ตอนที่ 700 คอรัลพูดภาษาจีน

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

ใครบางคนอยากจะซื้อข้อมูลบางอย่างด้วยเงินจำนวนมหาศาล แต่พวกเขาก็ต้องเจอกับหญิงชราที่เกรี้ยวกราดแทน คนพวกนั้นต้องการจะขู่พวกที่เห็นเหตุการณ์ แต่หญิงชราไม่ยอม พูดง่ายๆ ก็คือเธอกล้าหาญแบบไม่กลัวใครเลย

 

 

จริงๆ แล้วการจัดการกับแพทริคจากกลุ่มหัตถ์ดำน่ารำคาญที่สุดแล้ว เขาประกาศกร้าวว่าเขาจะตามจีบคอรัล แต่ตอนนี้คอรัลกลับหนีไปกับคนอื่นเสียอย่างนั้น น่าอายไหมล่ะ

 

 

เขาเลยอยากจะตามหาหลี่ว์ซู่และคอรัลให้ได้ เขาอยากจะบอกคอรัลว่ารักทางไกลน่ะไม่ยั่งยืนหรอก ผู้ชายจากเครือข่ายฟ้าดินคงจะไม่อยู่ยุโรปตลอดไปแน่ เปรียบเทียบกับเขาแล้วเขาอยู่ใกล้กว่าเยอะ

 

 

และเขาจะยอมย้ายไปสวีเดนด้วยถ้าเธอยอม

 

 

เมื่อพวกลูกน้องของหัตถ์ดำได้ยินว่าหัวหน้าของพวกเขาพูดเรื่องเดิมซ้ำๆ พวกเขาก็แทบจะพูดตามได้ทุกคำอยู่แล้ว มันทำลายความเชื่อขององค์กรใต้ดินนี้ไปเสียหมด งั้นถ้าได้ผู้หญิงคนนี้มาเรื่องนี้จะจบใช่ไหม

 

 

แพทริคถึงขนาดพูดออกมาว่า ‘พวกนายจะไปรู้อะไรล่ะ ฉันยังเอาชนะคอรัลไม่ได้เลย!’

 

 

เขาอยากจะอธิบายกับคอรัลตั้งแต่ตอนนั้นว่าเขาไม่เคยจีบผู้หญิงคนไหนมาก่อน ขนาดกินไก่เขายังไม่แตะไก่ตัวเมียเลย!

 

 

ส่วนพวกองค์กรอื่นๆ ไม่ว่าจะมาถึงที่ซาร์ดิเนียแล้วหรือว่าแค่ดูเหตุการณ์อยู่ห่างๆ ก็ต่างอยากรู้เหมือนกันว่าสองคนนั้นหายไปไหน

 

 

แต่นี่ไม่ใช่ถิ่นของพวกเขา หลายคนเป็นยอดฝีมือที่เอาคนหลายสิบคนติดตามมาด้วย ส่วนพวกแก่นความเชื่อได้เตรียมตัวมาตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว พวกเขาเลยรวบรวมคนมาได้เยอะ องค์กรอื่นๆ เลยไม่อยู่ในสถานะได้เปรียบเลยสักนิด!

 

 

ตามเหตุผลแล้วถ้าพวกเขาอยากจะได้ข้อมูลก็ต้องไปหาพวกนักเลงในท้องถิ่น ไม่ว่าพวกเขาจะไปเอาข้อมูลด้วยการซื้อขายหรือแลกเปลี่ยนสิ่งของมา พวกเขาก็เอาอะไรบางอย่างมาได้แน่นอน

 

 

แต่พวกนักเลงท้องถิ่นที่ซาร์ดิเนียคือพวกคาร์เทลน่ะสิ กลุ่มผู้มีพลังพวกนี้จัดแสดงความสามารถตัวเองด้วยซ้ำ แล้วจะไปหวังข้อมูลอะไรจากพวกเขาได้!

 

 

แต่เมื่อพวกเขาจับเอาผู้คนทั่วไปมาทรมานเพื่อเอาข้อมูล อยู่ๆ หัวหน้าของกลุ่มคาร์เทลก็มาปรากฏตัวเพื่อปล่อยคนเหล่านั้นไป และตอนนั้นทุกคนก็ได้รู้ว่าหญิงชราที่ว่านั่นเป็นแม่ของหัวหน้าของกลุ่มคาร์เทล เธอนั่งรถไฟกับเพื่อนๆ ที่สนิทไปดูการแสงดนตรีทางเหนือที่ลูกชายเธอจัดแสดง!

 

 

พวกองค์กรใหญ่ๆ พวกนั้นเจอพวกคาร์เทลเข้าไปก็พูดไม่ออกกันเลย นี่มันเป็นองค์กรอะไรกันเนี่ย! ทุกคนในซาร์ดิเนียบ้าไปแล้วเหรอ!

 

 

มิน่าล่ะทำไมหญิงชราคนนี้ถึงได้กล้านัก!

 

 

แต่พวกองค์กรใหญ่ๆ ก็ไม่ได้คาดหวังว่าพวกคาร์เทลจะไม่สร้างเครือข่ายข้อมูลขึ้นมาก่อน ไม่มีใครที่รับผิดชอบเรื่องของข้อมูลในซาร์ดิเนียอย่างเป็นทางการ

 

 

แต่ประชาชนธรรมดาของที่นี่กลายเป็นคนให้ข้อมูลแทน องค์กรธรรมดาคงจะไม่เคยคิดเรื่องนี้มาก่อน เนื่องจากพวกเขาคิดว่าตัวเองสูงส่งกว่าคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาถึงกับเมินพวกคนธรรมดาไปเลย แต่ในซาร์ดิเนียนั้นต่างออกไป

 

 

ผู้มีพลังของคาร์เทลนั้นคิดว่าตัวเองก็คือคนธรรมดานั่นแหละ และทุกคนก็เป็นเพื่อนกันกับคนธรรมดา เพราะฉะนั้นพวกคนธรรมดาพวกนี้ก็มักจะมาพูดกับคนของคาร์เทลถ้ามีเรื่องอะไรแปลกๆ หรือเรื่องที่อาจจะเกิดปัญหาขึ้นมา

 

 

เมื่อผ่านไปคืนหนึ่งแล้วพวกคนธรรมดาก็รู้เหตุผลกันหมดว่าทำไมคู่รักคู่นั้นถึงถูกตามล่า เพราะองค์กรใหญ่ๆ จ้องจะเอาต้นไม้แห่งโลกที่คอรัลครอบครองหรือก็คือหอกกุงเนียร์ของเธอนั่นเอง

 

 

ข้อมูลพวกนี้ถือว่าแปลกประหลาดมาก เหมือนกับว่ามันจะมาจากแหล่งข้อมูลที่เป็นทางการ เนื่องจากไม่มีคนท้องถิ่นคนไหนเลยที่จะสงสัยว่าข้อมูลนี้ไม่ถูกต้อง ถ้ามันถูกประกาศจากทางการแล้วก็แปลว่ามันเชื่อถือได้แน่ๆ

 

 

ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วจนคนทั้งเกาะรู้เรื่องนี้กันหมด และคนทั้งเกาะก็ดูเหมือนจะมีศัตรูคนเดียวกันอย่างเหนียวแน่น ร้านรวงในเมืองทางใต้ที่พวกแก่นความเชื่อและหัตถ์ดำอยู่ก็ต่างปิดทำการไปชั่วคราว

 

 

ผู้คนในซาร์ดิเนียไม่ได้เอะอะโวยวายอะไร พวกเขาไปดูการแสดงคณะละครสัตว์บนถนนและไม่เปิดบริการอะไรทั้งนั้น และองค์กรบางองค์กรก็หาอาหารกินไม่ได้…

 

 

ทุกคนตะลึงไปเลย…

 

 

เมื่อองค์กรต่างๆ เข้าไปในเมืองเพื่อถามคนท้องถิ่นว่าพวกเขาเห็นคู่รักที่ว่าผ่านมาบ้างหรือเปล่า คนท้องถิ่นพวกนั้นก็เกือบจะถ่มน้ำลายใส่หน้าพวกเขา…

 

 

แล้วพวกองค์กรก็จะไปฆ่าคนธรรมดาไม่ได้ ถ้าทำอย่างนั้นพวกเขาก็จะมีปัญหาบนเกาะนี้แน่ๆ หลี่เสียนอีน่าจะส่งคนจากมูลนิธิมาดูแล้ว

 

 

หลี่ว์ซู่สวมหมวกสีดำขณะเข็นรถเข็นที่คอรัลนั่งอยู่ ยิ้มของเธอสวยอย่างกับสวนดอกไม้ที่เบ่งบาน พวกเขาสองคนเดินไปตามทางของถนนในโอริสตาโน่

 

 

คืนนั้นหลี่ว์ซู่อุ้มคอรัลขึ้นหลังกลับไป เหมือนกับว่าโชคชะตานั้นเปลี่ยนขั้ว ตอนนั้นคอรัลต้องอุ้มหลี่ว์ซู่ไว้บนหลังออกมาจากป้อมปราการของกลุ่มทวยเทพเหมือนกัน

 

 

สมาชิกกลุ่มแก่นความเชื่อในโอริสตาโน่เหลือน้อยจนเกือบจะไม่มีใครแล้ว และสภาพของคอรัลก็แย่ลงไปมาก หลี่ว์ซู่อยากจะให้คอรัลได้พักผ่อนสักสองสามวันก่อนที่จะมุ่งหน้าไปทางเหนือต่อ

 

 

องค์กรทุกองค์กรคิดว่าเขาพาคอรัลหนีไปแล้ว แต่พวกเขาไม่คิดว่าทั้งสองคนยังจะเดินเล่นอยู่ที่นี่ต่อ

 

 

ถึงจะรู้แต่องค์กรพวกนั้นก็หาเขาทั้งสองเจอยากแน่ๆ เพราะผู้คนในซาร์ดิเนียกำลังปกป้องหลี่ว์ซู่และคอรัล

 

 

ในเวลาผ่านไปแค่ชั่วข้ามคืนเท่านั้น ทุกคนชื่นชมสิ่งที่หลี่ว์ซู่ทำ เมื่อองค์กรทั้งหลายต้องการตัวคอรัล เขากลับเอาคอรัลออกมาจากพื้นที่อันตรายโดยลำพัง จนพวกคุณแม่ทั้งหลายอยากจะแยกคู่รักสองคนนี้ออกจากกันแล้วจากนั้นก็ยกลูกสาวของพวกเธอให้หลี่ว์ซู่แทนเสียจริงๆ!

 

 

“หลี่ว์ซู่ ตรงนั้นมีไอศกรีมด้วย!” คอรัลยกมือขึ้นแล้วชี้ไปทางร้านที่ว่า ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความสุขและความอบอุ่น เหมือนกับว่าเธอไม่เป็นกังวลกับสภาพร่างกายของเธอเลย

 

 

หลี่ว์ซู่เข็นรถเข็นไปใกล้ๆ ร้านนั้นแล้วถาม “เอารสอะไรดีล่ะ”

 

 

คอรัลบอกกับหลี่ว์ซู่ไปสองคำ แต่หลี่ว์ซู่ไม่เข้าใจทั้งสองคำนั่นเลย เขาฉลาดมากแต่เขาไม่เข้าใจคำทุกคำบนโลกหรอกนะ มันเป็นคำที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนในชีวิตจริงๆ

 

 

“วานิลลากับทุเรียน” คอรัลพูดซ้ำอีกครั้ง

 

 

หลี่ว์ซู่ยิ่งงงหนักไปใหญ่ เพราะครั้งนี้คอรัลพูดเป็นภาษาจีน ถึงแม้ว่าสำเนียงจะแปร่งหูแต่ฟังออกเป็นภาษาจีนแน่ๆ คอรัลหน้าแดงด้วยความเขินอายเล็กน้อย

 

 

“ฉันเริ่มเรียนภาษาจีนมานานแล้วล่ะ ฉันมีครูสอนภาษาจีนด้วยนะ แต่ไม่เคยทำอาหารจีนมาก่อนเลย อาหารจีนที่ครูทำน่ะรสชาติแย่มากเลย…”

 

 

หลี่ว์ซู่เข้าใจแล้วว่าคอรัลเตรียมตัวไปจีนมาตลอดเพื่อเขา

 

 

แต่เธอจะไปจีนเพราะอะไรนั้น เขาก็ไม่กล้าถามออกไป

 

 

ตอนนี้ทั้งสองคนยังไม่ได้เป็นคนรักกัน ไม่มีใครกล้าหยิบกระดาษเล็กๆ เหล่านั้นที่เสียบไว้อยู่ในหน้าต่างออกมา อย่างกับว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาเข้าใจกันไปโดยปริยาย แต่ทั้งสองคนก็ต่างมีความกังวลที่แตกต่างกันไป

 

 

“เพราะงี้นะหลี่ว์ซู่ เธอก็พูดภาษาจีนกับฉันได้เลยในอนาคต จะมาเป็นครูสอนภาษาจีนของฉันก็ได้นะ ตอนที่อยู่ในโบราณสถานเกาะช้างนายก็ตกลงแล้วนี่ แต่นายไม่เคยทำจริงๆ เลย ขอบอกไว้ก่อนเลยนะว่าฉันเรียนภาษาเก่งมากๆ” คอรัลยิ้มออกมา

 

 

หลี่ว์ซู่พยักหน้ารับและยิ้มตอบ เขาหันไปพูดกับเจ้าของร้าน “ขอไอศกรีมลูกนึงครับ ขอบคุณครับ”

 

 

ผู้หญิงอยากจะเรียนภาษาเพราะเขา อยากจะเรียนทำอาหารจีนเพื่อเขา หลี่ว์ซู่มองคอรัลที่นั่งอยู่บนรถเข็นแล้วเขาก็รู้สึกอบอุ่นอยู่ข้างใน