ตอนที่ 616 การต่อสู้ในวังหลัง
“นี่คืออันใด ? ” จู่ ๆ ฮ่องเต้ก็เห็นว่าบนตัวขององค์ชายมีจุดสีแดงขึ้นมา พระองค์จึงยื่นพระหัตถ์ออกไปสัมผัส ทันทีที่สัมผัสโดนจุดสีแดงนั้นองค์ชายน้อยก็เกิดร้องขึ้นมาเสียงดัง “อุแว้…” ฮ่องเต้ได้ยินก็ชะงักไปครู่ใหญ่ เฉินเจียอวี๋จึงเดินเข้ามาเปิดห่อผ้าออกก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เห็นเพราะทั่วทั้งกายขององค์ชายน้อยเต็มไปด้วยจุดสีแดงนับมิถ้วน
“เด็กเด็ก ! ไปตามหมอหลวงมา ! ” กว่าที่ฮ่องเต้จักมีองค์ชายน้อยพระองค์นี้ได้มิง่ายเลย พระองค์มิยอมให้เกิดอันใดขึ้นกับองค์ชายเด็ดขาด
ทว่าคนที่ร้อนใจยิ่งกว่าเห็นจะเป็นเฉินเจียอวี๋ หากบุตรคนนี้เป็นอันใดไปล่ะก็ ฝ่าบาทต้องมิปล่อยนางไว้แน่ ใบหน้าของนางจึงเต็มไปด้วยความร้อนรน
หลังจากนั้นมินานหมอหลวงก็มาถึง ขณะกำลังถวายพระพรก็ถูกฮ่องเต้ห้ามไว้ก่อน “มิต้อง ! รีบมาดูองค์ชายน้อยของข้าเร็ว ! ”
ตอนนั้นเองจึงทำให้หมอหลวงเสียการทรงตัวจนล้มลง จากนั้นจึงรีบคลานเข้าไปดูพระอาการขององค์ชายน้อย ฮ่องเต้ก็รีบส่งองค์ชายน้อยให้หมอหลวงทันที “เจ้ารีบตรวจอาการให้องค์ชายเร็วเข้า บนตัวมีจุดแดงขึ้นเต็มไปหมด”
ก่อนหน้านี้พระองค์ทรงปลอบองค์ชายน้อยอยู่นานกว่าจักเงียบลงได้ แต่ก็ยังสะอึกสะอื้นมิหยุดจึงทำให้ฝ่าบาทกังวลมิน้อย
หมอหลวงรับองค์ชายน้อยมาอย่างระมัดระวัง ก่อนคลี่ห่อผ้าออกเผยให้เห็นผิวกายของทารกด้านใน หลังสำรวจอย่างละเอียดก็คลุมห่อผ้าดังเดิมแล้วคืนองค์ชายน้อยให้ฝ่าบาทพร้อมส่ายหน้า
จากนั้นก็รีบหยิบพู่กันขึ้นมาเขียนใบสั่งยาทันที ฝ่าบาทจึงตรัสถามหมอหลวงอย่างเคร่งขรึม “เป็นอย่างไรบ้าง ? องค์ชายน้อยเป็นอันใดแน่ ! ”
“ทูลฝ่าบาท นี่เป็นเพราะการดูแลมิดีพ่ะย่ะค่ะ ทารกแรกเกิดนั้นเดิมทีก็อ่อนแออยู่แล้ว ดังนั้นคนที่ดูแลควรระมัดระวังให้มาก มิเช่นนั้นหากประมาทก็อาจเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นได้พ่ะย่ะค่ะ” ใบหน้าของหมอหลวงเต็มไปด้วยความระอา ทุกคำพูดของเขาล้วนเป็นการตำหนิเหล่าคนที่ดูแลองค์ชายน้อย
ฝ่าบาทได้ยินจึงกริ้วอย่างมาก “ผู้ใดดูแลองค์ชายน้อย ! ”
พระองค์ทรงทะนุถนอมเสียยิ่งกว่าสิ่งใด แต่เพราะพวกบ่าวรับใช้ประมาทเลินเล่อจึงทำให้องค์ชายน้อยเป็นเช่นนี้ ดีที่ครั้งนี้เป็นแค่ผื่นแดง หากครั้งหน้าเป็นอันตรายถึงชีวิต…ต่อให้พวกมันมีอีกสิบชีวิตก็มิพอที่จักชดใช้ !
ตอนนั้นก็มีนางกำนัลคนหนึ่งเดินตัวสั่นออกมา ก่อนจะคุกเข่าลงตรงหน้าพระพักตร์ของฮ่องเต้ ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว แม้แต่ขอความเมตตายังมิกล้าเอ่ยซึ่งฮ่องเต้ย่อมมิได้มอบโอกาสให้นางร้องขอสิ่งใด ทรงออกคำสั่งทันที “เด็กเด็ก ลากนางกำนัลผู้นี้ออกไปประหาร ! ” ฮ่องเต้ไร้ความเมตตาและไม่เปิดโอกาสให้นางร้องขอชีวิต
นางกำนัลผู้นั้นยังมิทันตั้งตัวก็ถูกลากออกไปเสียแล้ว นางกำนัลที่เหลือต่างก็คุกเข่าลงด้วยตัวสั่นเทา โทสะของฮ่องเต้หาใช่สิ่งที่ผู้ใดรับไหว
เฉินเจียอวี๋ก็ตกใจจนหน้าซีดเผือด ในที่สุดฮ่องเต้ก็หันมาทอดพระเนตรที่เฉินเจียอวี๋ด้วยสีพระพักตร์ที่อ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย ทว่าสุรเสียงยังแฝงไว้ด้วยความมิพอใจ “เจ้าดูแลบุตรชายของข้าเช่นไร หากเขาเป็นอันใดไป มารดาเยี่ยงเจ้าก็ยากที่จะพ้นผิดได้”
เฉินเจียอวี๋รีบคุกเข่าลงอย่างสำนึกผิด “หม่อมฉันผิดไปแล้วเพคะ หม่อมฉันมิเคยมีลูกมาก่อน ดังนั้น…ดังนั้นจึงดูแลเด็กไม่เป็น แต่หม่อมฉันจะตั้งใจเรียนรู้ให้มากกว่านี้เพคะ”
นางแก้ตัวทั้งน้ำตา ฝ่าบาทเห็นดังนั้นก็มิอยากตำหนินางอีก ทว่าภายในหทัยก็ยังขัดเคืองอยู่มิน้อย
ฝั่งหลี่กุ้ยเฟยก็ได้ทราบข่าวเรื่องของเฉินเจียอวี๋เช่นกัน นางรู้ว่าเฉินเจียอวี๋เพิ่งเป็นแม่คนย่อมดูแลบุตรมิเป็น นางจึงไปหาฮ่องเต้เพื่อปรึกษาเรื่องนี้
“หลี่กุ้ยเฟยมีธุระอันใดหรือ ? ” ฮ่องเต้เพิ่งกลับมาจากตำหนักของเฉินเจียอวี๋ก็ตรงไปที่ห้องทรงพระอักษรทันที แต่มิคิดว่าหลี่กุ้ยเฟยจักมาหาพอดี
หลี่กุ้ยเฟยคำนับฮ่องเต้อย่างสง่างาม ก่อนสั่งให้นางกำนัลนำซุปเม็ดบัววางไว้แล้วเดินเข้าไปหาพร้อมน้ำเสียงนุ่มนวล “ฝ่าบาททรงยุ่งเรื่องราชการ หม่อมฉันจึงตุ๋นซุปเม็ดบัวมาถวาย ฝ่าบาทเสวยแล้วจักได้คลายความเหนื่อยล้าลงบ้างเพคะ”
ฮ่องเต้ได้ยินดังนั้นก็วางฎีกาในพระหัตถ์ลงแล้วแย้มพระโอษฐ์ให้นางอย่างผ่อนคลาย “ขอบใจเจ้ามาก วางซุปเม็ดบัวไว้ตรงนั้นก่อนแล้วกัน อีกประเดี๋ยวข้าค่อยทาน” จากนั้นพระองค์ก็ก้มลงตรวจฎีกาต่อ
“ฝ่าบาทเพคะ…” หลี่กุ้ยเฟยกล่าวออกมาอย่างลังเลจนในที่สุดฝ่าบาทก็เงยพระพักตร์ขึ้นอีกครั้งแล้วถามนางด้วยรอยยิ้ม “หลี่กุ้ยเฟยมีอันใดจักกล่าวหรือ ? ” ท่าทางของพระองค์ราวกับรู้ความในใจของนางก็มิปาน
ตอนนั้นเอง จู่ ๆ นางก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแต่มินานก็สงบลงอีกครั้ง นางเอ่ยขึ้นว่า “หม่อมฉันได้ยินว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเจียอวี๋…”
ฮ่องเต้ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ก็ตรัสว่า “ใช่ องค์ชายน้อยของข้าเกือบประชวรเพราะนางกำนัลดูแลมิดี แต่ข้าสั่งประหารนางกำนัลคนนั้นไปแล้ว คนที่กล้าทำร้ายองค์ชายย่อมสมควรตาย ! ” ยามที่ตรัสประโยคนี้ออกมาดวงเนตรของพระองค์ก็ทอประกายชั่วร้าย
หลี่กุ้ยเฟยก็ตกใจมิน้อย นางพยายามฝืนทำตัวให้นิ่งเข้าไว้แล้วรีบเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “คิดแล้วเจียอวี๋เพิ่งเป็นแม่คนครั้งแรก แม้ก่อนหน้านี้นางเคยเป็นพี่เลี้ยงมาก่อน ทว่าประสบการณ์ยังถือว่าน้อยมาก หม่อมฉันจึงมีคำแนะนำมาทูล มิทราบว่าฝ่าบาทจักเห็นด้วยหรือไม่เพคะ ? ”
“หืม ? ลองกล่าวมาสิ” ราวกับพระองค์สนใจในคำแนะนำของนางมิน้อย
“เมื่อเป็นเช่นนี้มิสู้ฝ่าบาทประทานองค์ชายน้อยให้หม่อมฉันเป็นคนเลี้ยงดู ดีหรือไม่เพคะ ? ประการแรกจักได้เป็นการแบ่งเบาภาระให้แก่เจียอวี๋ ประการที่สองหม่อมฉันมีประสบการณ์เลี้ยงเด็ก หากประทานให้หม่อมฉันดูแลก็จักมิให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นอย่างแน่นอนเพคะ”
แต่…
…
เฉินเจียอวี๋กำลังพักผ่อนอยู่บนเตียง ดวงตาทั้งสองข้างหลับสนิท จู่ ๆ ก็มีนางกำนัลวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา
นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์มิดีขึ้นมาทันที ก่อนลืมตาและหันไปมองนางกำนัลด้วยความโมโหแล้วเอ่ยตำหนิเสียงเข้ม “เจ้าทำอันใด ? ไร้มารยาทสิ้นดี ! ”
“ขอประทานอภัยด้วยเจ้าค่ะ…” นางกำนัลยืนหอบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนคำนับอย่างนอบน้อมและเพราะความกลัวจึงทำให้ร่างกายของนางสั่นเล็กน้อยในตอนที่เอ่ยประโยคต่อมา “บ่าวมาแจ้งข่าวเจ้าค่ะ ได้ยินว่าหลี่กุ้ยเฟยขอฝ่าบาทประทานองค์ชายให้นางเป็นคนดูแลเจ้าค่ะ”
“ว่าอย่างไรนะ ? ” หัวใจของนางบีบรัดขึ้นมา ก่อนลุกขึ้นนั่งหลังตรง “องค์ชายเป็นบุตรของข้า อย่าได้หวังว่านางจักมาแย่งไปได้ ! ”
เฉินเจียอวี๋ยื่นมือออกไป นางกำนัลจึงรีบเข้ามาประคองทันที
“ไป ข้าจักไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท”
เพียงมินานฮ่องเต้ก็เห็นนางเดินเข้ามา พระองค์ทราบถึงสาเหตุที่นางมาครั้งนี้ดี เพียงแต่มิได้ตรัสออกมาก่อนเท่านั้น
“เจ้าเพิ่งคลอดลูกได้มินาน เหตุใดมิพักผ่อนอยู่ที่ตำหนัก ? เดินไปเดินมาเช่นนี้ระวังป่วยเอาได้” ฝ่าบาทวางฎีกาในพระหัตถ์ลง ซึ่งประโยคที่ตรัสออกมาก็แฝงไว้ด้วยความกังวล
ดวงตาของเฉินเจียอวี๋คลอไปด้วยหยาดน้ำตา ก่อนพิงไปที่พระวรกายของฝ่าบาทพร้อมเอ่ยอย่างออดอ้อน “ฝ่าบาทเพคะ หากหม่อมฉันยังอยู่ในตำหนักโดยมิออกมา เช่นนั้นลูกของหม่อมฉันก็ต้องถูกแย่งไปแน่เพคะ”
กล่าวจบ นางก็หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาพลางก้มหน้าซับน้ำตา
ฝ่าบาทยกพระหัตถ์ขึ้นตบที่หลังของนางเบา ๆ อย่างปลอบโยน “เจ้าทราบเรื่องหลี่กุ้ยเฟยแล้วหรือ ? ”
“เพคะ” นางสูดลมหายใจเข้า “หม่อมฉันรู้ดีว่าดูแลองค์ชายได้มิดีพอ แต่หม่อมฉันก็มิได้ตั้งใจ อย่างไรเสียองค์ชายก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของหม่อมฉันนะเพคะ”
ฝ่าบาททอดพระเนตรนาง “เจ้าคงมิอยากแยกจากองค์ชายใช่หรือไม่”
ดวงตาของนางเปล่งประกายทันที แต่ก็ยังเก็บซ่อนเอาไว้หลังม่านน้ำตาได้อย่างแนบเนียน ฮ่องเต้ตรัสถึงเพียงนี้แล้วนางต้องเป็นฝ่ายชนะอย่างแน่นอน