับตนก็จริง แต่อายุขัยของเขาเหลือไม่มากนัก หากต้องต่อสู้กันจริงๆ ขึ้นมา สุดท้ายแล้วฝ่ายที่ต้องสิ้นชีพคงจะเป็นตนเองมากกว่า

“ศิษย์พี่หลี่ช่วยอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ให้ผมฟังได้หรือไม่” สีหน้าของซุนเชียนซางขุ่นมัว

มุมปากของเขาปรากฏรอยเลือดซึม เสื้อผ้าที่สวมใส่ขาดวิ่น พลังจิตแท้ของเขาสูญเสียไปจนแทบหมดสิ้น

แม้ว่าการฝึกตนของเขากับมู่จื่อซิวจะเท่ากัน แต่พลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมากและไม่ด้อยไปกว่าหนิงเหอโจวเลยแม้แต่น้อย หากอีกฝ่ายไม่หนีไปเสียก่อนและยังต่อสู้กันต่อไป เขาคงจะรับมือต่อไม่ไหวแน่

“หากสิ่งที่ฉันคาดการณ์เอาไว้นั้นไม่ผิด มกุฎยุทธ์สองคนนี้จะต้องถูกเชิญมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์ด้วยภารกิจรางวัลนำจับแน่” หลี่เสวียนหยางอธิบายเสียงเครียด เขาไม่ได้คิดถึงประเด็นนี้มาก่อนเลย เพราะการที่จะเชิญผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ออกมาได้นั้นเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายอย่างยิ่ง

ตามข้อมูลที่เขารู้ ในองค์กรนักล่ายุทธ์การจะประกาศภารกิจรางวัลนำจับนั้นมีการจำกัดอำนาจอยู่ การเชิญระดับมกุฎยุทธ์มารับภารกิจได้นั้นหมายความว่าอย่างน้อยๆ หลัวซิวจะต้องมีอำนาจถึงขั้นดินแล้ว

“ศิษย์น้องซุนช่วยข้าจนได้รับบาดเจ็บ สำนักเสวียนหยางของเราจะต้องชดใช้ให้เจ้า”

เมื่อซุนเชียนซางได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของเขาจึงเริ่มดีขึ้น

……

เมื่อออกจากสำนักเสวียนหยางมาเป็นระยะทางถึงหนึ่งพันลี้แล้ว หลัวซิวก็บังคับเรือรบสัมริดเขียวลงไปจอดที่ป่าหนาครึ้มแห่งหนึ่ง

สิ่งแรกที่เขาทำคือวางค่ายกลเอาไว้เอาบริเวณรอบๆ ก่อน เพื่อรอให้ผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์มู่จื่อซิวกับหนิงเหอโจวมาที่นี่

ที่นี่เป็นสถานที่ที่พวกเขาได้นัดหมายเอาไว้ก่อนหน้าแล้วว่าจะมาเจอกัน

“พ่อ แม่……”

เมื่อเห็นพ่อแม่ปลอดภัยดี น้ำตาของหลัวซิวเอ๋อร์ก็ไหลพรากออกมาไม่หยุด เพราะความกังวลใจในหลายวันที่ผ่านมาได้คลี่คลายลงแล้วในที่สุด

ส่วนคนของตระกูลหลิวยังคงพากันเงียบงันอยู่ เพราะพลังของหลัวซิวที่แสดงออกไปทำให้พวกเขาขวัญผวาอย่างหนัก

“หลัวซิว อย่าโทษพวกเขาเลยนะ” หลิวหยวนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าหลัวซิวและพยายามจะอธิบายแทนคนตระกูลหลิวพวกนั้น

“ผมไม่ได้โทษพวกเขา” หลัวซิวกล่าวอย่างเรียบง่าย

มนุษย์ทุกคนต่างมีความเห็นแก่ตัวอยู่ เขาเข้าใจในเรื่องนี้ดี คนตระกูลหลิวพวกนั้นต้องการรักษาชีวิตของตัวเองเอาไว้เลยต้องปิดบังความสัมพันธ์กับเขา นี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ

แต่พวกเขาไม่ควรอย่างยิ่งที่คิดจะฆ่าพี่สาวของเขา นี่เป็นเรื่องที่หลัวซิวไม่มีทางรับได้

หากไม่เห็นว่าตระกูลหลิวเป็นญาติแท้ๆ ของตระกูลหลัว ต่อให้คนพวกนี้ตายเป็นหมื่นครั้งก็ยังไม่พอ

ที่หลัวซิวบอกว่าไม่ได้เอาเรื่องอะไรคนพวกนั้น เพราะหากเขาเอาเรื่องคนตระกูลหลิวขึ้นมาจริงๆ คนพวกนี้คงตายไปนานแล้ว

“ถึงผมจะบอกว่าไม่เอาเรื่องพวกเขา แต่ผมจะถือว่าคนพวกนี้ไม่มีความข้องเกี่ยวใดๆ กับตระกูลหลัวอีกต่อไป” หลัวซิวกล่าว

หลังจากนั้นเขาก็หยิบกล่องส่งเสียงออกมาแล้วติดต่อไปยังสวีจิงเหนียน

ผ่านไปพักหนึ่งมกุฎยุทธ์มู่จื่อซิวกับหนิงเหอโจวก็มาถึงยังสถานที่นัดหมายในป่าเล็กๆ แห่งนี้

ตามที่สัญญากันไว้ หลัวซิวจึงหยิบยาสลายร่างหลงหยางกับยาวาตะทองน้้ำค้างหยก ออกมาอย่างละสองเม็ด

ยาระดับ 7 ขึ้นไปนับว่าเป็นยาที่มีคุณค่าสูงมาก และยังถือว่าเป็นของที่หาได้ยากสำหรับปรมาจารย์นักกลั่นยาขั้น 7 ด้วย

ดังนั้นเพียงแค่ยาทั้งสองเม็ดนี้ ก็เพียงพอที่จะทำให้มกุฎยุทธ์ทั้งสองกล้าที่จะเสี่ยงชีวิต

“ต้องขอขอบคุณความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสทั้งสองท่านมาก” หลัวซิวกล่าวขอบคุณพร้อมรอยยิ้ม

“เหอะๆ เจ้าไม่ต้องพูดคำพูดมารยาทพวกนี้หรอก พวกเราต่างแลกเปลี่ยนกัน รับยาของเจ้ามา เราก็ต้องช่วยเหลือเจ้าเป็นธรรมดา” หนิงเหอโจวยิ้มพลางกล่าว

ในตอนนี้ เขาไม่มีความคิดดูถูกหลัวซิวเพราะหลัวซิวเป็นราชายุทธ์อีกแล้ว เพราะการต่อสู้ของราชายุทธ์อย่างเขากลับเทียบเท่ากับจักรพรรดิยุทธ์ และจากวิธีการของเขาที่สามารถทำลายค่ายพิทักษ์เขาระดับ 7 ได้นั้น วิชาในด้านค่ายกลของเขาจะต้องอยู่ในขั้นสูงมาก

เขาเป็นอัจฉริยะที่น่ากลัวมากคนหนึ่ง เมื่อเขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ วันหนึ่งเขาจะต้องเหนือกว่าตนอย่างแน่นอนขึ้นอยู่กับว่าจะเป็นเมื่อไหร่ก็เท่านั้น

“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อาวุโสทั้งสองท่าน ผู้น้อยอย่างผมคงไม่สามารถช่วยครอบครัวของผมออกมาได้อย่างราบรื่นขนาดนี้ได้ วันข้างหน้าหากผู้อาวุโสทั้งสองต้องการยาระดับ 7 อีก สามารถเตรียมวัตถุดิบมาให้อาจารย์ของผู้น้อยที่เป็นอาจารย์นักกลั่นยาได้ น่าจะช่วยเหลือท่านได้ไม่น้อย” หลัวซิวยังคงมีรอยยิ้ม

“อาจารย์ของเจ้าเป็นปรมาจารย์กลั่นยาด้วยหรือ”

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของหนิงเหอหยวนกับมู่จื่อซิวก็ชะงักค้าง