บทที่ 112 ความรู้สึกคืออาวุธที่ร้ายกาจที่สุด โดย Ink Stone_Fantasy
“จริงสิ เธอหาที่นี่เจอได้ยังไง?”
ในเมื่อหัวแข็งไม่เปลี่ยน ถ้าอย่างนั้นช่วงเวลาที่ให้เจสสิก้าอยู่ด้วย เยี่ยเหยียนก็หวังว่าอย่างน้อยจะสืบข่าวความเคลื่อนไหวของสำนักงานใหญ่จากเธอได้บ้าง
ส่วนทางเจสสิก้าคิดดีแล้วจึงอธิบาย “สถานะของนายตอนนี้เสี่ยงมากเกินไป ฉันเดาว่านายคงพักในโรงแรมมาตรฐานทั่วไปอย่างเปิดเผยไม่ได้ และคงจะไม่กลับไปที่ห้องพักเดิม ก็เลยเดินตามหาตามโรงแรมเล็กๆ แบบนี้มาตลอดทาง”
เยี่ยเหยียนพยักหน้า…ในสถานการณ์แบบนี้ใช้วิธีการหาแบบหว่านแหก็เป็นวิธีที่ไม่มีทางเลือก เขาเชื่อว่าไม่มีใครรู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่นี่ นั่นก็หมายความว่าเจสสิก้าโชคดีเหลือเกิน
ฟ้าลิขิตงั้นเหรอ?
“แต่เธอมั่นใจได้ยังไงว่าฉันจะกลับมาที่นี่?”
เจสสิก้ายิ้มแล้วตอบ “ตอนที่คนเจออันตราย จิตใต้สำนึกจะสั่งให้เขาเลือกสถานที่ที่รู้สึกปลอดภัยเหมือนบ้าน ที่นี่เคยเป็นที่ที่นายอยู่ ดังนั้นเริ่มแรกฉันก็แค่ลองมาเสี่ยงดวงดูที่นี่”
เยี่ยเหยียนยิ้มฝืดๆ พูดขึ้น “ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่คนที่เชื่อเรื่องโชค”
เจสสิก้าพูดอย่างไม่ใส่ใจ “แต่ถ้าให้ฉันไม่ทำอะไรเลย ก็ไม่สู้ให้ฉันลองเชื่อในโชคสักครั้ง”
เยี่ยเหยียนพูดขึ้นทันที “สำนักงานใหญ่ให้ทีมเล็กๆ ทีมหนึ่งมาจับฉัน มีความเป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาสะกดรอยตามเธอมาด้วย?”
เจสสิก้าตอบ “ตอนที่ฉันออกมาจากที่นั่นก็ระวังตัวมาก แล้วยังใช้หนังสือเดินทางปลอมที่ห้องเก็บหลักฐานยึดมา กว่าพวกเขาจะตรวจเจอคงไม่ใช่เร็วๆ นี้”
เยี่ยเหยียนขมวดคิ้วพูดขึ้น “ก็ไม่แน่…เธอหาที่นี่เจอได้ ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะหาที่นี่ไม่พบ สงสัยฉันจำเป็นต้องย้ายที่กบดานแล้ว ฉันจะต้องออกไปจากที่นี่ทันที…แค่กๆ!”
“นายได้รับบาดเจ็บเหรอ?”
“ออกไปจากที่นี่ค่อยว่ากัน”
เจสสิก้ารีบพูด “ไปที่ที่ฉันอยู่ก่อนเถอะ ตลอดเวลามานี้ฉันก็พักอยู่นี่ตลอด น่าจะปลอดภัย”
เยี่ยเหยียนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พยักหน้า แต่เขาแค่ตามเจสสิก้าออกไปเท่านั้น ไม่ได้ทำเรื่องเช็กเอาต์กับเจ้าของโรงแรมที่เคาน์เตอร์
…
MINI-CLUBMAN สีแดงคันใหญ่คันหนึ่งจอดนิ่ง เริ่นจื่อหลิงซึ่งสวมเสื้อเชิ้ตตารางหมากฮอสสีฟ้าขาวคู่กับกางเกงยีนสีอ่อนขาวๆ เดินก้าวลงมา ในตอนนั้นเองประตูรถอีกฝั่งหนึ่งก็เปิดออก ชายผอมๆ ผิวดำคนหนึ่งก็ก้าวลงมาด้วยเช่นกัน
เริ่นจื่อหลิงเงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้นพร้อมกับพูดว่า “เหลาสู่เฉียง อยู่แถวๆ นี้เหรอ?”
เหลาสู่เฉียงยิ้มทำใจดีสู้เสือตอบ “ก็ใช่น่ะสิ คุณนาย! พอคุณนายเรียกผม ผมก็รีบทำทุกวิถีทาง ศักดิ์ศรีทั้งหมดก็ใช้ไปไม่มีเหลือแล้วจริงๆ! คุณนายไม่รู้หรอก เพื่อเรื่องนี้แล้ว ผมยัง…”
“พอๆๆ ประเด็นสำคัญคือ! นายจะขาดเงินไปไม่ได้เลยสินะ!” เริ่นจื่อหลิงกลอกตามอง
“นางฟ้า! ถ้าไม่ใช่ว่าในบ้านมีเมียแก่ๆ และผมเด็กกว่านี้สักสิบปี ผมจะตามตื๊อไม่เลิกเลย!” เหลาสู่เฉียงหรี่ตาเล็กๆ พร้อมพูดขึ้น
เริ่นจื่อหลิงโยนชานมที่ดื่มไปแล้วครึ่งแก้วทิ้งไป
เหลาสู่เฉียงทำตัวเล็กๆ ลง รีบพูดขึ้น “มีน้องชายคนหนึ่งที่หาเลี้ยงชีพในโรงขยะใกล้ๆ เมื่อหลายคืนก่อน ได้ยินว่าเห็นผู้ชายคนหนึ่ง ลักษณะคล้ายกับที่คุณนายบอก ผมก็เลยเอารูปที่คุณนายให้ผมส่งให้คนนั้นยืนยันแล้ว เขาบอกว่าคล้ายอยู่เจ็ดสิบแปดสิบเปอร์เซ็นต์เลย”
“ไปทางไหนแล้ว?”
“ทางนี้แหละ” เหลาสู่เฉียงชี้บอก “คุณนาย ที่นี่วุ่นวายมาก โรงแรมจำนวนไม่น้อยก็เป็นโรงแรมม่านรูดนะ หากนายคนนั้นคิดจะซ่อนตัวล่ะก็ ที่นี่ก็นับว่าไม่เลวเลยนะครับ แต่น่าเสียดายที่ม่านรูดที่นี่อย่างน้อยก็หลายสิบแห่ง จะหาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะ! เอ๊ะ คุณนาย นี่คุณนายจะไปหาแล้วเหรอ? รอผมด้วยสิ!”
เริ่นจื่อหลิงมองไปรอบๆ ถนน พร้อมเข้าไปในพื้นที่เขตนี้
“ฟังนะ ถ้าคนหนึ่งคิดจะซ่อนตัว โดยเฉพาะในที่แบบนี้ล่ะก็ จะต้องเลือกที่ที่มองเห็นอะไรได้กว้างรอบด้าน” เริ่นจื่อหลิงพูด “นายลองดูบริเวณหัวมุมถนนพวกนั้น หรือใกล้ๆ ถนน ช่วยฉันจำไว้ก่อน ที่อยู่ในซอยเล็กๆ ถือว่าเป็นทางเลือกที่สอง”
เหลาสู่เฉียงยักไหล่พลางพูดว่า “ถ้าต้องการซ่อนตัวจริงๆ ในซอยเล็กๆ ที่หายากไม่ซ่อนง่ายกว่าเหรอ?”
รองบรรณาธิการเริ่นยิ้มเยาะ “มีแต่คนไม่ได้เรื่องอย่างนายถึงคิดซ่อนอยู่ที่มืดเหมือนหนูตัวหนึ่ง ฟังนะ ยิ่งมองเห็นได้ดี ก็ยิ่งสะดวกในการสังเกตการณ์รอบๆ ได้ตลอดเวลา อย่างตำแหน่งที่อยู่หัวมุมถนนหรือใกล้ถนน ถึงแม้ว่าจะหลบหนี ก็หนีเข้าไปในซอยที่สลับซับซ้อนในเมืองได้ทันที แต่ถ้าไปหลบอยู่ท้ายซอยตั้งแต่แรก ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการสังเกตการณ์ถูกบังมิด เป็นไปได้ว่าก่อนที่เขาจะหาตัวนายเจอ ก็คงปิดทางออกของนายไว้แล้ว แต่ถ้าเป็นบนถนนใหญ่ คนเยอะ นี่ต่างหากถึงอำพรางตัวได้!”
เหลาสู่เฉียงได้ยินก็นิ่งอึ้งตะลึง พูดขึ้นอย่างตกใจ “คุณนาย ถ้างั้น…ถ้างั้นคุณนายก็ทำตัวกลมกลืนกับเขาด้วยไหมล่ะ? ผมกับคุณนายน่ะ?”
“เอาสิ นายจะเป็นชายขายบริการไหมล่ะ?” เริ่นจื่อหลิงหรี่ตาถาม
เหลาสู่เฉียงทำตัวสั่นพูด “ได้เงินใช้ มีอะไรทำไม่ได้บ้าง! ขอเพียงคุณนายบอกมา จะข้างบนหรือข้างล่าง ผมจะไม่พูดอะไรเลย จะบุกน้ำลุยไฟไปเลย!”
“แม่เจ้า…เก่งกาจนะเนี่ย!” เริ่นจื่อหลิงส่ายหัว เดินเข้าไปในโรงแรมแห่งหนึ่ง เพิ่งเข้าประตูมาก็พูดหัวเราะคิกๆ “เจ้าของโรงแรมอยู่ไหม? ถามอะไรหน่อย”
“เอ๊ะ? คุณนาย ตกลงหรือไม่ตกลงกันแน่เนี่ย? คุณนายยังไม่บอกเลยว่าค่าตอบแทนชั่วโมงละเท่าไหร่? คิดหักเปอร์เซ็นต์ยังไง? พักผ่อนประจำเดือนเท่าไหร่? คุณนายบอกผมสิ ผมไม่ได้รับลูกค้าทุกคนนะ! คืนหนึ่งรับได้ไม่เกินสามคน!”
…
…
“ที่นี่แหละ…”
หลังจากมาถึงที่ที่เจสสิก้าพักอาศัยอยู่ เยี่ยเหยียนถึงได้รู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ แต่เขาก็ไม่ได้สอบถามในทันที แล้วตัดสินใจเดินตรงเข้าไปในห้องที่เจสสิก้าเช่าอยู่
เยี่ยเหยียนมองดูเครื่องมือที่ตั้งอยู่ในห้องรับแขก แล้วก็ขมวดคิ้ว พลางพูดอย่างคาดไม่ถึง “เธอแอบดักฟังห้องที่อยู่ข้างล่างนั่นนานเท่าไหร่แล้ว?”
ราวกับว่าเจสสิก้าก็รู้ว่าเยี่ยเหยียนจะถามแบบนี้ จึงหยิบภาพหมู่ใบหนึ่งออกมาจากแฟ้มเอกสาร “นี่คือสิ่งที่ฉันหาเจอที่นี่ก่อนที่คนของสำนักงานใหญ่จะไปอพาร์ตเมนต์ของนาย”
เยี่ยเหยียนรับมา ดูรูปแวบหนึ่งในภาพยังมีลั่วชิวที่ดูเด็กๆ อยู่ด้วย เขาใส่รูปลงไปในกระเป๋าเสื้อคลุม แล้วถึงพูดขึ้น “ดูท่าเธอก็ไม่ได้เชื่อในโชคเสียทีเดียวนะ”
เจสสิก้านั่งลงแล้วตอบ “อย่างน้อยที่สุดมันก็ให้แรงบันดาลใจบางอย่างกับฉัน”
เยี่ยเหยียนพยักหน้า ในเมื่อเลือกจะเชื่อเจสสิก้าไปก่อน ก็ไม่ควรเพิ่มเรื่องให้มีปากเสียงกัน แต่เขาก็ยังคงพูดเน้นว่า “คนที่อาศัยอยู่ชั้นล่าง เป็นผู้มีพระคุณของฉัน ครอบครัวของอาจารย์ กลับมาครั้งนี้ ฉันแค่กินข้าวกับพวกเขามื้อหนึ่ง พวกเขาไม่รู้เรื่องของฉันทั้งนั้น ดังนั้นฉันไม่อยากให้เรื่องของฉันต้องไปพัวพันกับพวกเขาสักนิดเดียว”
“ขอโทษนะ ฉันไม่มีทางเลือกจริงๆ ถึงได้ทำแบบนี้ ฉันไม่ได้คิดจะทำอะไรกับคนใกล้ชิดข้างกายนายเลย ตอนนี้ก็หานายเจอแล้ว ฉันจะหาเวลาเก็บของที่เอามาจากห้องข้างล่างไปให้หมด”
เยี่ยเหยียนส่ายหน้า ราวกับว่าไม่คิดจะพูดถึงเรื่องนี้ต่อ
ทันใดนั้นเจสสิก้าก็ล้วงหยิบโทรศัพท์ออกมา
เยี่ยเหยียนขมวดคิ้ว “เธอคิดจะทำอะไร?”
เจสสิก้าสะดุ้งโหยง ก่อนรีบอธิบาย “สบายใจได้ ฉันแค่อยากให้นายดูอะไรสักหน่อยเท่านั้นเอง นี่เป็นสิ่งที่ฉันเจอตอนติดตั้งเครื่องดักฟังในห้องข้างล่าง ฉันคิดว่านายน่าจะสนใจ”
เจสสิก้าเปิดโทรศัพท์มือถือ เปิดรูปหนึ่งให้ดู…ในรูปเป็นแซกโซโฟนอันหนึ่ง
“ขอโทษนะ ฉันลนลานเกินไปจริงๆ” เยี่ยเหยียนถอนหายใจ แล้วก็คว้าโทรศัพท์ในมือเจสสิก้ามา จ้องมองรูปเครื่องดนตรีชนิดนี้ด้วยความคิดถึงสุดๆ “เป็นของที่ฉันให้ลูกชายของอาจารย์ฉันเอง นานมากแล้ว เมื่อก่อนเด็กนั่นบอกฉันว่าตอนฉันเป่าเจ้านี่ดูเท่มากเลยล่ะ”
เจสสิก้าพูดอย่างแปลกใจ “ฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลย ว่านายเล่นเครื่องดนตรีแบบนี้ได้ด้วย”
เยี่ยเหยียนยิ้ม แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เขาสำรวจพิจารณาการตกแต่งของห้องนี้ไปตามอำเภอใจ ทันใดนั้นก็รู้สึกหน้ามืดเล็กน้อย ตัวของเขาพลันก้าวถอยหลังไปหลายก้าว จำต้องค้ำตู้ที่อยู่ข้างๆ ไว้ถึงฝืนยืนตรงได้
อาการหน้ามืดแบบนี้ กินเวลาเกือบจะสองสามวินาทีสั้นๆ ก็ราวกับมาถึงขีดสุดแล้ว เยี่ยเหยียนมองเจสสิก้าตามสัญชาตญาณ “เธอ…”
เรื่องที่นายปกปิดไว้มีมากเกินไปแล้ว ตั้งแต่ออกจากโรงแรมจนมาถึงที่นี่ นายเตรียมป้องกันฉันมาโดยตลอด…นายไม่เชื่อฉันตั้งแต่แรกแล้ว” เจสสิก้าถอนหายใจ “บนโทรศัพท์มีสารทำให้สลบ…ขอโทษนะ”
“เจสสิก้า…”
พลั่ก!
เยี่ยเหยียนล้มลงไปบนพื้น
เจสสิก้าค่อยๆ นั่งยองๆ ลงไป จัดแจงผมที่ยุ่งเหยิงเล็กน้อยของเยี่ยเหยียน “ความรู้สึกคืออาวุธที่ร้ายกาจที่สุด เมื่อก่อนนายเคยสอนฉันไงล่ะ นายลืมแล้วเหรอ…”
…
“เจ้าของโรงแรม ถามเรื่องหนึ่งสิ”
นี่เป็นโรงแรมแห่งที่เจ็ดแล้ว เหลาสู่เฉียงกลอกตามองเริ่นจื่อหลิงอยู่ด้านหลัง…ทำไมผู้หญิงคนนี้ถึงได้แรงดีขนาดนี้นะ?
อาจเพราะไม่มีผู้ชายนั่นแหละ ก็เลยไม่มีที่ระบายอารมณ์ จนกลายร่างเป็นพวกบ้างานงั้นเหรอ? เหลาสู่เฉียงก็เลยนั่งคล้ายๆ กับนอนอยู่บนโซฟาที่หน้าประตูเคาน์เตอร์โรงแรมเล็กๆ
เจ้าของโรงแรมที่อ่านหนังสือพิมพ์อยู่มองมาแวบหนึ่ง “ชั่วโมงละร้อยห้าสิบ ค้างคืนสองร้อยสามสิบ มัดจำสองร้อย มีแต่เตียงเดี่ยว ถุงยางอนามัยที่ห้องอันละสิบหยวน”
บ้าเอ๊ย…ฉันเป็นผู้หญิงที่คิดจะออกมาทำเรื่องแบบนั้นเหรอ? นี่มันครั้งที่เท่าไหร่แล้ว?
แต่ว่ารองบรรณาธิการเริ่นยังคงอดกลั้นอารมณ์โกรธไว้ ตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ไม่ใช่ค่ะ แค่จะถามคุณว่า เคยเห็นคนนี้บ้างหรือเปล่า”
เธอกดเปิดรูปในโทรศัพท์ให้ดู
เจ้าของโรงแรมจ้องดูแวบหนึ่ง แล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์ต่อไป “ไม่รู้ ถ้าไม่พักที่นี่ ก็ไปเถอะ ฉันไม่ว่าง”
เริ่นจื่อหลิงเลิกคิ้ว พอได้ยินเจ้าของร้านพูดแบบนี้ ก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาทันที เธอยิ้มแล้วบอกว่า “ห้าร้อย!”
“ไปเถอะ อย่ามายุ่งกับฉัน”
“หนึ่งพัน” เริ่นจื่อหลิงกลอกตา
“เธอเห็นฉันเป็นคนแบบไหน? ฉันอาซูเปิดกิจการที่นี่มายี่สิบกว่าปี ความน่าเชื่อถือมาเป็นอันดับแรก! ไม่เห็นป้ายร้านที่หน้าประตูเหรอ? โรงแรมเหอผิง*!”
“สามพัน”
“บ้าเอ๊ย! มีเงินแล้วก็คิดว่าเจ๋งเหรอ? ไสหัวไป!”
รองบรรณาธิการเริ่นยื่นมือชี้ไปที่เจ้าของโรงแรมคนนี้ แล้วห้านิ้วก็เหยียดเรียงชิดกัน มือที่ทำรูปมีดทุบตุ๊กตาแมวนางกวักที่วางอยู่ข้างๆ แตกกระจุยในพริบตา ยังไม่ทันที่ตาจะกะพริบเลยด้วยซ้ำ
เหลาสู่เฉียงที่นั่งเป็นอัมพาตอยู่ด้านหลังถอนหายใจ ทันใดนั้นก็จำได้ถึงความอัปยศเมื่อถูกผู้หญิงคนนี้ที่บอกว่าตนเองฝึกจิตพัฒนาใจทำให้ต้องกล้ำกลืนฝืนทนต่อความลำบากและคำว่ากล่าว รวมทั้งความหวาดกลัวที่ถูกควบคุมเมื่อหลายปีก่อน
แต่ตอนที่มองคนอื่น…ทำไมถึงได้เปรี้ยวเข็ดฟันถูกใจแบบนี้ล่ะ?
เจ้าของโรงแรมนั่นสะดุ้งตกใจ กลับเห็นอีกฝ่ายยื่นมือชี้มาทางตนเอง แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มกำหมัดอย่างช้าๆ …ข้อมือแม่แกสิ ไม่คิดว่าจะมีเสียงเพี๊ยะๆ ดังออกมา
“เคยเห็นผู้ชายคนนี้ไหม?” รองบรรณาธิการเริ่นพูดเน้นชัดๆ ทีละคำ
“สาม ห้องสามศูนย์สอง…แต่ว่า แต่ว่าคนนั้นออกไปก่อนหน้านี้สักพักแล้ว ตอนนี้ไม่อยู่”
*เหอผิง แปลว่า สงบสุข สันติ