“ท่านอ๋อง กล่าวเช่นนี้เฉาเหวินก็เป็นลูกพี่ลูกน้องของท่าน ท่านจะไม่รู้จักได้อย่างไร?” ฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจเรื่องที่ยึดเงินที่ตนเองปล้นมา
หนานกงเย่กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา : “แม่ของเฉาเหวินเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียวในบรรดาอนุภรรยารองจากเสด็จแม่ จริง ๆ แล้วไม่ได้เป็นบุคคลสำคัญภายในจวน เสด็จแม่กับคนในครอบครัวของเขาไม่ได้มีความใกล้ชิดมากมายนัก เสี่ยวกั๋วจิ้วถือว่าเป็นคนหนึ่ง ต่อมาก็เพิ่มต้ากั๋วจิ้วมาอีกคน แล้วไหนจะที่เหลืออีกมากมาย เครือญาติของตระกูลหวังก็มีจำนวนไม่น้อย เสด็จแม่เจอะเจอพวกเขาน้อยมาก บางครั้งเสด็จแม่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะลืม และไม่ได้ตั้งใจไม่รู้จัก
แม่ของเฉาเหวินผู้นี้มีชื่อว่าหวังเฟิ่งอี๋ เป็นคนที่หัวรั้นมาก แต่ก็เป็นคนที่เข้าใจมากผู้หนึ่ง นางเป็นผู้ที่น่าเชื่อถือในเมืองต้าเหลียง หลังจากแต่งงานกับพ่อของเฉาเหวิน นางได้เข้าออกจวนกั๋วจิ้วหลายครั้งหลายครา กระทั่งเรื่องราวมากมายของต้ากั๋วจิ้วก็เป็นฝีมือจัดการของนาง
หลังจากที่มู่เหมียนเข้าวังมาครั้งก่อน ว่ากันว่าเป็นเพราะมีคนหนุนหลังนาง ข้าจึงไปหาเสี่ยวกั๋วจิ้ว เขาบอกกับข้าว่ามู่เหมียนเข้าวังได้เพราะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับนาง คืนที่ต้องตัดสินใจให้มู่เหมียนเข้าวันนั้น หวังเฟิ่งอี๋ผู้นี้ก็อยู่ในวังด้วย”
“กล่าวเช่นนี้ ก็แสดงว่าเป็นคนของเสด็จแม่นะสิเพคะ?” ฉีเฟยอวิ๋นแสดงสีหน้ากังวล ช่างจะยุ่งยากเสียแล้ว ฝ่าบาทล้วนเชื่อฟังไทเฮาทั้งสิ้น พวกเขาคิดโค่นล้มไทเฮาจะต้องมีบางอย่างไม่ถูกต้องแน่
“ไหน ๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว ไม่มีทางอื่นแล้ว นอกตากต้องลงมือก่อน”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถาม : “หวังเฟิ่งอี๋เนื้อหอมมากถึงเพียงนี้ แถมยังได้รับความโปรดปรานจากเสด็จปู่อีกหรือเพคะ?”
“ไม่เชิงหรอก” หนานกงเย่มองไปทางฉีเฟยอวิ๋นแวบหนึ่ง เขาลังเลครู่หนึ่งและกล่าวออกไป
“ในลานหลังจวนแต่ละหลังนั้น ไม่ว่าจะเป็นภรรยาหลักที่แต่งงานอย่างถูกต้องหรืออนุภรรยาที่เข้าพิธีอย่างถูกต้อง ใครก็ตามที่มีฐานะค่อนข้างดี มักจะพาเด็กสาวหนึ่งถึงสองคนติดตัวมาด้วยเสมอ
เด็กสาวเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ได้รับการคัดเลือก สตรีที่อยู่ที่นี่ จะต้องยอมรับเงื่อนไขหนึ่ง นั้นคือพวกนางจะต้องใช้สามีร่วมกับผู้อื่น นั้นถึงจะเป็นภรรยาที่ใจกว้างและบริสุทธิ์ใจจริง
แต่เด็กสาวที่ได้รับการคัดเลือกเหล่านี้มีประโยชน์อะไรบ้างล่ะ? ประการที่หนึ่งจะต้องมีคนข้างกาย ประการที่สองครอบครัวของสามีไม่สามารถดูแลอนุภรรยาอทุกคนได้ ส่สิ่งสำคัญที่สุดคือพวกนางจะต้องประจบประแจงเอาใจสามี
แทนที่จะแต่งงานกับภรรยาที่ตาต่อตา ฟันต่อฟัน สู้แต่งงานกับภรรยาที่เอาอกเอาใจเป็นเสียดีกว่า เช่นนั้นไม่เหมือนกับสำนวนที่ว่าเสือติดปีกหรอกหรือ?”
ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวถามด้วยความเข้าใจว่า : “ความหมายของท่านอ๋องคือ แม่ของหวังเฟิ่งอี๋ผู้นี้เป็นเด็กสาวที่ได้รับสินสอดทองหมั้นจากเสด็จแม่ ดังนั้นนางจึงมีตำแหน่งอยู่ในจวนใช่หรือไม่?”
“ตำแหน่งของนางไม่ได้โดดเด่นมากนัก ถึงอย่างไรบุตรที่กำเนิดจากภรรยาคนแรกก็มีจำนวนมาก แต่หวังเฟิ่งอี๋ผู้นี้เป็นเด็กสาสที่ได้รับสินสอดจากเสด็จยาย นางจึงซื่อสัตย์ต่อเสด็จยายมาก ปีนั้นนางได้ช่วยส่งเสริมเสด็จยายจนมีสถานะในจวน ขุดรากถอนโคนอุปสรรคไปไม่น้อย
ต่อมาสถานะของหวังเฟิ่งอี๋ก็ได้ยกระดับขึ้น
ชื่อเสียงของนางไม่ได้น่าเชื่อถือเพียงนั้น ผู้ที่เกิดจากนางสนม มีแค่บุรุษเท่านั้นถึงจะมีชื่ออย่างเป็นทางการ และยอมรับว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน
แต่ชื่อของหวังเฟิ่งอี๋กลับได้รับการยอมรัยว่าเป็นสายเลือดเดียวกัน เสด็จยายจึงมีพระคุณมากมายต่อแม่ของนาง”
“มิน่าล่ะ ก่อนหน้านั้นเสด็จแม่ไม่ได้ไปมาหาสู่กับนาง เหตุใดมู่เหมียนถึงไปมาหาสู่กับนางได้?”
“เพราะมีคนคอยแนะนำอย่างไรล่ะ ครานั้นเสด็จแม่ไม่มีทางให้เราไปมาหาสู่กับมู่เหมียน ฮูหยินต้ากั๋วจิ้วเข้าวังมาทูลเสนอให้หวังเฟิ่งอี๋เข้าวัง เสด็จแม่จึงได้ตอบตกลงไป”
“อาจจะเป็นไปได้ แสดงว่าผู้ที่คอยปกป้องเฉาเหวินก็คือเสด็จแม่นะสิ เช่นนั้นท่านอ๋องจะทำอย่างไรต่อไปหรือเพคะ?”
“แล้วข้าจะทำอย่างไรได้? เงินกองนี้ มากพอที่จะทำให้ทหารในชายแดนของข้าได้ใช้ตลอดช่วงฤดูหนาว”
“เสด็จแม่ทรงประทับอยู่ที่แห่งนั้นหรือเพคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นยังมีความเป็นกังวล หนานกงเย่ส่งเสียงหึออกมาโดยไม่ได้กล่าวสิ่งใดต่อ
เมื่อมาถึงหน้าประตูวังหนานกงเย่ลงจากรถม้าไปคนเดียว ฉีเฟยอวิ๋นยังคงรออยู่บนรถม้า
“ท่านอ๋องระวังตัวด้วยเพคะ!” ฉีเฟยอวิ๋นมีสีหน้าไม่สบายใจอยู่ในรถม้า เมื่อบุตรชายเจอะเจอกับเสด็จแม่ของตนไม่มีสิ่งใดต้องระแวดระวัง คงไม่ถึงขนาดถูกตัดศีรษะหรอก
หนานกงเย่มองไปทางฉีเฟยอวิ๋นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ จากนั้นก็หมุนตัวเข้าวังไป
ณ ตำหนักเฉาเฟิ่ง
พระพันปีเฝ้ามองฉงหยางจวิ้นจู่ กระทั่งฉงหยางจวิ้นจู่กล่าวว่า : “ไทเฮา ท่านคิดอย่างไรกับเรื่องนี้หรือเพคะ?”
พระพันปีกล่าวอย่างหมดความอดทน :” จะมีเงินมากมายเพียงนั้นได้อย่างไร?”
“หม่อมฉันและท่านลุงก็ไม่แน่ใจเช่นกัน หวังเฟิ่งอี๋นางเป็นที่น่าเชื่อถือในหมู่ของเรา ช่วยจัดการเรื่องราวต่าง ๆ ให้เราไม่น้อย แต่คาดไม่ถึงว่านางจะละโมบโลภมากถึงเพียงนี้ มีเงินมากมายถึงเพียงนี้ เมื่อท่านลุงทราบข่าวก็ให้หม่อมฉันเข้าวังมากราบทูลไทเฮาทันทีเพคะ
ส่วนที่มาของเงินนั้น เราเองก็กำลังคิดพิจารณา
แต่นางคอยจัดการเรื่องราวของเราอยู่ข้างนอกมาเป็นระเวลาหลายปี เงินกว่าล้านตำลึงดูท่าทางจะมากมาย แต่ใครเล่าจะยอมออกมา เพียงแต่….บุตรที่นางคอยปรนเปรอได้สร้างเรื่องนี้ ทำให้ทุกคนผิดหวัง”
“ตอนที่เสด็จแม่ยังอยู่นั้น หวังเฟิ่งอี๋ผู้นี้เป็นที่รักของเสด็จแม่มาก อนุภรรยาดูแลเอาใจใส่ข้าอย่างทั่วถึง เพื่อข้าจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ต้องจากไปก็เพราะเสด็จแม่
เหตุใดนางถึงได้เปลี่ยนมาเป็นเช่นนี้ ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ นางไม่ใช่บุตรสาวของอนุภรรยา อย่าว่าแต่สายเลือดเลย แม้แต่ชื่อที่คล้ายคลึงกันก็ไม่มี” พระพันปีขุ่นเคืองหมองใจอย่างมาก
ฉงหยางจวิ้นจู่รีบเอ่ยขึ้นว่า : “มั่นใจได้เลย หากไม่ใช่อนุภรรยา นางไม่มีทางมีวันนี้ ดูท่าวันดี ๆ ของนางจะต้องจบลงแล้ว ถึงได้สร้างปัญหาใหญ่โตเช่นนี้”
“ไหน ๆ เรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้ว ไม่มีอะไรจะต้องพูดอีก เชื้อพระวงศ์ทำผิด โทษเท่าสามัญชน เห็นแก่หน้าอนุภรรยา จะเหลือศพไว้ละกัน
ประกาศออกไป ให้นางมาอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน ข้าจะเหลือศพนางไว้”
พระพันปีหมุนตัวกลับไป ฉงหยางจวิ้นจู่กล่าวลา : “หม่อมฉันขอคารวะ!”
หนานกงเย่เดินทางมาจากตำหนักบำรุงหฤทัย จักรพรรดิอวี้ตี้เองก็อยู่
ไห่กงกงยืนรออยู่ด้านนอกของตำหนักเฟิ่งอี๋ เมื่อเห็นทั้งสองคนไห่กงกงจึงรีบเข้าไปคุกเข่าทำความเคารพทันที : “ข้าน้อยน้อมทักทายฝ่าบาท ท่านอ๋องเย่”
“ลุกขึ้นเถอะ ไปรายงานเสด็จแม่ บอกว่าข้าของเข้าเฝ้า”
“ไทเฮาเพิ่งจะตรัสว่าคิดถึงฝ่าบาทพอดี ให้ข้าน้อยไปเชิญฝ่าบาท ไม่นานฝ่าบาทก็เสด็จมาถึง ฝ่าบาทเชิญข้างในเถอะพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิอวี้ตี้มองไปทางหนานกงเย่ จากนั้นก็เดินเข้าไปในตำหนักเฉาเฟิ่งพร้อมกับบัญชีในมือ
“ลูกขอคารวะเสด็จแม่พ่ะย่ะค่ะ” จักรพรรดิอวี้ตี้เดินมาถึงตรงหน้าของพระพันปี นางมองบัญชีที่อยู่ในมือของจักรพรรดิอวี้ตี้
“ข้าได้ยินเรื่องราวแล้ว กระทั่งมีข่าวลือขึ้นในวัง เรื่องนี้ข้าไม่ได้คุมเข้มนัก ทำให้ฝ่าบาทต้องอับอาย ข้ายินดีรับโทษ นับตั้งแต่นี้ข้าจะไปสำนึกความผิดตนในศาลบรรพชนเป็นเวลาสิบวัน เรื่องอื่นฝ่าบาทไปจัดการเถอะ”
“เสด็จแม่….” จักรพรรดิอวี้ตี้หมดความอดทน : “ลูกขอไปเอง เสด็จแม่ต้องปวดใจเพราะลูก หรือ…”
“เจ้าเป็นถึงองค์จักรพรรดิ จะบุ่มบ่ามไม่ได้ ช่วยเหลือเช่นนี้ถือว่ามากเกินไป หากข้าไม่รับโทษ พวกเขาก็จะคิดว่า บ้านเมืองของต้าเหลียงเป็นส่วนหนึ่งของพวกเขา”
“ลูกต้องขอบพระทัยที่เสด็จแม่ทรงดูแลอย่างดี” จักรพรรดิอวี้ตี้เหมือนยกภูเขาออกจากอก
พระพันปีลุกขึ้น จักรพรรดิอวี้ตี้รีบเข้าไปประคองมือของพระพันปี : “ไหน ๆ เรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปศาลบรรพชน เจ้ากลับได้แล้ว ถือโอกาสไปบอกคนที่กลัวว่าใต้หล้าจะไม่ปั่นป่วนด้านนอกด้วย ให้พระชายาเย่เข้าวังมาอยู่สำนึกผิดเป็นเพื่อนข้าด้วย นางจะได้ไม่สร้างปัญหาให้ผู้อื่นอีก”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ฉีเฟยอวิ๋นจามโดยไม่มีเหตุผล นางลูบจมูกของตนด้วยสีหน้าประหลาดใจ อยู่ดี ๆ ก็จามเสียอย่างนั้น?
เมื่อนึกถึงใบหน้าพึงพอใจของพระพันปี ฉีเฟยอวิ๋นก็มีลางสังหรณ์บางอย่างทันที