บทที่ 432 ปฏิกิริยาจากฝ่ายต่างๆ

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

บทที่ 432 ปฏิกิริยาจากฝ่ายต่างๆ
ดวงดาวทั้งหลายบนท้องฟ้าล้วนหม่นแสงลงภายใต้แสงที่ส่องสว่างพร่างพราวจากดาวดวงใหม่ ราวกับว่ามีดวงอาทิตย์ดวงใหม่ถือกำเนิดขึ้น ดาวดวงใหม่นี้โคจรไปตามเส้นทางของมันได้เองโดยไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

บรูครู้สึกว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น จึงเดินออกจาก ‘มิติพิเศษ’ ของเขา ไปยืนอยู่บนชั้นที่สามสิบสี่ของหอคอยเวทมนตร์อัลลิน เขาจ้องมองไปที่ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว

“นี่ไม่ใช่การถือกำเนิดของดาวดวงใหม่…”

“วงโคจรของมันใกล้เกินไป ถ้าเป็นดาวที่แท้จริง เมื่อมันเข้ามาใกล้โลกนี้ มันจะบดขยี้ทำลายทุกสิ่ง…”

“มันคืออะไร?”

“พลังที่เหนือกว่า…”

ในฐานะมหาจอมเวท และนักเวทระดับตำนาน เช่นเดียวกับลูกศิษย์ของดักลาส ในสมองของบรูคนึกถึงระยะของวงโคจร โดยอาศัยเพียงการสังเกตขนาดของดาวเท่านั้น จากความสว่าง และวงโคจรอื่นๆ แม้ว่ามันจะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ก็เพียงพอสำหรับเขาที่จะบอกว่าดาวดวงนี้อยู่ไกลจากโลกแค่ไหน

ด้วยเหตุนี้บรูคจึงตกใจเล็กน้อย สำหรับเขาแล้วถ้ามันเป็นการกำเนิดของดาวดวงใหม่เขาคงไม่แปลกใจ และสับสน แต่จะถือว่าเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การศึกษาในเชิงลึก และเตรียมเวทมนตร์ที่เกี่ยวข้องสำหรับการวิจัย

แต่นี่คือดาวเทียม!

บนหอคอยเวทมนตร์สูงเสียดฟ้า อาณาจักรบริแอนน์

นักโหราศาสตร์ระดับสูงที่ควรจะทำนายดวงชะตาของเขาในตอนนี้ กำลังจ้องมองไปที่ดวงดาวในลูกแก้วของเขาพร้อมทั้งอ้าปากค้างเล็กน้อย ในท้องฟ้ายามค่ำคืน เขาไม่เคยเห็นดวงดาวที่สว่างไสวเช่นนี้มาก่อน และการกำเนิดของดวงดาวก็เกิดขึ้นกระทันหันโดยไม่มีการส่งสัญญาณใดๆ !

นี่แปลกยิ่งกว่าดวงจันทร์สีแดงซะอีก!

“มันคือดาวอะไร” นักโหราศาสตร์พึมพำหลังจากนั้นไม่นาน

จากนั้นเขาก็รีบก้มลงมองไปที่ลูกแก้วในมือ เมื่อดาวดวงใหม่ถือกำเนิดขึ้น เส้นทางแห่งโชคชะตาย่อมได้รับผลกระทบ เขาค่อนข้างรำคาญ และหงุดหงิดเนื่องจากการถือกำเนิดของดวงดาวจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน ‘แม่น้ำแห่งโชคชะตา’ และเขาจะต้องเริ่มทำนายใหม่อีกครั้ง

ครึ่งชั่วโมงต่อมาเขาก็เงยหน้าขึ้น และมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความตกตะลึง

“ทำไมไม่มีภาพสะท้อนของโชคชะตา”

“เป็นดวงดาราจริงหรือ”

ที่ตั้งค่ายของนักผจญภัย ‘เทือกเขาแห่งความมืด’

สตานิสราชาแห่งฝันร้ายผู้ชอบใช้ชีวิตท่ามกลางผู้คนทั่วไป และเฝ้าสังเกตความฝันของพวกเขา กำลังดื่มและชื่นชมน้ำชายามบ่ายของเขาในกระท่อมเล็กๆ ทันใดนั้นถ้วยถ้วยกระเบื้องเคลือบสีขาวก็ร่วงหล่นลงจากมือของเขาลงสู่พื้น และแตกออกเป็นชิ้นๆ นับไม่ถ้วน

สตานิสไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย แต่เขารีบเดินไปหน้าต่าง เขาเงยหน้าขึ้น และมองไปทางทิศตะวันออก

ทันใดนั้นดวงดาวที่ส่องแสงเหนือท้องฟ้าก็ปรากฏขึ้น และสว่างขึ้นครอบคลุมบริเวณครึ่งหนึ่งของท้องฟ้า มันสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์!

สตานิสสงสัยว่าโลกแห่งการรับรู้ของเขาผิดเพี้ยนไปหรือเปล่า และเขาได้รับผลกระทบจากความฝันหรือเวทมนตร์ลวงตาหรือไม่

หลังจากเหลือบมองไปเห็นดวงอาทิตย์ที่กำลังจะจมลงไปทางทิศตะวันตก สตานิสก็หันกลับไปที่ดาวเคราะห์ที่เพิ่งเกิดใหม่ ที่ซึ่งกำลังเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางวงโคจรของมันเอง

“ถ้านี่เป็นความฝัน ดวงดาวที่สว่างไสวอย่างน่ากลัวดวงนี้หมายถึงอะไร?”

“ถ้าไม่ใช่ความฝัน งั้นใครเป็นคนทำ”

“มันเป็นปาฏิหาริย์ที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้…”

นครเรนทาโต บนถนนที่ซึ่งไม่ได้ติดตั้งโคมไฟนั้นทั้งมืดและหนาวเย็น มีเพียงดวงดาวมากมายบนท้องฟ้าที่สว่างขึ้นเล็กน้อย

เนื่องจากโรงงานการเล่นแร่แปรธาตุมีจำนวนมากขึ้น อุปกรณ์สายการผลิตจึงได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นโดยนักเล่นแร่แปรธาตุ ชาวบ้านทั่วไปในนครเรนทาโต ต้องทำงานพิเศษหลายชั่วโมงเพื่อให้ได้ผลผลิตที่สูงขึ้น ตอนนี้กลุ่มของพวกเขาสองสามกลุ่มกำลังเดินอยู่บนถนน เมื่อรู้สึกถึงลมหนาวที่พัดกระหน่ำ พวกเขาทุกคนก็เร่งฝีเท้าเพื่อกลับบ้านให้เร็วที่สุด

ขณะที่พวกเขากำลังเดิน พวกเขาเห็นว่าบนถนนข้างหน้ามีแสงสว่างจ้าราวกับว่าเป็นเวลากลางวัน

พวกเขาเงยหน้าขึ้นมอง จากนั้นพวกเขาถึงกับตกตะลึงและสูญเสียคำพูดไปทั้งหมด มีดาวจรัสแสงประดับอยู่บนท้องฟ้า ดาวดวงนั้นเคลื่อนที่ช้าๆตามวงโคจรของมันเอง มันแตกต่างกับพระจันทร์สีเงินอย่างสิ้นเชิง แต่ก็โดดเด่นไม่แพ้กัน

พวกเขาสงสัยว่านี่คือปาฏิหาริย์จากพระเจ้าหรือไม่

“พระเจ้าแห่งสัจธรรมผู้ยิ่งใหญ่…”

“สัจจะคงอยู่นิรันดร์…”

จากความประหลาดใจนี้ พวกเขาคิดว่าเป็นพระเจ้าแห่งสัจธรรมที่สร้างปาฏิหาริย์นี้ขึ้นมา พวกเขาคุกเข่าลงบนพื้นโดยไม่คำนึงถึงความสกปรกจากโคลนของหิมะที่ละลาย และพวกเขาอธิษฐานด้วยความรักและซื่อสัตย์ภักดี

นครอัลโต้ นาตาชาที่ซึ่งสวมชุดล่าสัตว์เต็มรูปแบบกำลังขี่ม้าผ่านป่าเล็กๆ

ทันใดนั้นนางก็วางลูกธนูลงบนคันธนู และยิงออกไปอย่างรวดเร็วและรุนแรง ด้วยพลัง แรงผลักดัน ทำให้ลูกธนูพุ่งผ่านช่องว่างไปเหมือนกับภาพลวงตา ลูกธนูปรากฏขึ้นเบื้องหน้าต้นไม้ใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตรในพริบตา จากนั้นก็เจาะทะลุต้นไม้หนาๆ หลายสิบต้น เหมือนมีดร้อนๆ ที่กำลังผ่าเนย ในที่สุดลูกศรก็เสียบลงบนร่างของกระต่ายสีเทาลงไปนอนกับพื้นทั้งที่เพิ่งกระโดดออกมาจากพุ่มไม้

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนภาพร่าง ที่เหมือนว่าใครบางคนขุดหลุมในต้นไม้ด้วยยางลบ ทุกอย่างในภาพนี้ยังคงอยู่ยกเว้นต้นไม้

อย่างไรก็ตาม นาตาชาไม่ได้ใส่ใจกับการเหตุการณ์ที่สมบูรณ์แบบที่นางเพิ่งทำ แต่นางมองไปทางทิศตะวันออก และเห็นดาวดวงใหม่ที่สว่างไสว

นางนึกถึงเหตุการณ์พระจันทร์สีแดงครั้งล่าสุด

“เป็นเพราะเขาอีกแล้วเหรอ” นาตาชาบ่นพึมพำ

แลนซ์ นครศักดิ์สิทธิ์ พระสันตปาปาเบเนดิกต์ที่สอง ยืนอยู่ข้างหน้าต่างขณะที่ถือไม้เท้า ดาวดวงใหม่นี้อยู่ภายใต้การตรวจสอบอย่างใกล้ชิดจากเขา

“มันไม่ได้หายไป…”

“วงโคจรไม่สมเหตุสมผล…”

“ขึ้นอยู่กับตำแหน่ง… มาจากสภาเวทมนตร์หรือเปล่า”

ไม่นานสมเด็จพระสันตะปาปาก็สงบใจลง เขาจ้องมองไปที่ดาวดวงใหม่อย่างไม่แยแส และสังเกตวงโคจรของมัน เมื่อเขาเชื่อว่าเขาเข้าใจ และจดจำข้อมูลทั้งหมดได้แล้ว สมเด็จพระสันตะปาปาก็ยกไม้เท้าขึ้น ร่างกายของเขางอไปข้างหลังเล็กน้อย เบเนดิกต์ที่สองหลับตาลงครึ่งหนึ่ง และพูดกับท้องฟ้าด้วยเสียงเบาๆ ว่า

“พระเจ้าแห่งสัจธรรมผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ท่านเป็นหนึ่งเดียวในทุกๆ สรรพสิ่ง”

“ท่านจะคงอยู่และจะอยู่ตลอดไป”

“ท่านคือผู้สร้างและผู้ปกครอง”

ขณะที่เขากำลังอธิษฐานก็พลันมีแสงศักดิ์สิทธิ์สีขาวปกคลุมเขา พลังศักดิ์สิทธิ์รวบรวมอยู่เบื้องบน และค่อยๆ แผ่กระจายออกไป และเข้าครอบคลุมทั้งเมือง และพื้นที่โดยรอบ

พระคาร์ดินัลหลวง อัศวินศักดิ์สิทธิ์ พระคาร์ดินัล และผู้ติดตามทั่วไป ต่างก็สัมผัสได้ถึงพลังอำนาจ จากนั้นทุกคนก็สงบลงจากความตกตะลึงครั้งใหญ่ที่ได้เห็นดาวดวงใหม่ ใบหน้าของพวกเขาดูอ่อนลง และรู้สึกตื้นตันใจ

มันคืออำนาจของพระเจ้า!

“ท่านเป็นหนึ่งเดียวในทุกๆ สรรพสิ่ง”

“ท่านจะคงอยู่และจะอยู่ตลอดไป”

คนหลายแสนเริ่มสวดมนต์ ภายใต้พลังอำนาจ เสียงของพวกเขารวมเข้าด้วยกันจนเกิดเสียงสะท้อนที่น่าอัศจรรย์

ฉากนี้งดงามเกินคำบรรยาย

เมื่อคำอธิษฐานดังขึ้น และดังขึ้น สมเด็จพระสันตะปาปาก็ชี้ไม้คทาไปที่ท้องฟ้า!

บนท้องฟ้ามีจุดแสงสีขาวโผล่มาจากไหนไม่รู้ มันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ในไม่ช้าแสงของมันก็สว่างพอๆ กับดาวเทียม และดวงอาทิตย์

ภายในของบอลแสงเสียงสวดที่ไพเราะและมีชีวิตชีวาดังออกมา ท้องฟ้าทั้งหมดกลายเป็นสะอาดและบริสุทธิ์

ในสายตาของลูเซียนและนักเวทที่เหลือ ท้องฟ้ายามค่ำคืนสว่างไสวไปด้วยบอลแสง อีกครั้งพวกเขายังสามารถได้ยินเพลงสวดเบาๆ

ลูเซียนหวังว่าศาสนจักรจะไม่เก็บดาวเทียมไว้ในอากาศนานเกินไป เนื่องจากมันเป็นการยั่วยุต่อผู้มีอำนาจของ ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ ครั้งใหญ่

ถ้านักเวทสามารถสร้างดวงดาวได้ แล้ว ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ ที่กล่าวกันว่าสร้างโลกคืออะไร? เป็นเพียงนักเวทที่มีพลังมากกว่าพระคาร์ดินัลหลวงหรือ?

แต่สิ่งที่ลูเซียนไม่คาดคิดคือ การที่ศาสนจักรแสดงปฏิกิริยาตอบโต้รุนแรงถึงขนาดนี้

ลูกบอลแสงเริ่มปรากฏชัดเจนมากยิ่งขึ้น ดูเหมือนว่าภายในจะแบ่งออกเป็นเจ็ดชั้น ในชั้นแรกจะเป็นคณะทูตสวรรค์ที่มีปีกหนึ่งคู่และวิญญาณขาวบริสุทธิ์กำลังบรรเลงบทเพลงศักดิ์สิทธิ์อันไพเราะสรรเสริญ ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ ด้วยเปียโน พิณ แคริเน็ท และแตร

ชั้นที่สองถึงชั้นที่ห้า มีภาพความสำราญที่คล้ายคลึงกัน ทั้งเหล่าคณะทูตสวรรค์และจิตวิญญาณกำลังอิ่มเอมกับความหฤหรรษ์และความบันเทิงเริงใจไม่มีความรู้สึกอื่นใดมาเจือปน ความแตกต่างเดียวคือคณะทูตสวรรค์ชั้นเหล่านี้มีปีกมากกว่า ซึ่งเป็นคณะทูตสวรรค์ชั้นธรรมเทพ ศักดิเทพ และเชรูบตามความเชื่อของศาสนจักร

ในชั้นที่หก มีภาพมายาทูตสวรรค์เสราฟิมหกตน คณะทูตสวรรค์ชั้นนี้แต่ละองค์กำลังยืนหันไปในทิศทางเดียวราวกับว่ากำลังปกป้องคุ้มครองชั้นที่เจ็ด

ส่วนในชั้นที่เจ็ด นอกจากแสงศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่สิ้นสุดแผ่ขยายออกมา ก็มีเซราฟองค์หนึ่งถือพระคัมภีร์อยู่ ทูตสวรรค์เซราฟก้มลงหมอบกราบรับใช้ ‘พระเจ้าแห่งสัจธรรม’ อยู่ภายใต้แสงสว่าง

ลูเซียนรู้ดีว่านี้คืออะไร!

นี่คือคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่สังหารกงสุลคนสุดท้ายของอาณาจักรเวทมนตร์!

นี่คืออาคมเทพที่แท้จริง ที่มีค่าใช้จ่ายมหาศาลสำหรับผู้ร่าย!

นี่คืออาคมเทพที่มีเพียงพระสันตะปาปาเท่านั้นที่สามารถร่ายได้!

‘พลังพระเจ้าเสด็จ!’

ในขณะที่สังเกตอาคมเทพอย่างละเอียด ลูเซียนก็ได้เปิดแว่นเลนส์เดียวโดยใช้ส่งข้อความแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างถาวรเพื่อทดสอบว่าดาวเคราะห์เทียมตอบสนองต่อสัญญาณอย่างไร

ในบอลแสง ทูตสวรรค์ทั้งหมดเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์ออกมา และแสงเหล่านั้นก็เข้าร่วมกับชั้นที่เจ็ด เช่นเดียวกับคลื่นของทะเลที่แสงจะกระจายออกไป และปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า

“นี่คือคำตอบจาก ‘แอนทิฟเฟอร์ หมายเลขหนึ่ง’…”

จากนั้นเสียงไฟฟ้าก็เข้ามา

เมื่อมองไปที่ท้องฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีขาวราวกับน้ำนมจากแสงศักดิ์สิทธิ์ เมื่อได้ยินเสียงไฟฟ้า ลูเซียนก็เปรียบเทียบพลังกับ ‘พระเจ้าแห่งจันทราสีเงิน’ โดยไม่รู้ตัว และสรุปได้ว่าแม้ว่าพลังทั้งสองจะอยู่ในระดับเดียวกัน แต่อัลเทอร์นาก็อ่อนแอกว่าเล็กน้อย .

นี่เป็นเพียงข้อสรุปที่คลุมเครือ โดยนักเวทระดับสูง บางทีมันอาจจะไม่ถูกต้อง แม้แต่บุคคลระดับตำนานอย่างดักลาสหรือแดรกคูลา เกี่ยวกับการประเมินพลังประเภทนี้ก็อาจเป็นเรื่องที่ยากมาก

สาเหตุที่ดาวเคราะห์เทียมได้รับการขนานนามว่า ‘แอนทิฟเฟอร์ หมายเลขหนึ่ง’ คือ แอนทิฟเฟอร์ เป็นเมืองหลวงของ ‘จักรวรรดิเวทมนตร์ซิลวานาส’ อันเก่าแก่ที่ดักลาสเกิดและเติบโตขึ้นมา

ประตูลึกลับที่วาดด้วยสัญลักษณ์กลุ่มดาวนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นต่อหน้าเฟอร์นันโด ลูเซียน และนักเวทคนอื่นๆ ดักลาสในชุดคลุมเวทมนตร์สีเทาของเขาเดินโซซัดโซเซออกมา อัญมณีหลากสีที่วนอยู่เหนือศีรษะของเขาส่วนใหญ่หายไป

อย่างไรก็ตามดักลาสมีจิตวิญญาณในระดับสูง เขาไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นเอาไว้บนใบหน้าอันสง่างามของเขาได้

“ในที่สุดข้าก็ได้สัมผัสกับ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’…

“ถ้าเขาไม่อยากล้มเหลวเร็วๆ นี้ สมเด็จพระสันตะปาปาจะไม่สามารถใช้ ‘พลังพระเจ้าเสด็จ’ ได้ในอีกห้าปีข้างหน้า!”

ในที่สุดลูเซียนก็รู้ว่าทำไมท่านประธานถึงทำให้ดาวเคราะห์เทียมสว่างไสวขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่เพียงเพื่ออวดความสำเร็จของเขา