ตอนที่ 284 องค์กรอักขระ / ตอนที่ 285 เปลี่ยนใจไปรักคนอื่น

(Yaoi) เดิมพันอันตรายคุณชายจอมเจ้าเล่ห์

ตอนที่ 284 องค์กรอักขระ 

 

 

           เพียงแป๊บเดียวลิฟต์ก็ลงมาถึงที่ชั้นหนึ่ง เจียงมู่เฉินเดินออกจากลิฟต์ไปในทันใด เดินไปหยุดที่ข้างกายซังจิ่ง 

 

 

           “ไปกันเถอะ” 

 

 

           ซังจิ่งเห็นเจียงมู่เฉิน “ทำธุระเสร็จแล้ว?” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้า “จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปกันเถอะ” 

 

 

           เวลานี้เองทั้งสองคนถึงได้เดินจากไป 

 

 

           ชายชาวอเมริกันคนนั้นที่อยู่ด้านหลังมองตามแผ่นหลังของเจียงมู่เฉินและซังจิ่งไป เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย หยิบมือถือออกมา 

 

 

           “ซือเหยี่ยน ฉันเห็นเจียงมู่เฉินแล้ว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกำลังขับรถอยู่ ได้ยินคำพูดของไมเคิลก็ขมวดคิ้ว “เห็นอยู่ที่ไหน” 

 

 

           “โรงพยาบาล ตอนที่ฉันไปเยี่ยมเพื่อนแล้วออกมา ก็เจอเขาในลิฟต์พอดี” ไมเคิลหยุดอยู่ครู่หนึ่ง “เขาไม่รู้จักฉันแล้วจริงๆ” 

 

 

           มือซือเหยี่ยนที่จับพวงมาลัยออกแรงเล็กน้อย “ถ้าเขารู้จักนาย นั่นถึงจะไม่ปกตินะ” 

 

 

           “ไม่ใช่ ที่ฉันโทรหานาย ไม่ได้อยากจะพูดเรื่องนี้” ไมเคิลรีบเอ่ยต่อ “เขาไม่ได้มาคนเดียว ข้างกายเขายังมีผู้ชายอีกคนหนึ่ง” 

 

 

           ซือเหยี่ยนได้ยินเขาพูดมาแบบนี้ ก็รู้ประมาณหนึ่งแล้วว่าคนที่ไมเคิลพูดถึงคือซังจิ่ง 

 

 

           “ฉันรู้” 

 

 

           “ซือเหยี่ยน ในเมื่อนายรู้ว่าเขาอยู่ข้างกายเจียงมู่เฉิน ทำไมนายถึงไม่ขัดขวาง ยังปล่อยให้พวกเขาอยู่ด้วยกันอีก” ไมเคิลร้องตะโกนเสียงดังอย่างไม่กล้าจะเชื่อได้ 

 

 

           “หมายความว่าไง” 

 

 

           “นายรู้จักองค์กรอักขระที่มีชื่อเสียงระดับสากลไหม ก็คือที่ทำงานเพื่อเงินโดยเฉพาะ” ไมเคิลคิดย้อนกลับไป “เมื่อก่อนฉันเคยเข้าไปครั้งหนึ่ง ข้างในมีคนหนึ่งที่หน้าตาเหมือนกับคนคนนั้นที่อยู่ข้างกายเจียงมู่เฉินมาก” 

 

 

           เอี๊ยด! เสียงเบรกรถแสบหูดังขึ้นมาระลอกหนึ่ง ซือเหยี่ยนกำพวงมาลัยรถแน่น “องค์กรอักขระ?” 

 

 

           “ก็คือมีคดีอะไรก็รับหมด เรื่องอะไรก็จัดการให้ได้ทุกอย่าง ขอเพียงแต่ราคาเป็นที่พอใจ พวกเราก็รับทำหมด…เจียงมู่เฉินไปทำใครที่ไหนไม่พอใจหรือเปล่า ทำไมแม้แต่เขาถึงลงมาปฏิบัติการได้” ไมเคิลค่อนข้างเคลือบแคลงใจสงสัย ‘วี’ คนนี้เองก็รับภารกิจน้อยมากอยู่แล้ว 

 

 

           ซือเหยี่ยนคิ้วขมวดผูกปมกันแน่น “ตอนนี้นายอยู่ที่ไหน” 

 

 

           “โรงพยาบาล” 

 

 

           “ไปที่ที่เราเจอกันเป็นประจำ ฉันจะไปรอนายที่นั่น คุยกันต่อหน้า” 

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่พูดพร่ำทำเพลงหักหัวรถกลับทันที ไปเจอไมเคิล ถ้าซังจิ่งเป็นคนในองค์กรอักขระจริงๆ เช่นนั้นเจียงมู่เฉินก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว 

 

 

           หัวใจเขาถูกบีบอัด อดจะเร่งความเร็วเหยียบคันเร่งไม่ได้ รถพุ่งทะยานมุ่งหน้าไปสถานที่นัดเจอเดิม 

 

 

           ซือเหยี่ยนจอดรถลวกๆ หน้าทางเขา ลงจากรถแล้วก็ตรงเข้าไปในร้านกาแฟทันที 

 

 

           เขาเข้าไปห้องที่อยู่ชั้นในสุดอย่างคุ้นชินเส้นทาง ไมเคิลรออยู่ข้างในก่อนแล้ว 

 

 

           ไมเคิลเห็นเขาก็รีบเอ่ยถามทันที “เจอกันตอนนี้ จะกระทบนายหรือเปล่า” 

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่มีเวลาจะมาสนใจเรื่องกระทบไม่กระทบอะไรแล้ว ตอนนี้สำหรับเขา เจียงมู่เฉินสำคัญกว่า 

 

 

           “ไม่เป็นไร ฉันจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ทำให้สงสัยได้หรอก” ซือเหยี่ยนเอ่ยถามตรงๆ “คนคนนั้นที่นายว่าคือเขาเหรอ” 

 

 

           เขาส่งมือถือต่อให้ เอารูปซังจิ่งให้เขาดู 

 

 

           ไมเคิลกวาดสายดูอย่างละเอียด ยืนยันว่าคนที่เขาเจอที่โรงพยาบาลวันนี้เป็นคนเดียวกัน 

 

 

           “เมื่อก่อนฉันเคยเจอวีครั้งหนึ่งอยู่ในระยะไกล เหมือนซังจิ่งคนนี้มาก ดังนั้นตอนนี้ฉันเพียงแค่คาดคะเนว่าซังจิ่งคนนี้ก็คือวี” 

 

 

           ซือเหยี่ยนขมวดคิ้ว “แบบนี้ นายช่วยฉันตรวจสอบซังจิ่งคนนี้หน่อยแล้วกัน ถ้ายืนยันได้แน่นอนว่าเขาก็คือคนคนนั้น รีบบอกฉันทันที” 

 

 

           ไมเคิลสีหน้าเคร่งขรึมคิดใคร่ครวญดู “ตั้งแต่นายพูดเรื่องเขาซังจิ่งกับฉันเมื่อครั้งก่อนจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ถ้าเขาเป็นวีล่ะก็ เป็นไปไม่ได้ที่จนถึงตอนนี้จะยังไม่ลงมือ…แบบนี้ ฉันสืบเรื่องซังจิ่งอีกครั้ง นายก็อย่าร้อนใจไป รอฉันแน่ใจก่อน” 

 

 

           ซือเหยี่ยนไตร่ตรอง “นายช่วยฉันจับตาดูซังจิ่ง ขอเพียงแต่มีความผิดปกติอะไรก็ตาม รีบบอกฉันทันที” 

 

 

           “ตอนนี้กว่านายจะได้รับความไว้วางใจจากพวกเขาไม่ใช่ง่ายๆ นายอย่าเข้ามายุ่งเรื่องนี้จะดีที่สุด ถ้าซังจิ่งคือวีจริงๆ อยู่ข้างกายเจียงมู่เฉินมาตั้งนานขนาดนี้ไม่ได้ลงมือทำอะไรสักอย่าง ก็แสดงให้เห็นว่ายังไม่สามารถลงมือกับเจียงมู่เฉินได้ชั่วคราว” 

 

 

            

 

 

ตอนที่ 285 เปลี่ยนใจไปรักคนอื่น 

 

 

           ไมเคิลวิเคราะห์ “ดังนั้น สำหรับตอนนี้ เจียงมู่เฉินยังปลอดภัยอยู่” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกุมขมับ “ดูท่าทางตอนนี้จะทำได้เพียงแค่เร่งกระทำ จัดการปัญหาเรื่องแก๊งมังกรครามให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังจากนั้นค่อยมาจัดการปัญหาเรื่องซังจิ่ง” 

 

 

           ไมเคิลถอนหายใจ “ที่จริง ฉันกลับคิดว่านายเชื่อใจเจียงมู่เฉินได้ ต่อให้เขาสูญเสียความทรงจำไปแล้ว ก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ต่อให้พบเจอเหตุการณ์อะไรจริงๆ เขาก็อาจจะจัดการด้วยตัวเองได้” 

 

 

           ซือเหยี่ยนฝืนยิ้ม “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเขามีความสามารถ แต่พอคิดว่าในที่ที่ฉันมองไม่เห็น เขาได้รับบาดเจ็บ ฉันก็ทำใจไม่ได้” 

 

 

           “นายนี่นะ ยังคงปกป้องดูแลยกเจียงมู่เฉินเอาไว้ในหัวใจ” เขามองซือเหยี่ยนอย่างจริงจัง “จะว่าไป นายไม่คิดจะบอกเจียงมู่เฉินจริงๆ เหรอว่านายไม่ได้อยากจะเลิกกับเขาจริงๆ” 

 

 

           “บอกไม่ได้ ถ้าพูดไป เขาไม่มีทางยินยอมหรอก” 

 

 

           “แต่ว่า ตอนนี้นายเลิกกับเขา ก็เพื่อเขา ถ้าหากว่าช่วงเวลานี้เขาไปคบกับคนอื่นแล้ว ถึงเวลานั้นนายร้องไห้ก็ไม่ทันแล้วนะ” 

 

 

           ถึงอย่างไรก็เป็นคนที่เลิกกันแล้ว ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้เจียงมู่เฉินเก็บใจไว้ให้เขาไปตลอดชีวิต อีกอย่างไม่เอ่ยถึงอย่างอื่น คนอย่างเจียงมู่เฉินดึงดูดสายตาคนแบบนี้ คนที่ชอบเขาเยอะเกินไปแล้ว 

 

 

           ยากจะรับประกันว่าท่ามกลางคนมากมายเหล่านั้น จะถูกใจใครสักคนสองคน 

 

 

           ซือเหยี่ยนกลับไม่กังวลจุดนี้เลย มองไมเคิลด้วยความมั่นใจในตัวเองมากทีเดียว “วางใจเถอะ เขาเปลี่ยนใจไปรักคนอื่นไม่ได้หรอก” 

 

 

           ไมเคิลเลิกคิ้ว “มั่นใจขนาดนี้เชียว” 

 

 

           ซือเหยี่ยนยิ้มหัวเราะเล็กน้อย “ตอนนั้นที่เขาจำฉันไม่ได้ ก็ไม่ได้เคยไปคบกับใคร ตอนนี้มาขึ้นเรือลำนี้ของฉันแล้ว ก็อย่าคิดจะลงจากเรือไปอีกเลย” 

 

 

           ไมเคิลเห็นสีหน้าท่าทางของซือเหยี่ยนแล้วก็ขบกรามเงียบๆ รู้สึกว่าสีหน้าอารมณ์บนใบหน้าซือเหยี่ยนชักจะดูกวนๆ ชอบกล 

 

 

           ‘ถ้าเจียงมู่เฉินหนีไปแล้ว ไม่ลงเอยกับเขาแล้ว คอยดูว่าเขาจะคุยโวอย่างใจเย็นขนาดนี้ได้ยังไงอยู่’ 

 

 

           หลังจากที่ซือเหยี่ยนพบปะกับไมเคิลเสร็จเรียบร้อย ก็ออกจากร้านกาแฟไปรับซูเตอร์ 

 

 

           ซูเตอร์อยู่ที่ตึกเกรทออเนอร์รอเขา ซึ่งที่นั่นคือหนึ่งในอสังหาริมทรัพย์ของแก๊งมังกรครามด้วยเช่นกัน วันนี้ซูเตอร์รีบมาประชุมตั้งแต่เช้า ยุ่งอยู่ทั้งวัน 

 

 

           ถ้าไม่อย่างนั้นเขาก็จะปลีกตัวไปหาไมเคิลไม่ได้เลย 

 

 

           เขาขับรถมาจอดที่ใต้ตึกแล้วโทรหาซูเตอร์ ผ่านไปไม่กี่นาทีคนก็เดินออกมาจากข้างใน 

 

 

           ซูเตอร์ขึ้นรถแล้วก็เอ่ยถาม “เหยี่ยน แถวๆ นี้มีร้านอาหารเปิดใหม่ ฉันให้คนจองที่ไว้แล้ว ไปกินข้าวด้วยกันแล้วค่อยกลับไปกันนะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนพยักหน้ารับ “ได้” 

 

 

           ซูเตอร์ยกมุมปากขึ้นแล้วหลุดขำ “นี่ถือเป็นครั้งแรกที่นายรับปากฉันโดยไม่ลังเลเลยนะ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนไม่ได้มีท่าทีตอบสนองอะไร นอกจากเอ่ยถามตรงๆ “อยู่ที่ไหน เอาที่อยู่ให้ผม” 

 

 

           หลังจากซูเตอร์บอกที่อยู่แล้ว ซือเหยี่ยนก็ขับรถมุ่งหน้าไปทันที 

 

 

           เขาเพิ่งจะจอดรถที่หน้าทางเข้าร้านอาหาร กำลังจะเตรียมตัวลงจากรถ ด้านข้างก็มีรถอีกคันแล่นมา จอดอยู่ข้างรถของพวกซือเหยี่ยนพอดี 

 

 

           เห็นเงาร่างของเขา มือซือเหยี่ยนที่กำลังจะเตรียมเปิดประตูก็ชะงักไปเล็กน้อย 

 

 

           ซูเตอร์เองก็ค่อนข้างแปลกใจอย่างชัดเจน “นึกไม่ถึงว่าอยู่ที่นี่จะยังเจอคุณชายเจียงได้ ถือว่ามีชะตาต่อกันจริงๆ” 

 

 

           ซือเหยี่ยนกำมือที่ค่อนข้างชาๆ ไว้แน่น เปิดประตูรถลงไป 

 

 

           ตำแหน่งของเขาอยู่ข้างหลังเจียงมู่เฉินพอดี นาทีที่เขาลงจากรถ เจียงมู่เฉินก็ได้พบตัวซือเหยี่ยนแล้ว 

 

 

           เขากวาดสายตามองซือเหยี่ยนแวบหนึ่งด้วยใบหน้าเย็นชา ไม่พูดอะไรสักคำ ราวกับเป็นคนแปลกหน้ากันอย่างไรอย่างนั้น 

 

 

           กลับเป็นซูเตอร์ที่เอ่ยปากก่อน “คิดไม่ถึงว่าจะมีชะตาต่อกันขนาดนี้ มากินข้าวก็ยังเจอคุณชายเจียงได้” 

 

 

           เจียงมู่เฉินยกมุมปากขึ้นอย่างเย็นยะเยือก “ใครจะว่าไม่ใช่ ฉันชักจะสงสัยแล้วว่านายติดจีพีเอสที่ตัวฉันหรือเปล่า” 

 

 

           ซังจิ่งออกมาจากฝั่งที่นั่งคนขับ เดินมาอยู่ที่ข้างกายเจียงมู่เฉิน “ไปกันเถอะ หิวแล้วไม่ใช่เหรอ เข้าไปกินข้าวกันก่อนเถอะ” 

 

 

           เจียงมู่เฉินพยักหน้ารับ “อืม เข้าไปกัน” 

 

 

           ซูเตอร์เห็นพวกเขาทั้งสองคนทำท่าทีเมินเฉยไม่สนใจตัวเอง ก็อดจะกำมือแน่นไม่ได้ เขาเห็นทั้งสองคนเตรียมจะเดินเข้าไป จึงพูดเสียงดัง “ในเมื่อรู้จักกันหมด มาร่วมโต๊ะกินข้าวด้วยกันก็ได้นะ”