ส่วนที่ 5 ตอนที่ 2-1 ชาติก่อนชาตินี้

จารใจรัก [ส่วนที่ 5]

หากพิจารณาตามการเปลี่ยนสีหน้าเร็วกว่าพลิกหน้าตำรา ถ้าในปัจจุบันท่านอ๋องน้อยเจิงครองที่สอง ก็ไม่มีผู้ใดกล้าครองที่หนึ่ง 

 

 

           แน่นอนว่าเขาเองก็มิได้เกิดโทสะง่ายๆ เช่นกัน 

 

 

           หากแต่เซี่ยฟางหวาเอ่ยประโยคเดียวก็ทำให้เขาข่มโทสะไม่ไหวอย่างง่ายดาย 

 

 

           บนโลกนี้นอกจากนางก็ไม่มีผู้ใดทำได้อีกแล้ว 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองสีหน้าของเขาที่แปรเปลี่ยนโดยพลัน ตัวเขาราวกับมีเมฆครึ้มปกคลุม แสดงท่าทางแทบอยากจะกลืนกินนางด้วยความโหดเ**้ยม โทสะในใจนางคลายลงเล็กน้อย แสยะยิ้มเย็นกล่าวกับเขา  

 

 

“ฉินเจิง แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าเผด็จการอย่างหาใดเปรียบ ไม่เคยคำนึงถึงความยินยอมจากข้า หรือว่าเจ้าอยากให้พวกเราแค้นเคืองกันแบบนี้ กลายเป็นคู่รักคู่แค้นกันตลอดชีวิต” 

 

 

           ใบหน้าฉินเจิงเคร่งขรึมขึ้น 

 

 

           “ข้าไม่คิดว่าแค่พระราชโองการเดียวจะทำให้เจ้าเหนี่ยวรั้งข้าและความสัมพันธ์ของเราได้ อดีตฮ่องเต้สวรรคตไปแล้ว ก่อนสวรรคตยังกระทำเรื่องน่าขันเช่นนี้อีก ข้าว่าพระองค์อยากจะทิ้งความน่าอับอายไว้หมื่นปีจริงกระมัง” เซี่ยฟางหวาโยนพระราชโองการคืนให้เขา 

 

 

           ฉินเจิงรับพระราชโองการ เส้นเลือดเขียวบนหน้าผากเต้นตุบ 

 

 

           เซี่ยฟางหวาก้าวเท้าเดินออกไปข้างนอก 

 

 

           “เจ้าจะไปไหน” ฉินเจิงผละจากห้องครัวมาคว้ากายนาง  

 

 

           “ออกไป” เซี่ยฟางหวาตอบ 

 

 

           “เจ้าคิดว่าตัวเองจะทำลายค่ายกลนี้ได้หรือ จะออกไปได้หรือ” ฉินเจิงบีบข้อมือนางแน่น 

 

 

           “ถึงออกไปมิได้ มากสุดก็แค่ตายอยู่ในค่ายกลนี้” เซี่ยฟางหวากล่าว 

 

 

           โทสะของฉินเจิงพลุ่งพล่านในแววตา จ้องนางเขม็ง เนิ่นนานกว่าจะกัดฟันกล่าว “เจ้าดี ดีเหลือเกิน รู้ดีที่สุดว่าทำเช่นไรถึงจะยั่วโทสะข้าได้” หยุดชั่วครู่ก่อนลั่นวาจาแค้นเคือง “ถึงแม้เจ้าตายไปแล้วอย่างไร ก็ทำได้เพียงเป็นภรรยาข้าเช่นกัน ถูกฝังลงโลงไปพร้อมกับข้า อย่าได้คิดอีกว่ามิได้เกี่ยวข้องกับข้าแล้ว” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาหันมามอง เกิดโทสะด้วยเช่นกัน “ฉินเจิง เจ้ายังเป็นคนอยู่หรือไม่” 

 

 

           มรสุมในแววตาฉินเจิงคลายลงเชื่องช้า แก้วตาใสกลับคืนมา มองนางพร้อมเน้นย้ำทีละคำ “ข้ามิใช่คน หากข้าเป็นคน ปีนั้นคงไม่ยืนมองเจ้าไปเรียนวิชาที่เขาไร้นามโดยไม่เอ่ยห้าม เฝ้ารอมาแปดปี มิง่ายกว่าจะได้เห็นเจ้ากลับมา ทำทุกวิถีทางเพื่อกักเจ้าไว้ข้างกาย กลับยังทำให้เจ้าเติบโตมามีพรสวรรค์ ในทางกลับกันสิ่งที่ได้เรียนรู้มาล้วนเป็นดาบที่ใช้ปลิดหัวใจข้า ข้าควรขังเจ้าไว้ในกรงตั้งแต่คราแรก เลี้ยงเจ้าเป็นนกคีรีบูนเหมือนกับชาติก่อน…” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาตัวแข็งทื่อในบัดดล ใบหน้าเยือกเย็นทันใด “เจ้ามีความทรงจำชาติก่อนดังคาด และปิดบังข้ามาโดยตลอด” 

 

 

           ฉินเจิงเม้มปาก เงียบเสียงลง 

 

 

           “ข้าโง่เอง ถ้ามิใช่เจ้ามีความทรงจำชาติก่อน ไหนเลยจะรอข้ากลับมาจากเขาไร้นามตั้งแต่ยังอายุน้อยขนาดนั้น บอกกับข้าว่าเฝ้าถวิลหานับแปดปี ถ้ามิใช่…” เซี่ยฟางหวาตัวสั่นสะท้านขึ้นมา  

 

 

           “มิใช่แค่แปดปี สองชาติรวมเข้าด้วยกัน ล้วนทำให้เวียนกลับมาเกิดใหม่ได้” ฉินเจิงเอ่ยขัด 

 

 

           เซี่ยฟางหวามองเขา ร่างกายสั่นสะท้านยิ่งกว่าเดิม “เจ้าชอบข้าในชาติก่อน คิดหาทางเปลี่ยนข้ากลับไปเป็นอย่างเมื่อชาติก่อนทุกย่างก้าว แบบที่เติบโตมาในหอนอน ไม่รู้ความทางโลก คอยพึ่งพาเจ้า ชอบเจ้า เชื่อฟังเจ้า ไม่ต้องคิดมากพะว้าพะวง เพียงหลงใหลและรักแค่เจ้า…” 

 

 

           ฉินเจิงย่นหัวคิ้ว 

 

 

           เซี่ยฟางหวาสะบัดมือเขาออกอย่างแรง ถึงแม้ฉินเจิงจับไว้แน่น แต่ก็ต้านแรงมหาศาลภายใต้โทสะของนางมิได้ นางตะโกนอย่างเหลืออด “ฉินเจิง เจ้าเปิดตาดูให้กว้าง ข้ามิใช่เซี่ยฟางหวาคนนั้นอย่างในชาติก่อนอีกแล้ว ถึงแม้เจ้าใช้สารพัดวิธี ข้าก็มิอาจเปลี่ยนกลับไปเป็นแบบนั้นได้ เจ้าตัดใจเสียเถอะ” 

 

 

           “ใครอยากเปลี่ยนเจ้ากลับไปกัน เป็นเจ้าที่หลังความทรงจำกลับมา เดิมแก้ปมในใจตนเองมิได้ หากข้าอยากเปลี่ยนเจ้ากลับไปเป็นอย่างชาติก่อนจริงล่ะก็ ไฉนข้าถึงปล่อยเจ้าไปเขาไร้นาม” ฉินเจิงโกรธจัดแต่แค่นหัวเราะ  

 

 

           “เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าเจ้าไม่เคยคิดเปลี่ยนข้ากลับไปเป็นอย่างชาติก่อน” เซี่ยฟางหวามองเขา “ตั้งแต่ข้ากลับมาจากเขาไร้นาม เจ้าทำทุกวิถีทางเพื่อขังข้าไว้ในจวนอิงชินอ๋อง ทำให้ข้าเต็มใจเดินเข้าไปในกระดานหมากของเจ้า เจ้าหาคนมาสอนศิลปะทั้งสี่และงานเย็บปักถักร้อยให้ข้า เปลี่ยนข้ากลับไปเป็นบุตรีตระกูลใหญ่แบบในชาติก่อน ทว่าต่อมาเจ้าก็พบว่าข้ามิได้เหมือนชาติก่อนอีกแล้ว เจ้าอดทนไม่ไหวอีกต่อไป เจ้าทำลายค่ายกลประตูมังกรของอดีตฮ่องเต้จนได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ข้าทราบว่าคำสาปเผาใจบนตัวพี่อวิ๋นหลานกำเริบจึงออกจากวังหลวง ครั้นเจ้าทราบว่าข้ากับเขาพักด้วยกันก็บันดาลโทสะ ยิงธนูสามดอกใส่ข้า คิดอยากทอดทิ้งข้า…” 

 

 

           ฉินเจิงยิ่งโกรธทว่าก็ยิ้มออกมา คว้ามือนางมาจับไว้อีกครั้งเพื่อให้มองตน กล่าวอย่างข่มโทสะ “เจ้าช่างคิดแค้นกับเรื่องนี้ของข้าเหลือเกิน ลูกธนูสามดอกนั้นดูเหมือนว่าจะมิได้ทิ้งปมในใจข้า หากแต่สร้างปมในใจเจ้า ทำให้เจ้าไม่แม้แต่จะเชื่อข้าสักนิดนับแต่นั้นมา” 

 

 

           “จะให้ข้าเชื่อเจ้าได้อย่างไร เจ้ามีแต่อุบาย วางแผนตลอดเวลา ทุกๆ ก้าวล้วนเป็นไปตามหมากบนกระดาน มิใช่แค่ข้า แต่ทุกคนข้างกายข้าล้วนถูกดึงไปอยู่ในกระดานหมากของเจ้า…” เซี่ยฟางหวาโมโห  

 

 

           ฉินเจิงเม้มปาก “ข้าวางแผนมาหลายปีก็จริง แต่ความรู้สึกที่ข้ามีต่อเจ้านั้นเคยเปลี่ยนไปหรือไม่” 

 

 

           “ความรู้สึกที่เจ้ามีต่อข้ามิเคยเปลี่ยน สิ่งที่เจ้าต้องการเดิมมิใช่ข้า แต่เป็นเซี่ยฟางหวาที่โตมาในหอนอน รู้จักเพียงเรื่องประโลมโลก ไม่รู้จักโลกภายนอกคนนั้น…” เซี่ยฟางหวามองเขาด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ  

 

 

           ฉินเจิงถูกกระตุ้นโทสะอีกหน เขายื่นมือไปนวดศีรษะนางอย่างแรง กล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ข้าอยากผ่าสมองเจ้าออกมาดูนักว่าเจ้าคิดอะไรในหัวบ้าง หัวใจของเจ้าเป็นสีดำหรือไม่ ใช่จมอยู่กับปัญหาที่ไม่มีทางแก้จนแข็งทื่อไปหมดแล้วหรือไม่ ครั้นหาทางออกมิได้ก็เข้าใจข้าผิดขนาดนี้” 

 

 

           “สมองข้ากระจ่างแจ้งดีมาก” เซี่ยฟางหวาปัดมือเขาออกทันที 

 

 

           “กระจ่างแจ้งเรื่องใด เจ้ารู้แค่ตัวเองตายไปพร้อมกับเซี่ยอวิ๋นหลานที่ลำน้ำสวินสุ่ยน่ะหรือ เจ้ารู้แค่ว่ายามตระกูลเซี่ยถูกกำจัดเมื่อชาติก่อน ฉินอวี้เป็นคนช่วยเจ้าออกมาใช่หรือไม่ ดังนั้นชาตินี้ เมื่อความทรงจำเจ้ากลับคืนมาจึงตอบแทนบุญคุณพวกเขาเท่านั้นใช่หรือไม่ แล้วข้าเล่า สิ่งเหล่านั้นที่ข้าทำเพื่อเจ้าป้อนให้สุนัขกินหมดแล้วรึ” ฉินเจิงกล่าวด้วยโทสะ 

 

 

           “สิ่งที่เจ้าทำให้ข้าคือการแต่งกับหลี่หรูปี้” เซี่ยฟางหวาก็โกรธเช่นกัน “เจ้าอยากให้ข้าจำสิ่งนี้ได้แม่นยำแค่ไหนกัน” 

 

 

           ฉินเจิงโกรธจนพูดไม่ออก สักพักถัดมาก็กล่าวอย่างหมดแรง “ไฉนเจ้าถึงเชื่อเซี่ยอวิ๋นหลานขนาดนี้ ไม่เชื่อข้าเลยแม้แต่น้อย…” 

 

 

           “เพราะนี่คือความจริง” เซี่ยฟางหวาบอก 

 

 

           ฉินเจิงเดือดจัด “ความจริงอันใด หูฟังจริงหรือเท็จ สิ่งที่ตาเห็นใช่เป็นความจริงเสมอไป” พูดจบ เขาก็ผลักอกนางอย่างแรง “หากใช้ตรงนี้ตัดสิน เจ้าว่าถ้าใช้หัวใจตัดสิน ข้าดูเป็นคนที่จะแต่งกับหลี่หรูปี้หรือไม่” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาถูกเขาผลักจนถอยไปสองก้าว หัวใจพลันเจ็บปวดขึ้นมา นางปัดมือเขาออก ไม่เอ่ยคำใด 

 

 

           “ตอบมาสิ” ฉินเจิงมองนาง “ใช้หัวใจตัดสินได้หรือยัง หากยังไม่รู้สึก ต้องให้ข้าควักหัวใจตัวเองมาให้เจ้าดูหรือไม่” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเบือนหน้าหนี 

 

 

           “เจ้าเชื่อเพียงพี่อวิ๋นหลานของเจ้าเท่านั้น” ฉินเจิงมองนาง “เหตุใดที่เมืองผิงหยาง คำสาปเผาใจเขากำเริบ ไฉนถึงมีเพียงเจ้าที่ได้เห็นสารรูปตอนนั้น สารรูปนั้นจะให้ใครเห็นได้ง่ายๆ หรือไม่ เจ้าไม่ลองคิดทบทวนดูหน่อยหรือ เหตุใดข้าถึงยิงธนูสามดอกใส่เจ้าภายใต้ความโกรธ เจ้าถึงคิดว่าข้าตัดความสัมพันธ์กับเจ้าโดยไม่คำนึงถึงชีวิตเจ้าเพียงเพราะโกรธจัดและแรงหึงหวง วันนั้นเจ้าไม่เคยนึกถึงเซี่ยอวิ๋นหลานเลยหรือ” 

 

 

           เซี่ยฟางหวาเงียบ 

 

 

           ฉินเจิงก้าวขึ้นมาหันตัวนางเข้าหา กดมือทั้งสองข้างลงบนไหล่นาง กล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง “เซี่ยฟางหวา คนอื่นรังแกเจ้า ปิดบังเจ้า หลอกลวงเจ้า ล้อเล่นกับเจ้า เหตุใดเจ้าถึงไม่เคยโกรธ เหตุใดพอเป็นข้า เจ้าถึงได้มุ่งเข้าหาทางตัน จดจำทุกสิ่งไว้ในหัวใจ พอทนไม่ไหวก็ทอดทิ้งข้าอย่างไร้ความปรานี” 

 

 

           เซี่ยฟางหวากัดริมฝีปาก 

 

 

           “ข้าปลอบใจตัวเองว่า เจ้าทำแบบนี้เพราะหัวใจเจ้าสนใจแค่ข้าได้หรือไม่” ฉินเจิงมองนาง ผ่อนน้ำเสียงอ่อนลง กล่าวเน้นย้ำทีละคำ “ชาติก่อนข้ามิได้แต่งกับหลี่หรูปี้ นอกจากเจ้า ข้าก็ไม่แต่งกับสตรีใดอีกแล้ว ส่วนเหตุใดเจ้าถึงเอาแต่พูดว่าข้าแต่งกับหลี่หรูปี้นั้น ตอนนี้ข้ามิอาจกลับไปหาเหตุผลมาพิสูจน์ได้แล้ว ถึงอย่างไรอาจารย์ก็สละชีวิตเพื่อเรื่องนี้ ข้ามิอาจเชิญเขามาทำเรื่องฝืนลิขิตสวรรค์เพื่อแก้ไขโชคชะตาได้อีกแล้ว” 

 

 

           “ชาติก่อนเป็นเจ้าที่ให้นักพรตจื่ออวิ๋นฝืนลิขิตสวรรค์แก้ไขโชคชะตาให้หรือ” เซี่ยฟางหวาหันมาทันที  

 

 

           “เจ้าเสียเลือดมากจนตายไปพร้อมเซี่ยอวิ๋นหลาน เจ้าจะให้ข้าทำอย่างไร นอกจากฝืนลิขิตสวรรค์แก้ไขโชคชะตา ทำให้เจ้ากลับมาเกิดใหม่ ก็ไม่มีทางอื่นแล้ว” ฉินเจิงมองนาง