ตอนที่ 1670 ของขวัญกว้างเย็น

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

แม้ว่าหานลี่จะรู้สึกตกตะลึงกับการที่สิ่งมีชีวิตระดับมหายานผู้หนึ่งมอบสมบัติวิเศษให้เพียงพบหน้าครั้งหนึ่ง แต่แน่นอนว่าย่อมไม่ปฏิเสธ หลังจากรับมาแล้ว กลับพิจารณาสาเหตุที่อีกฝ่ายทำเช่นนี้อยู่เงียบๆ

 

 

เชียนจีจื่อและพวกเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา มองสบตากันไปมาแวบหนึ่ง

 

 

เดิมคิดว่าชายหนุ่มแซ่เวิงจะพูดอันใดต่อกับหานลี่ แต่ชายหนุ่มกลับเอนกายไปด้านหลังและปิดปากเงียบ

 

 

เชียนจีจื่อพลันตกตะลึง แต่ทันใดนั้นก็ได้สติกลับคืนมาเอ่ยกับหานลี่ด้วยรอยยิ้ม

 

 

“คาดไม่ถึงว่าสหายหานจะได้รับสมบัติจากท่านอาวุโสเวิง นับว่าเป็นโชคชั้นใหญ่ คิดดูแล้วมีสมบัตินี้ปกป้องร่าง คงไม่เป็นอันตรายใดๆ ในแดนวิญญาณ ทว่าเวลามีไม่มากแล้ว ข้าจะแนะนำสหายที่ต้องเข้าไปในแดนกว้างเย็นด้วยกันให้เจ้ารู้จักก็แล้วกัน” 

 

 

“เช่นนั้นต้องรบกวนท่านอาวุโสเชียนแล้ว” หานลี่ตอบกลับอย่างนอบน้อม

 

 

“เช่นนั้นจะอธิบายเซียนเย่ว์ให้ท่านรู้จักก่อน นางและเจ้าเป็นเหมือนกันคือเป็นผู้ที่กระตุ้นแผ่นป้ายกว้างเย็น จะพาคนอีกกลุ่มหนึ่งเข้าไป แม้ว่าหลังจากส่งตัวแล้ว ความเป็นไปได้ที่พวกเจ้าทั้งสองกลุ่มจะถูกส่งไปที่เดียวกันจะมีอยู่ไม่มาก แต่หากไปพบกัน ก็ต้องดูแลกันและกัน” เชียนจีจื่อชี้ไปทางหญิงสาวสวมชุดชาววังสีฟ้า หน้าตาซีดขาวคนหนึ่ง

 

 

“ที่แท้ก็ท่านเซียนเย่ว์นี่เอง!” หานลี่หันหน้าไปพิจารณาหญิงสาวผู้นี้แวบหนึ่ง แต่ก็ดูไม่ออกว่ามาจากเผ่าใด ทันใดนั้นจึงประสานกำปั้นคารวะด้วยรอยยิ้มจางๆ

 

 

 ‘ท่านเซียนเย่ว์’ ผู้นี้พยักหน้าให้หานลี่เล็กน้อย ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมา

 

 

“นี่คือสือคุนของเผ่าศิลารังไหม มีความสามารถป้องกัน จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ในกลุ่มของพวกเจ้า ด้านข้างคือพี่น้องฝาแฝดเฟิงเสี้ยวและอวิ๋นเถิงจากเผ่ามรกต เชี่ยวชาญการประสานการต่อสู้…” เชียนจีจื่อชี้ระดับหลอมสุญตาที่ยืนอยู่ทีละคนๆ

 

 

แต่เขากลับไม่ได้แนะนำลึกซึ้ง แค่บรรยายถึงทุกคนเพียงคร่าวๆ ดังนั้นชั่วครู่ก็แนะนำทุกคนเสร็จ

 

 

ส่วนคนเหล่านั้นก็ไม่ได้สนใจผู้บำเพ็ญเพียรขั้นที่เจ็ดคนหนึ่งอย่างหานลี่ บ้างกลับมีสีหน้าเย็นชา มีเพียงส่วนน้อยที่ส่งยิ้มมาให้ 

 

 

มิน่าล่ะ พวกเขาล้วนเป็นเผ่าเบื้องบนขั้นที่เก้า และยิ่งไปกว่านั้นล้วนเป็นผู้ที่อยู่ในจุดคอขวดใกล้จะก้าวเข้าสู่ระดับศักดิ์สิทธิ์ของเผ่า มิเช่นนั้นคงไม่ถูกเลือกให้มาเข้าร่วมการเดินทางครั้งนี้ จะไปสนใจชนต่างเผ่าคนหนึ่งที่ระดับต่ำกว่าตนเองสองขั้นได้อย่างไร แม้ว่าคนผู้นี้จะถูกชายหนุ่มแซ่เวิงเอ่ยชมก่อนหน้าก็ตาม

 

 

นี่เป็นเพราะอีกฝ่ายฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ค่อนข้างพิเศษเท่านั้น ผู้ที่ยืนอยู่จำนวนไม่น้อยล้วนคิดเช่นนั้น

 

 

เชียนจีจื่อเห็นเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วไปเล็กน้อย

 

 

คนอื่นไม่รู้ แต่เขากลับรู้ว่าหานลี่เคยใช้กำลังของตนเองเพียงคนเดียวสังหารผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันไปสองสามคน แม้ว่าจากอิทธิฤทธิ์ของเคล็ดวิชานั้นจะไม่กล้ารับประกันว่ามีพลังกดทุกคนเอาไว้ได้ แต่กำลังนั้นก็น่าจะจัดอยู่ในสามอันดับแรกเห็นจะได้

 

 

หานลี่กลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด พลันพยักหน้าให้คนเหล่านั้น

 

 

ในบรรดาคนเหล่านี้ล้วนมีศิษย์ของไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่นอยู่ด้วย

 

 

สือคุนของเผ่าศิลารังไหมผู้นั้นเป็นศิษย์ของต้วนเทียนเริ่น ส่วนหญิงสาวสวมงอบผู้นั้นเพิ่งได้ฟังชัดเจนว่านางมีนามว่า ‘หลิวสุ่ยเอ๋อร์’

 

 

“เดิมแผ่นป้ายกว้างเย็นหนึ่งแผ่นสามารถส่งคนผ่านเขตอาคมส่งตัวไปแดนกว้างเย็นได้แค่สิบสามคน แต่เขตอาคมนี้ได้ถูกแก้ไขด้วยพวกเราและปรมาจารย์ด้านเขตอาคมต่างๆ ของเผ่าผลึก ยามนี้จึงส่งตัวได้ทั้งหมดสิบห้าคน ดังนั้นพวกเจ้าจึงจะเข้าไปในแดนกว้างเย็นทั้งหมดสามสิบคน เอาล่ะ อธิบายจบแล้ว ข้าจะแบ่งกลุ่มให้พวกเจ้า จากนี้อ่านชื่อใครก็ให้ส่งตัวไปพร้อมกับท่านเซียนเย่ว์ คนที่เหลือตามสหายหานไปก็พอแล้ว ม่อซา เฟิงเสี้ยว…” เชียนจีจื่ออธิบายจบ ก็เริ่มขานชื่อ

 

 

ผลคือผ่านไปชั่วครู่ ทุกคนก็ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม และแบ่งกันยืนอยู่ด้านหลังหานลี่และหญิงสาวสวมชุดสีฟ้า

 

 

หานลี่ดูเหมือนจะมีสีหน้าเยือกเย็น แต่ในใจกลับรู้สึกกังขาอยู่เล็กๆ

 

 

ไม่รู้ว่าไฉ่หลิวอิงและต้วนเทียนเริ่นใช้วิธีอันใด เชียนจีจื่อ หลิวสุ่ยเอ๋อร์และสือคุนถึงถูกแบ่งมาอยู่กลุ่มเขา ทว่าทั้งสองกลับเยือกเย็นเป็นพิเศษ ราวกับว่าเพิ่งเคยพบหานลี่เป็นครั้งแรก

 

 

เช่นนั้นดูแล้วเขาคงต้องบุกเข้าไปในเขตแดนต้องห้ามของแดนกว้างเย็นจริงๆ แล้ว

 

 

หลังจากที่แบ่งกลุ่มทุกคนเสร็จสิ้น ภายใต้การส่งสัญญาณจากเชียนจีจื่อ ตัวประหลาดเผ่าระดับเผ่าศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่คุ้นหน้าอีกคนหนึ่งก็หยัดกายลุกขึ้น เริ่มอธิบายกฎข้อห้ามและเรื่องเล็กๆ น้อยในแดนกว้างเย็นให้หานลี่และพวกฟัง

 

 

แม้ว่าหานลี่และพวกจะได้ฟังสิ่งนี้จากวิธีการอื่นมาไม่ต่ำกว่าหนึ่งรอบแล้ว แต่ในยามนี้ก็ยังคงตั้งใจฟังอย่างไม่กล้าว่อกแว่ก

 

 

เมื่อตัวประหลาดเฒ่าอธิบายจบ เชียนจีจื่อก็โบกมือ หมอกลำแสงสีขาวผืนหนึ่งบินออกมาจากแขนเสื้อ เปล่งแสงสว่างวาบ แล้วมีสมบัติน้อยใหญ่ห้าสิบหกสิบชิ้นปรากฏขึ้นกลางอากาศตรงหน้า

 

 

สมบัติเหล่านี้มีทั้งเป็นกำไลทรงกลม ขวดสีทอง ธงเล็กๆ ไม้เท้าต่างๆ เรียกได้ว่ามีอยู่มากมาย ไอสมบัติพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า 

 

 

แต่ดาบบิน กระบี่บินซึ่งเป็นสมบัติที่พบเห็นได้บ่อยที่สุดกลับไม่มีเลยสักชิ้น

 

 

ทุกคนมองสบตากลางอากาศ ชั่วขณะนั้นพลันรู้สึกตาลาย ใบหน้าอดที่จะเผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมาไม่ได้

 

 

คนเหล่านี้มองไปที่เชียนจีจื่อ ขยับริมฝีปาก ดูเหมือนว่าจะเอ่ยถามอันใดสักอย่าง

 

 

แต่ในยามนั้นเชียนจีจื่อกลับหัวเราะยาวๆ แล้วเอ่ยว่า

 

 

“พวกเจ้าจะรออันใดล่ะ สมบัติเหล่านี้ล้วนนำมาจากคลังลับของเมือง เพื่อให้การเดินทางของพวกเจ้าราบรื่น จึงมอบให้พวกเจ้าโดยเฉพาะ ทุกชิ้นล้วนใช้ได้โดยไม่ต้องหลอม แต่คนหนึ่งเอาไปได้แค่ชิ้นเดียว ที่เหลือตาเฒ่าจะเก็บไป”

 

 

เมื่อฟังจบ ทุกคนพลันตกตะลึง ทันใดนั้นก็เผยสีหน้ายินดีออกมา

 

 

คนจำนวนไม่น้อยร่ายอาคมทันที บ้างก็ตะปบมือไปกลางอากาศ ทยอยกันหยิบสมบัติที่ตนเองต้องการ

 

 

สมบัติสองสามชิ้นในนั้นที่มีกลิ่นอายแข็งแกร่งที่สุดก็แทบจะถูกคนสองสามคนถูกใจ ยามนั้นสมบัติเหล่านั้นจึงเปล่งแสงต่างๆ แค่สั่นไหวไปมาอยู่กลางอากาศ สุดท้ายก็ไม่ได้ตกอยู่ในมือของใคร แน่นอนว่าย่อมต้องดูฝีมือแล้ว

 

 

ชั่วพริบตาสมบัติกลางอากาศก็ถูกหยิบออกไปครึ่งหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีสองสามคนที่ยังไม่ได้ลงมือ แค่พิจารณาสมบัติที่เหลือด้วยท่าทางครุ่นคิด

 

 

สำหรับคนเหล่านี้กลิ่นอายของสมบัติที่แข็งแกร่งย่อมมีอานุภาพไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าสมบัติที่มีกลิ่นอายอ่อนแอ จะไม่ต้องใจตนเอง บางครั้งสมบัติที่สอดคล้องกับเคล็ดวิชาของตนเอง กลับสามารถเพิ่มอานุภาพได้หลายเท่า

 

 

หานลี่เองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ยังไม่ได้หยิบสมบัติใดๆ ไป

 

 

ทว่าเขาไม่รอให้เวลาผ่านไปนานนัก แววตาเปล่งแสงสีฟ้าสว่างวาบ มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศ

 

 

สมบัติชิ้นหนึ่งเปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบ มือยักษ์สีเขียวข้างหนึ่งปรากฏขึ้นพลางตะปบลงไป จากนั้นก็กลายเป็นหมอกลำแสงสีเขียวบินมาหาหานลี่

 

 

ในมือของหานลี่มีลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ หมอกลำแสงสีเขียวสลายหายไป กลับเผยพัดหยกสีเขียวมรกตเปล่งแสงสีฟ้าสดใสออกมา ผิวของมันมีรูปยอดเขางดงามแห่งหนึ่งสลักอยู่ แต่กลับมีพลังเย็นเยียบแผ่ออกมาจากตัวพัด

 

 

คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสมบัติวิเศษธาตุน้ำแข็งชิ้นหนึ่ง

 

 

หานลี่หยักมุมปากขึ้น พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ แต่ครู่ต่อมาก็สัมผัสอันใดได้ จึงเงยหน้าขึ้นมองฝั่งตรงข้ามด้วยสีหน้าราบเรียบแวบหนึ่ง

 

 

ผลคือมองเห็น ‘ท่านเซียนเย่ว์’ ผู้นั้นกำลังมองเขาด้วยแววตาเปล่งประกาย สายตาที่มองมานั่นก็คือพัดหยกสีฟ้าในมือของเขา

 

 

แต่ยามนี้เห็นหานลี่กวาดสายตามากลับชักสายตากลับไป มองไปยังกลางอากาศอีกครั้ง

 

 

หญิงสาวผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ไม่ได้หยิบสมบัติ 

 

 

มุมปากของหานลี่เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา แววตากลับเปล่งประกายครุ่นคิด

 

 

สุดท้าย ‘ท่านเซียนเย่ว์’ ผู้นี้ก็หยิบสมบัติทรงไม้บรรทัดไป เป็นสีขาวนวล คาดไม่ถึงว่าจะเป็นสมบัติธาตุเย็นชิ้นหนึ่ง

 

 

หลังจากที่คนสุดท้ายหยิบสมบัติที่ต้องการออกไปแล้ว เชียนจีจื่อก็สะบัดแขนเสื้อไปกลางอากาศ ชั่วขณะนั้นลำแสงสีขาวพลันสว่างวาบ สมบัติที่เหลือกลายเป็นลำแสงบินเข้าไปในแขนเสื้อของเขาเป็นสายๆ

 

 

“เวลาก็ผ่านมาพอสมควรแล้ว พวกเจ้าเองก็เตรียมตัวเถิด” เชียนจีจื่อส่งสัญญาณให้ชายหนุ่มแซ่เวิง ออกคำสั่งด้วยเสียงเคร่งขรึม

 

 

ดังนั้นทุกคนในตำหนักจึงเกิดเสียงอื้ออึงขึ้น เริ่มทะลักออกมาด้านนอกตำหนัก

 

 

หานลี่ยืนอยู่บนจัตุรัสนอกตำหนักแล้วกวาดตามองไปยังท้องฟ้าแวบหนึ่ง เห็นเพียงดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าเปล่งแสงเจิดจ้า เห็นได้ชัดว่ายามนี้เป็นยามเที่ยง

 

 

จากนั้นสายตาก็มองไปยังเขตอาคมขนาดใหญ่สองเขตที่อยู่ไม่ไกลนัก

 

 

เห็นเพียงตรงใจกลางของเขตอาคมทั้งสองมีนักรบชุดเกราะร้อยกว่าคนมือถือจานอาคมและธงอาคมต่างๆ ยืนอยู่ตรงนั้น

 

 

ส่วนศิลาวิญญาณที่ฝังอยู่เต็มไปหมดในเขตอาคมก็เริ่มเปล่งแสงจางๆ ท่าทางเตรียมการทุกอย่างพร้อมแล้ว

 

 

ทว่าหานลี่พลันหรี่ตาทั้งสองข้างลง กลับมองไปยังกลางอากาศตรงใจกลางของเขตอาคม

 

 

กลางอากาศมีดวงแสงขนาดเท่าศีรษะอยู่ลูกหนึ่งผิวของมันมีลำแสงห้าสีเปล่งแสงระยิบระยับไม่หยุด ด้านในมีอันใดสักอย่างอยู่รางๆ

 

 

หานลี่พลันหน้าเปลี่ยนสี จิตสัมผัสรับรู้ได้เล็กน้อย ก็รู้ว่าในดวงแสงนั้นนั่นก็คือแผ่นป้ายกว้างเย็นที่ตนเองกระตุ้นมันโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

 

แต่แค่แผ่นป้ายนี้ดูเหมือนว่าจะถูกดวงแสงห้าสีกักเอาไว้ชั่วคราว ยามนี้เขาจึงไม่อาจกระตุ้นได้เลยสักนิด

 

 

ยามนี้เชียนจีจื่อและพวกก็เดินออกมาจากตำหนัก และหยุดอยู่ที่ประตูของตำหนัก จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองพระอาทิตย์บนท้องฟ้าเช่นกัน แววตาเปล่งประกายวาวโรจน์

 

 

“เวลาในการเปิดห้ามผิดพลาด ย้ายของขวัญกว้างเย็นออกมาเถิด” ฉับพลันนั้นเขาก็ออกคำสั่งกับนักรบชุดเกราะในบริเวณนั้น 

 

 

“ขอรับ”

 

 

หลังจากตอบรับแล้ว ชั่วขณะนั้นนักรบชุดเกราะสองสามคนก็กลายเป็นสายรุ้งสีเงินบินเข้าไปในตำหนักเป็นสายๆ 

 

 

หลังจากผ่านไปชั่วครู่คนเหล่านั้นก็เงยหน้าขึ้นมองของชิ้นใหญ่ชิ้นหนึ่งที่เดินออกมาจากตำหนักอีกครั้งอย่างกินแรง

 

 

ของสิ่งนี้สูงประมาณสิบจั้งเศษ รูปทรงเหมือนระฆังสีเขียวใบหนึ่ง แต่ผิวของมันกลับมีรูปปั้นแกะสลักหัวมังกรหลับตาอยู่สิบกว่าตัว ทำให้มันดูลึกลับเป็นอย่างมาก 

 

 

หลังจากเสียง “เกร๊ง” ดังขึ้น ‘ของขวัญกว้างเย็น’ ก็ถูกวางลงใจกลางจัตุรัส คาดไม่ถึงว่าจะทำให้พื้นดินสั่นสะเทือน 

 

 

เชียนจีจื่อพลันขมวดคิ้ว มือหนึ่งร่ายอาคมแล้วชูขึ้นอีกครั้ง 

 

 

อาคมสีขาวสายหนึ่งบินออกไป เปล่งแสงสว่างวาบแล้วจมหายเข้าไปในของขวัญกว้างเย็น พลางหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ผิวของระฆังสีเขียวมีม่านลำแสงปรากฏขึ้นเป็นหมื่นสาย ในเวลาเดียวกันก็มีอักขระสีเขียวจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมา รูปปั้นแกะสลักหัวมังกรที่ดูสมจริงสิบกว่าตัวเคลื่อนไหวราวกับมีชีวิต แต่โชคดีที่พลันฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติในทันใด

 

 

ผิวของระฆังยักษ์เหลือเพียงอักขระลึกลับกะพริบวาบๆ ไม่หยุด 

 

 

ทุกคนรวมทั้งหานลี่ล้วนพิจารณาของสิ่งนั้นไม่หยุด แต่แน่นอนว่าย่อมมองอันใดไม่ออก

 

 

ยามนี้เชียนจีจื่อและพวกตัวประหลาดเฒ่ากลับไม่ได้ใส่ใจของขวัญกว้างเย็น ต่างสนทนากันไปมา 

 

 

 กลับเป็นชายหนุ่มแซ่เวิงที่ไม่ได้เดินออกมาจากตำหนักด้วยเพราะเหตุใดก็สุดจะรู้ได้