ตอนที่ 230 พบกันโดยไม่คาดคิด

เสน่ห์รักร้ายคุณบอสเพลย์บอย

เสียใจตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว 

 

 

เธอสูดหายใจเข้าปอดแรงๆ 

 

 

เธอวิ่งตรงไปยังเคาน์เตอร์พยาบาลทันทีที่ถึงโรงพยาบาล ใช้ภาษาอังกฤษบวกภาษามือจนเจ้าหน้าที่เข้าใจสิ่งที่เธอต้องการจะสื่อสารและชี้ทางให้เธอ 

 

 

เธอเอ่ยขอบคุณเบาๆ แล้วหมุนตัวเดินไปตามทางที่เจ้าหน้าที่คนนั้นบอก 

 

 

ตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุจนกระทั่งถึงตอนนี้ก็ผ่านไปสองชั่วโมงกว่าแล้ว เธออยากจะมาที่นี่ไวๆ ใจจะขาด แต่ก็ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจพวกนั้นรั้งตัวเอาไว้ จนป่านนี้แล้ว ไม่รู้ว่าคริสจะเป็นอย่างไรบ้าง 

 

 

เธอร้อนใจดั่งไฟลน หลังจากสอบถามจนละเอียด เธอได้ข้อมูลว่าคริสอยู่ในห้องผ่าตัดชั้นสาม เธอรีบพุ่งตัวเข้าไปในลิฟท์จนเกือบชนเข้ากับใครคนหนึ่ง 

 

 

เธอขึ้นไปถึงชั้นสาม จากนั้นรีบวิ่งตรงไปยังหน้าห้องผ่าตัดทันที เธอเห็นมีคนหลายคนนั่งอยู่หน้าห้องผ่าตัดแต่ไกล เธอวิ่งเข้าไปแล้วเอ่ยถามทันทีโดยไม่สนใจว่าตัวเองรู้จักพวกเขาหรือเปล่า “เขาเป็นยังไงบ้างคะ?” 

 

 

เธอได้ยินเสียงสั่นเทาของตัวเอง แต่เธอไม่มีเวลาสนใจอะไรทั้งสิ้น 

 

 

ใครคนหนึ่งที่กำลังนั่งหันหลังให้เธอได้ยินเสียงของเธอแล้วหันกลับมามองเธอทันที “มู่มู่” 

 

 

นั่นมันภาษาจีนนี่ สายตาเธอหยุดอยู่ที่ใบหน้าของเขา พลันชะงักนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ “ฉีหย่วนเหิง? ทำไมคุณถึงมาอยู่ที่นี่ได้คะ?” 

 

 

ฉีหย่วนเหิงถอนหายใจเบาๆ เขาลุกขึ้นเดินเข้าไปหาเธอ “คุณไม่ต้องห่วง ตอนนี้คริสพ้นขีดอันตรายแล้ว”  

 

 

เธอถอนหายใจโล่งอก “เป็นข่าวดีจริงๆ” ไม่ว่าเขาจะรู้เรื่องนี้ได้อย่างไรก็ตาม แต่ข่าวนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกโล่งอกมาก 

 

 

เธอมองหน้าฉีหย่วนเหิง สายตาเต็มไปด้วยคำถาม “คุณรู้จักเขาด้วยเหรอคะ?” 

 

 

ฉีหย่วนเหิงพยักหน้าเล็กน้อย “เขาเป็นเพื่อนสนิทของผม พอผมได้ข่าวว่าเขาประสบอุบัติเหตุก็รีบมาที่นี่ทันที” 

 

 

สมองเธอสับสนวุ่นวายไปหมด รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่ตอนนี้เกิดเรื่องชุลมุนวุ่นวายมากมายจนเธอไม่มีเวลาครุ่นคิด เธอมองหน้าเขาอยู่นานสองนานกว่าจะเอ่ยถามออกไปได้ “ทำไมพวกคุณไม่มีใครบอกฉันเลยสักคำ?” 

 

 

จู่ๆ ฉีหย่วนเหิงก็ยกมือขึ้นลูบผมเธอเบาๆ “ผมคิดว่าคุณคงไม่อยากเห็นหน้าผม” 

 

 

เธอส่ายศีรษะเบาๆ ยังคงจ้องเขานิ่ง “คุณกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่ใช่ไหมคะ?” 

 

 

ฉีหย่วนเหิงใบหน้าแข็งเกร็ง ขณะที่กำลังจะพูดนั้น พลันได้ยินเสียงประตูห้องฉุกเฉินเปิดออกพอดี 

 

 

ทั้งสองไม่มีเวลาคุยกันอีก รีบวิ่งเข้าไปหานายแพทย์ที่เพิ่งออกมาจากห้องผ่าตัดทันที “คุณหมอ เขาเป็นยังไงบ้างคะ?” 

 

 

“คนไข้เป็นยังไงบ้างครับ?” 

 

 

ทั้งสองเอ่ยถามพร้อมกัน คุณหมอดึงหน้ากากอนามัยออกด้วยอาการเหนื่อยอ่อน “เขาโชคดีมาก กระดูกซี่โครงหักสองซี่ แต่ไม่ถูกอวัยวะสำคัญภายใน เราต่อกระดูกให้เข้าที่เหมือนเดิมแล้ว คนไข้ได้รับการกระทบกระเทือนทางสมอง หลังจากนี้ต้องเฝ้าสังเกตอาการในห้องไอซียูอย่างใกล้ชิด” 

 

 

เขาพ้นขีดอันตรายแล้วจริงๆ ด้วย แต่พอได้ยินว่ากระดูกซี่โครงหักสองซี่ เธอก็รู้สึกผิดขึ้นมาอีก 

 

 

เธอมองคริสที่นอนสลบไม่ไหวติงถูกเข็นไปยังห้องไอ.ซี.ยู.อยู่เงียบๆ เท้าของเธอขยับตามโดยอัตโนมัติ แต่ถูกนางพยาบาลขวางเอาไว้ 

 

 

เธอยืนนิ่งอยู่หน้าประตูห้องผ่าตัด ในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด 

 

 

เป็นเพราะเธอ คริสถึงบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ เธอมันไม่ได้เรื่อง 

 

 

ฉีหย่วนเหิงเดินเข้าไปหยุดยืนอยู่ข้างเธอ “ไม่ต้องห่วง เขาดวงแข็งจะตาย เมื่อก่อนเขาถูกยิงตั้งสามนัดยังไม่เป็นอะไรเลย ตอนนี้แค่สมองกระทบกระเทือนเท่านั้น เขาไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอก” 

 

 

เธอมองเขาแวบหนึ่ง “คุณรู้จักเขาดีมากเลยนะคะ” 

 

 

“ผมบอกแล้วว่าเขาเป็นเพื่อนผม” เขาถอนหายใจเบาๆ “แค่คิดไม่ถึงว่าเขาจะตกหลุมรักคุณ” 

 

 

ดูเหมือนจะมีความนัยแฝงอยู่ในคำพูดของเขา เธอมองเขาอีกแวบหนึ่ง ตอนนี้เธอเหนื่อยมากจนไม่อยากจะพูดอะไรอีก 

 

 

ฉีหย่วนเหิงสังเกตเห็นอาการเหนื่อยล้าของเธอแล้วเอ่ยกับเธอเบาๆ “คุณกลับไปพักผ่อนเถอะ ถึงคุณอยู่ที่นี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้” 

 

 

เธอส่ายศีรษะเบาๆ “ฉันอยากอยู่ที่นี่อีกสักพัก” 

 

 

เอ่ยจบแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ยาว ครุ่นคิดเรื่องต่างๆ อยู่เงียบๆ  

 

 

ฉีหย่วนเหิงมองเธอนิ่ง “คุณชอบเขาเข้าแล้วเหรอ?” 

 

 

เธอตกใจเล็กน้อย มองเขาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “เปล่าค่ะ” 

 

 

เมื่อเห็นสายตาไม่อยากจะเชื่อของเขาแล้ว เธอจึงเอ่ยขึ้นอย่างหัวเสีย “คุณคิดว่าที่ฉันเป็นห่วงเขาเพราะฉันชอบเขาอย่างนั้นเหรอ? ฉันเป็นห่วงในฐานะเพื่อนไม่ได้เหรอคะ?” 

 

 

สายตาเขาอ่อนโยนขึ้น “ผมขอโทษ ผมไม่ควรถามคุณแบบนั้นเลย” 

 

 

เธอถอนหายใจ สองมือกุมขมับ “ถ้ารู้ว่ามีคนคิดจะฆ่าฉัน ฉันจะไม่ออกจากบ้านเด็ดขาด เพราะฉัน คริสถึงเดือดร้อนไปด้วย นี่มัน…” 

 

 

เธออยากจะสบถคำหยาบออกมาเหลือเกิน แต่การอบรมสั่งสอนที่ดีทำให้เธอพูดไม่ออก ได้แต่ทุบกำปั้นเล็กๆ ลงบนเก้าอี้ข้างตัว แต่หน้าเธอเหยเกขึ้นมาทันที 

 

 

เก้าอี้แข็งมาก เจ็บเป็นบ้า! 

 

 

ฉีหย่วนเหิงเห็นแล้วอดขำไม่ได้ เขาเดินเข้าไปหาเธอช้าๆ จากนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ข้างเธอ “มีคนจะฆ่าคุณอย่างนั้นเหรอ?” 

 

 

“ค่ะ” เธอลูบมือตัวเองป้อย หยาดน้ำตาคลอเบ้า ใครเห็นคงคิดว่าเธอตกใจกลัวจนร้องไห้ แต่ความจริงคือเธอเจ็บมือจนน้ำตาไหลต่างหาก “ฉันกับเขากลับออกมาจากงานเลี้ยงค็อกเทล เขาไปขับรถ ส่วนฉันยืนรออยู่ริมฟุตบาท จู่ๆ ก็มีรถคันหนึ่งขับพุ่งมาที่ฉัน เขาขับรถออกมาเห็นเข้าพอดี เขาก็เลยขับรถชนรถคันนั้นเพื่อช่วยฉัน แล้ว…” 

 

 

แล้วเขาก็บาดเจ็บสาหัสจนต้องเข้าห้องฉุกเฉิน เธอได้แต่ต่อคำพูดในใจเงียบๆ รู้สึกแย่มากจนพูดไม่ออก 

 

 

หลังจากเธอปฏิเสธความรักของเขาจนเขาได้รับบาดเจ็บทางใจแล้ว เขายังยอมใช้ชีวิตของตัวเองปกป้องชีวิตเธอเอาไว้โดยไม่ลังเลแม้แต่วินาทีเดียว 

 

 

เธอสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ “ฉันเป็นหนี้เขา” 

 

 

ดวงตาฉีหย่วนเหิงเป็นประกายวูบ “คนคนนั้นทำไมต้องฆ่าคุณด้วย? คุณมีเรื่องบาดหมางกับใครหรือเปล่า?” 

 

 

“ฉันจะไปได้รู้ได้ยังไงคะ? บางทีคนคนนั้นอาจจะเป็นบ้าไปแล้วก็ได้” เธอเอ่ยอย่างหัวเสีย ระหว่างทางที่เธอนั่งรถมาที่นี่ เธอคิดเรื่องนี้มาตลอดทางตั้งหลายตลบ เธอไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกับใคร ถ้าจะมี ก็คงมีแต่เอลลี่คนเดียวเท่านั้นที่เห็นเธอขวางหูขวางตา แต่อย่างมากก็แค่ต่อปากต่อคำกันเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถึงขั้นต้องฆ่าแกงกันเสียหน่อย 

 

 

แต่เพื่อความปลอดภัยในชีวิต ตอนให้ปากคำเธอจึงเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจฟังด้วย และตอนนี้เธอก็เล่าเรื่องนี้ให้ฉีหย่วนเหิงฟังเหมือนกัน “ฉันคิดว่าไม่ใช่ฝีมือเธอหรอกค่ะ เธอไม่ใช่คนใจกล้าขนาดนั้น” 

 

 

ฉีหย่วนเหิงส่ายศีรษะเล็กน้อย กวักมือเรียกลูกน้องตัวเอง เขาบอกชื่อเอลลี่ให้ลูกน้องคนนั้นรู้ ลูกน้องของเขาพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นเดินจากไปทันที 

 

 

เธอมองเขาด้วยความสงสัย “สรุปคุณกับเขาเป็นอะไรกันแน่?” 

 

 

ฉีหย่วนเหิงถอนหายใจอีกระลอก “ผมบอกแล้วว่าเราเป็นเพื่อนกัน” 

 

 

เธอมุ่นหัวคิ้ว ลูบผมตัวเองเบาๆ “ฉันควรจะถามแบบนี้มากกว่า ที่ฉันได้เข้าไปทำงานที่บริษัทของเขา เพราะฝีมือคุณใช่ไหมคะ?” 

 

 

ฉีหย่วนเหิงมองเธอด้วยความประหลาดใจ “คุณฉลาดมาก” 

 

 

หมายความว่ายอมรับแล้วใช่ไหม? เธอโมโหจนพูดอะไรไม่ออกอยู่นานสองนาน 

 

 

เธอคิดว่าที่ตัวเองได้งานนี้เพราะประวัติการศึกษาและประสบการณ์การทำงานของเธอเอง ซึ่งเป็นธรรมดาที่คริสเห็นประวัติของเธอแล้วจะรับเธอเข้าทำงานเพราะความสามารถของเธอ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าเธอต้องอาศัยเส้นสายถึงได้งานนี้มาอย่างนั้นเหรอ? 

 

 

มิน่าเล่า เอลลี่ถึงได้ไม่ชอบหน้าเธอ แล้วยังจะสายตาดูถูกดูแคลนของคนอื่นๆ อีก ตอนแรกเธอคิดว่าเป็นเพราะเธอเป็นคนตะวันออกพวกเขาถึงมองเธอแปลกๆ แบบนั้น ที่แท้เธอก็เข้าใจผิดไปเอง