บทที่ 177 ประกาศิตแห่งแสง

ระบบเติมเงินข้ามภพ

บทที่ 177

ประกาศิตแห่งแสง

ระหว่างที่หอการค้าหยูเย่กำลังยุ่งอยู่กับการจัดมหกรรมการประมูลอยู่นั้น ในขณะเดียวกันนิกายลำนำแห่งขุนเขาก็กำลังเผชิญหน้ากับความเป็นความตายอยู่

ตู้มมมมม!

แรงระเบิดหลายระลอกดังขึ้นอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ค่ายกลที่แข็งแกร่งราวกับหินผาไม่นานก็เกิดการสั่นไหวอย่างรุนแรงราวกับว่ามันจะพังทลายลงในอีกไม่ช้า

เนื่องจากแผนสกัดกั้นแม่นางมู่หลูและคณะเดินทางของนางล้มเหลว ทำให้เมล็ดพันธุ์บัวหิมะที่ลุกไหม้ถูกส่งมาถึงมือของเม่งเทียนฉี เมื่อเจ็ดขุนพลทราบข่าวพวกเขาจึงเร่งลงมือโจมตีนิกายลำนำแห่งขุนเขาให้แตกก่อนที่สถานการณ์จะกลับตาลปัตร

แม้ว่าเหล่าเจ็ดขุนพลจะมีเป้าหมายเดียวกัน แต่พวกเขาก็ชิงดีชิงเด่นกันเอง พวกเขาต่างพยายามที่จะเป็นพวกแรกที่สามารถบุกทะลวงเข้าไปด้านใน และยึดครองบ่อน้ำแห่งการเกิดใหม่ไว้เป็นของพวกตน

อีกฟากหนึ่งด้านในนิกายลำนำแห่งขุนเขา มู่หลูและ ลั่วเฟิงเฉิงที่กลับมาถึงได้ไม่นาน ต่างต้องระดมกำลังกันปกป้องนิกายอย่างสุดความสามารถ แม้ว่าเม่งเทียนฉีผู้เป็นประมุขจะห้ามปรามและสั่งให้พวกเขาหนีไป แต่ในยามคับขันเช่นนี้กลับไม่มีใครทำตามคำสั่งเขาเลยแม้แต่คนเดียว

กองกำลังของพวกเขารวมทั้งสิ้นประมาณ 100 คน ในจำนวนนี้มีเพียงลั่วเฟิงเฉิงและจอมยุทธ์อีกเพียงหยิบมือที่มีวรยุทธ์ระดับเทพอสูรที่พอจะต่อการกับทัพของเหล่าเจ็ดขุนพลได้ นอกเหนือจากนี้มีเพียงเทพยุทธ์และจ้าววรยุทธ์เท่านั้น

ในเมื่อพูดอะไรไปก็ไม่มีใครฟัง เม่งเทียนฉีจึงกลับเข้าไปในห้องของตน ก่อนจะนั่งขัดสมาธิโคจรลมปราณเพื่อดึงพลังของเมล็ดพันธุ์บัวหิมะที่ลุกไหม้ออกมาให้ได้โดยเร็วที่สุดเพื่อหวังโต้กลับ

“ท่านลุง จากการโจมตีของพวกเจ็ดขุนพล ข้าคาดว่าอีกไม่เกิน 2 วันค่ายกลจะพังลงเป็นแน่” ในนิกายแห่งนี้มีเพียงแม่นางมู่หลูที่เป็นผู้ใช้ค่ายกล ทันทีที่นางเห็นสภาพของมัน นางก็รีบรายงาน กับลั่วเฟิงเฉิงด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด

“บะ…บ้าน่า!? ไม่จริงใช่ไหม”

“ยังไงซะ พวกเราก็หนีไม่พ้นอยู่ดี”

“เอาก็เอาวะ! ดาหน้ากันเข้ามาเลยไอ้พวกฝุ่นใต้พรม”

คำพูดของนางสร้างความแตกตื่นให้กับเหล่าศิษย์ในนิกายอยู่ไม่น้อย แต่พวกเขาก็ต้องกัดฟันสู้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

‘ข้าไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้…’ ลั่วเฟิงเฉิงคิดในใจพลางถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา

ทันใดนั้นเอง…

ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงเดินออกมาจากประตูอย่างช้าๆ เขาสวมชุดสีขาวลากยาวจนเกือบถึงพื้น เมื่อรวมกับใบหน้าที่ขาวซีดแล้วทำให้บรรยากาศรอบตัวของเขาดูขาวโพลนไปหมดประหนึ่งฤดูเหมันต์อันไร้ที่สิ้นสุดก็มิปาน

ชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น เขาก็คือเม่งเทียนฉีที่ดูดซับพลังจากเมล็ดพันธุ์ของบัวหิมะนั่นเอง เมื่อเขาปรากฏตัวขึ้น มู่หลูและ ลั่วเฟิงเฉิงคนสนิททั้งสองก็ถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึงราวกับว่าเขาเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

“ปิดค่ายกลซะ” เขาออกคำสั่งกับมู่หลู และเดินออกไปพร้อมกับเหล่าศิษย์ที่ตามหลังเขาไปอย่าง งงๆ

“อย่าบอกนะว่าท่าน ท่านทำไม่สำเร็จงั้นรึ!?” เมื่อเห็นท่าทีที่ห่อเหี่ยวของประมุข ทำให้เหล่าศิษย์ต่างคิดกันไปต่างๆนานา ดวงตาของพวกเขาดูหดหู่และสิ้นหวัง

“มู่หลู ข้าจะถ่วงเวลาให้เจ้า รีบซ่อมค่ายกลนั่นซะ!” เมื่อเดินมาถึงสุดเขตของค่ายกล เขาก็ออกคำสั่งแก่มู่หลูอีกครั้ง และดิ่งตรงไปหาทัพของเจ็ดขุนพล

“เจ้าค่ะ!” มู่หลูรับปากอย่างเก้ๆกังๆ

ลั่วเฟิงเฉิงและบรรดาศิษย์คนอื่นๆต่างมองหน้ากันไปกันมา แต่ก็ไม่มีใครกล้าเอ่ยปากถามเม่งเทียนฉีที่เปลี่ยนไป พวกเขาจึงได้แต่เดินตามประมุขของพวกเขาไปอย่างเงียบๆ

เมื่อทั้งสองฝ่ายประจันหน้ากัน มีเพียงค่ายกลสีใสกั้นระหว่างทั้งสองทัพ

“เม่งเทียนฉี ในที่สุดเจ้าก็ยอมจำนนแล้วสินะ?”

“รออะไรอยู่เล่า รีบๆคุกเข่าลงและยอมจำนนต่อพวกข้าสำนักภูผาทะเลหมอกซะ แล้วข้าจะปรานีพวกเจ้า”

“หุบปากของเจ้าซะ! ถ้าเจ้าเข้าร่วมกับสำนักกระบี่เงาวารีของข้า ข้าสัญญาว่าจะไม่แตะต้องพวกเจ้าแม้แต่กระเบียดนิ้วเลย!”

“หน็อยแก เกทับข้าเรอะ!”

พวกเขาต่างแก่งแย่งชิงดีกัน เพื่อหมายจะครอบครองนิกายลำนำแห่งขุนเขาและบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เอาไว้กับตน หากไม่ใช่เพราะค่ายกลขนาดใหญ่ที่เป็นเหตุให้ 7 ขุนพลต้องร่วมมือกัน พวกเขาคงฆ่ากันตายไปตั้งแต่เนิ่นๆแล้ว

อย่างไรก็ตามไม่ว่านิกายของเม่งเทียนฉีจะขึ้นตรงกับใคร พวกเขาก็หลีกหนีความจริงที่นิกายลำนำแห่งขุนเขาได้ล่มสลายแล้วไม่ได้อยู่ดี แต่ทว่า

“ข้ายังไม่ได้บอกสักคำเลยนะว่าจะยอมจำนนน่ะ” เสียงเรียบๆแต่ทรงพลังดังขึ้น สายตาทุกคู่ก็กลับมาจับจ้องที่ชายวัยกลางคนอีกครั้ง

“เหอะ! ดูเหมือนว่าเจ้าไม่รู้สถานะของตัวเองบ้างเลยสินะ!”

“พูดจาแบบนี้ อยากตายงั้นรึ?”

แม้ว่ากองกำลังกว่า 100 คนของนิกายลำนำแห่งขุนเขาจะแข็งแกร่งสักเพียงใด แต่ละกองกำลังของเจ็ดขุนพลนั้นแกร่งกว่าพวกเขาเป็นเท่าตัว ไม่ต้องพูดถึงภาคีประตูแห่งสัจจะที่มีระดับวรยุทธ์ไล่เลี่ยกับนิกายทั้ง 8

ในชั่วเสี้ยววิที่ไม่มีใครคาดคิด เม่งเทียนฉีก็อาศัยจังหวะนี้ พุ่งเข้าโจมตีเสี่ยวฉินจ้าวสำนักภูผาทะเลหมอกด้วยเคล็ดวิชาประกาศิตแห่งแสง

ซู่ววววววว

แสงสว่างและเงามืดค่อยๆรวมตัวขึ้นที่หมัดของ เม่งเทียนฉี ก่อนที่มันจะผสานรวมเป็นหนึ่งและซัดเข้าที่หน้าของเสี่ยวฉิน

เปรี้ยงงงงงงงงงง

การโจมตีที่รุนแรงทำให้มวลอากาศระเบิด แรงสั่นสะเทือนของมันทำให้ฝูงชนยืนแทบไม่อยู่ เสียงของมันดังเสียจนพวกเขาต้องยกมือขึ้นมาอุดหูเอาไว้

กองกำลังของเจ็ดขุนพลผงะ สีหน้าที่มั่นใจของพวกเขาเริ่มเจื่อนลงทีละนิด ตรงกันข้ามกับฝั่งของนิกายลำนำแห่งขุนเขาที่อดยิ้มออกมาไม่ได้ ประมุขของพวกเขาไม่ทำให้พวกเขาเหนื่อยเปล่า ในที่สุดด้วยพลังของเมล็ดพันธุ์นั้นก็ช่วยให้เม่งเทียนฉีสำเร็จวิชาประกาศิตแห่งแสงได้ทันอย่างฉิวเฉียด

“จะล้มนิกายของข้างั้นเรอะ? ข้ามศพข้าไปก่อนเถอะ!” เม่งเทียนฉีกางมือยืนจังก้าขวางทางกองกำลังของเจ็ดขุนพลเอาไว้

เสี่ยวฉินที่กระเด็นออกไปไกล ก็กระอักเลือดออกมากองใหญ่ การโจมตีครั้งนั้นทำให้เขาตระหนักว่าเม่งเทียนฉีไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เขาจะโค่นลงได้เพียงลำพังอีกต่อไป

“ยังไม่จบแค่นี้หรอกนะ เม่งเทียนฉี! ศิษย์แห่งข้ามากับข้าไปฆ่ามันให้สิ้นซาก!” ทันทีที่สิ้นเสียงของเสี่ยวฉิน เหล่าศิษย์มากฝีมือก็ชักอาวุธออกมาและพุ่งเข้าจู่โจมประมุขแห่งนิกายลำนำแห่งขุนเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน…