ตอนที่ 390 พ่ายแพ้กลับไป

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

หลังจากกล่าวคำสาบานเสร็จสิ้น ทั้งสองก็ไม่รอช้าและมุ่งหน้าไปยังสังเวียนที่ถูกเตรียมไว้ตรงกลางทันที

ฉินอวี้โม่ยังคงมีท่าทีเรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง นางไม่เคยเห็นเลี่ยซานผู้นี้อยู่ในสายตาอยู่แล้ว

ในขณะเดียวกัน สีหน้าของเลี่ยซานก็เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นขณะมองฉินอวี้โม่ด้วยแววตาอาฆาตมาดร้ายอย่างเปิดเผย

“เริ่มกันเถอะ”

ฉินอวี้โม่เอ่ยขึ้นเบาๆและไม่มีความคิดที่จะเรียกอสูรมายาของตนเองออกมา

“ท่านแม่ ข้าจะช่วยคุ้มกันท่านเอง”

หานอวี้ยิ้มกว้างขณะปรากฏกายข้างฉินอวี้โม่และมองคู่ต่อสู้ด้วยความแววตาเหยียดหยาม

“นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างนางกับข้า คนนอกห้ามเข้ามายุ่งเกี่ยว”

เมื่อเห็นเจ้าหนูน้อยเข้ามาใกล้ ร่องรอยความกลัวก็ผุดขึ้นในหัวใจของเลี่ยซาน

“ใครบอกล่ะว่าข้าเป็นคนนอก? ข้าเป็นอสูรมายาของท่านแม่ แน่นอนว่าข้าจะต้องสู้เคียงข้างนางเป็นธรรมดา อีกอย่าง…ท่านแม่ของข้าเพียงคนเดียวก็เพียงพอที่จะจัดการกับเจ้าแล้ว ข้าแค่จะช่วยคุ้มกันนางเท่านั้น”

หานอวี้ยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านก่อนที่สัญลักษณ์พันธสัญญากับฉินอวี้โม่ปรากฏขึ้นที่เท้าของมันและมังกรน้อยมองเลี่ยซานด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์

เมื่อเห็นสัญลักษณ์ที่ปรากฏใต้เท้าหานอวี้และฉินอวี้โม่ เลี่ยซานที่มีสีหน้าแห่งชัยชนะในตอนแรกก็กลายเป็นบิดเบี้ยวจนแทบดูไม่ได้

หานอวี้ผู้ทรงพลังกลับกลายเป็นอสูรมายาของฉินอวี้โม่ไปเสียได้ หากเป็นเช่นนี้ก็หมายความว่าพลังของฉินอวี้โม่…

เมื่อเลื่อนสายตาไปมองที่ฉินอวี้โม่อีกครั้ง จู่ๆเลี่ยซานก็เกิดความกลัวขึ้นมา หรือว่าข้อสันนิษฐานของเขาจะผิดไปเสียแล้ว?

สีหน้าของเลี่ยหยางและฉินส่าวชิงเองก็ดูไม่ได้เช่นกัน พวกเขาคิดมาตลอดว่าฉินอวี้โม่คือผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่ม อย่างไรก็ตาม จากสถานการณ์ในเวลานี้ นางกลับกลายเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด

หากสถานการณ์พลิกผันเป็นเช่นนี้ เลี่ยซานก็จะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน

“บัดซบ! เจ้าบังอาจหลอกลวงข้า!”

เลี่ยซานไม่รอช้าอีกต่อไปขณะร่างของเขาพุ่งตรงไปโจมตีฉินอวี้โม่

“ในเมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงเต็มใจที่จะต่อสู้กัน เจ้าจะเรียกว่ามันเป็นการหลอกลวงได้อย่างไร? ถ้าจะกล่าวโทษสิ่งใดก็โทษความมั่นอกมั่นใจเกินไปของตัวเจ้าเองเถอะ”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากขณะมองเลี่ยซานที่กำลังพุ่งมาโจมตีโดยไม่ขยับเขยื้อน

ตู้ม!

หมัดของเลี่ยซานยังไม่ทันเข้าใกล้ฉินอวี้โม่ด้วยซ้ำและเขาสัมผัสได้ว่ามันกระแทกเข้ากับม่านป้องกันที่แข็งแกร่งซึ่งทำให้เขารู้สึกเจ็บกำปั้นเล็กน้อย

“ฮ่าๆๆ พลังของเจ้าด้อยกว่าหลิวจื้อเสียอีก!”

ฉินอวี้โม่หัวเราะเบาๆขณะพุ่งตรงออกไปปรากฏกายเหนือร่างเลี่ยซานและก้าวเท้าเหยียบลงไปที่ศีรษะของเขา

เลี่ยซานสะดุ้งตกใจขึ้นมาทันทีและไม่รอช้าขณะหลบหลีกออกไปอย่างรวดเร็ว ทว่าทันทีที่เขาหลบหลีกไปได้ ฉินอวี้โม่ก็เตะออกไปอีกครั้งและซัดเข้าไปที่ช่วงเอวของเขาจนกระเด็นออกไป

ตึก! ตึก! ตึก!

หลังจากถูกโจมตีจนถอยหลังออกไปหลายก้าว ในที่สุดเลี่ยซานก็ยืนได้อย่างมั่นคงทว่าสีหน้ายังคงเหยเกอย่างที่สุด

ฉินอวี้โม่ยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉยราวกับผลลัพธ์ทุกอย่างอยู่ในการควบคุมของนางแล้วและไม่มีเรื่องที่น่าแปลกใจใดๆ

“เหอะ เจ้าคิดว่าเจ้าเอาชนะข้าได้งั้นรึ?!”

เลี่ยซานแค่นเสียงเย็นชาและจู่ๆเขาก็หยิบโอสถหนึ่งเม็ดขึ้นมารับประทานลงคอทันที

จากนั้นเพียงครู่เดียวสภาวะพลังจากร่างของเลี่ยซานก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ภายในพริบตาเดียว มันก็ทะลวงไปถึงขอบเขตเซียน

“น่ารังเกียจยิ่งนัก ไม่คาดคิดว่าเขาจะกินโอสถระเบิดพลังเพื่อเพิ่มพลังของตนเองไปถึงขอบเขตเซียนเป็นการชั่วคราว”

เมื่อเห็นการกระทำของเลี่ยซาน ซูน่าก็อดกล่าวอย่างเย็นชาไม่ได้

“ซูน่า ไม่ต้องห่วง มันไม่ได้เป็นปัญหาเลย”

มารยากล่าวพร้อมรอยยิ้มบางๆเพื่อไม่ให้ซูน่าต้องเป็นกังวล

ไม่ว่าเวลานี้เลี่ยซานจะมีพลังในขอบเขตใด เขาก็จะต้องพ่ายแพ้อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ วิธีนี้มีเพียงแต่ถ่วงเวลาได้ระยะสั้นๆเท่านั้น

ซูน่าถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินคำยืนยันจากมารยา

ในเมื่อมารยากล่าวเช่นนี้ ซูน่าก็ไม่กังวลสิ่งใดอีก อย่างไรก็ตาม หากฉินอวี้โม่เอาชนะเลี่ยซานได้อย่างง่ายดาย มันก็คงจะเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวเกินไป

เดิมทีเลี่ยหยางคิดว่าจะได้เห็นสีหน้าที่ตื่นตระหนกตกใจของซูวั่งชวนและคนอื่นๆ ไม่คิดเลยว่าคนเหล่านั้นจะยังมีสีหน้าที่เรียบเฉยไม่เปลี่ยนแปลง เขาจึงอดที่จะขมวดคิ้วอย่างสงสัยไม่ได้ หรือว่าฉินอวี้โม่ผู้นี้จะทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก?

“เลี่ยซาน นี่คือไพ่ตายของเจ้างั้นรึ?”

ฉินอวี้โม่ยิ้มเยาะเบาๆ มันช่างประจวบเหมาะเสียจริง ครานี้นางจะได้ทดสอบความแตกต่างระหว่างพลังในปัจจุบันของนางและพลังของขอบเขตเซียน

“เหอะ สำหรับเจ้าแค่นี้ก็เกินพอแล้ว”

เลี่ยซานแค่นเสียงเย็นชา จากนั้นเขาก็พุ่งออกไปหมายจะโจมตีคู่ต่อสู้

ครานี้การเคลื่อนไหวของเขาเร็วขึ้นอย่างเห็นได้ชัดและพลังของเขาก็เพิ่มมากขึ้นกว่าปกติ หากการโจมตีพุ่งเข้าไปถึงเป้าหมาย มันคงจะสร้างความเสียหายได้ไม่น้อย

เพียงแต่อดีตนักฆ่าสาวผู้เก่งกาจไม่มีทางยืนรอความตายอยู่อย่างนิ่งเฉย

เพียงการเคลื่อนไหวร่างกายเบาๆ นางก็หลบเลี่ยงการโจมตีของเลี่ยซานและปรากฏกายข้างหลังเขาอย่างรวดเร็ว

ไม่จำเป็นต้องกล่าวถึงความแข็งแกร่ง เฉพาะความเร็วเพียงอย่างเดียว เลี่ยซานก็ยังด้อยกว่าฉินอวี้โม่มาก

ทว่าเลี่ยซานก็ไม่ได้ลังเลแต่อย่างใดขณะพยายามคาดเดาการเคลื่อนไหวของฉินอวี้โม่และโจมตีต่อไปอย่างไม่หยุดหย่อน

ฉินอวี้โม่ก็ยังคงไม่ได้ตั้งรับอย่างซึ่งๆหน้าและพุ่งตัวหลีกเลี่ยงการโจมตีอย่างต่อเนื่อง

“อวี้โม่ เจ้ารู้จักเพียงแค่การหลบๆซ่อนๆงั้นรึ?! หากมีฝีมือจริงก็มาสู้กับข้าอย่างซึ่งๆหน้าสิ!”

ต้องกล่าวเลยว่าความเร็วของฉินอวี้โม่เหนือชั้นกว่าเลี่ยซานมาก เขาไม่คิดเลยว่าถึงแม้พลังของตนเองในเวลานี้จะอยู่ในขอบเขตเซียน ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับฉินอวี้โม่แล้ว ความเร็วของเขาก็ยังด้อยกว่ามาก จอมยุทธ์สตรีผู้นี้ช่างน่าสะพรึงกลัวอย่างแท้จริง

โอสถของเลี่ยซานมีขีดจำกัดเวลาอยู่ เมื่อใดที่มันหมดฤทธิ์ เขาจะเข้าสู่ช่วงสภาวะอ่อนแอเป็นระยะเวลาหนึ่ง เขาจะต้องตัดสินผลลัพธ์ของการต่อสู้นี้ให้ได้ก่อนที่โอสถจะสิ้นฤทธิ์ เพราะเหตุนั้นเขาจึงลั่นวาจาออกไปเพื่อยั่วยุให้ฉินอวี้โม่ต่อสู้กับเขาอย่างซึ่งๆหน้า

เมื่อเห็นว่าฉินอวี้โม่ได้เปรียบแล้ว ซูน่าและคนอื่นๆก็โล่งใจเล็กน้อย ทว่าคำพูดของเลี่ยซานก็ทำให้ซูน่าตะโกนเสียงดังออกมา “อวี้โม่ ไม่ต้องสนใจเขา อีกเพียงแค่สองก้านธูปเท่านั้น เมื่อโอสถสิ้นฤทธิ์ เจ้าจะเอาชนะเขาได้อย่างง่ายดาย ในเมื่อความเร็วของเจ้าเหนือกว่าเขามาก เจ้าควรจะถ่วงเวลาเขาไว้”

ซูวั่งชวนและซูชิงก็คิดแบบเดียวกัน ตราบใดที่ประวิงเวลาไปเรื่อยๆ ฉินอวี้โม่จะเป็นฝ่ายคว้าชัยชนะอย่างแน่นอน

อย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่รูปแบบการต่อสู้ของฉินอวี้โม่ และหากไม่ถึงคราวจำเป็นจริงๆ นางจะไม่เลือกใช้วิธีนั้นเพื่อให้ได้ชัยชนะมาครอง

“ในเมื่อเจ้าอยากจะสู้กันซึ่งๆหน้า ข้าก็จะจัดให้ตามคำขอ!”

ฉินอวี้โม่เอ่ยอย่างเย็นชาและเพลิงหนาแน่นก่อตัวขึ้นบนกำปั้นของนางทันที

“วิชามนตราเพลิง —— หมัดเปลวเพลิงทะลวง!”

กำปั้นของนางพุ่งตรงไปปะทะกับกำปั้นของเลี่ยซานอย่างจัง

ตู้ม!

แรงปะทะมหาศาลทำให้ฉินอวี้โม่ต้องก้าวถอยหลังไปอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่ถอยหลังไปได้กว่าสิบก้าวเท่านั้นที่นางจะทรงตัวได้

ทว่าบนสังเวียนต่อสู้ คู่ต่อสู้ของนางมิได้ยืนอยู่ในจุดเดิมอยู่อีกต่อไป กำปั้นของฉินอวี้โม่ทำให้เขากระเด็นออกไปก่อนร่วงลงพื้นอย่างแรงและหมดสติไป

“ทรงพลังยิ่งนัก!”

เมื่อเห็นสภาพของเลี่ยซานในตอนนี้ บางคนก็อดกลืนน้ำลายตนเองไม่ได้ ฉินอวี้โม่ผู้นี้น่าอัศจรรย์อย่างแท้จริง

สีหน้าของฉินส่าวชิงบูดบึ้งอย่างยิ่ง เขาเห็นแล้วว่าเลี่ยซานพ่ายแพ้ เช่นนั้นแล้วจุดประสงค์ของการมาที่นี่ในวันนี้ก็ไม่ประสบผลสำเร็จ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเสียหน้าอย่างที่สุด

“เหอะ!”

เลี่ยหยางแค่นเสียงในลำคออย่างไม่สบอารมณ์ก่อนที่เขาจะพุ่งตรงออกไปเพื่อโจมตีฉินอวี้โม่ ตราบใดที่สังหารฉินอวี้โม่ได้สำเร็จ คำสาบานก็จะไม่เป็นผลอีกต่อไป เขาเพียงต้องการสังหารนางให้ได้ก่อนที่ทุกคนจะไหวตัวทัน

“เลี่ยหยาง บังอาจนัก!”

ซูวั่งชวนเห็นการเคลื่อนไหวของเลี่ยหยางทว่าเขาก็ยังช้ากว่าอีกฝ่ายไปก้าวหนึ่ง เขาเพียงตะโกนเสียงดังออกไปขณะพุ่งตรงเข้าไปหาฉินอวี้โม่ด้วยความหวังว่าจะเข้าไปขัดขวางการโจมตีของเลี่ยหยางได้ทันเวลา

“เหอะ ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องลงมือเช่นนี้!”

นักฆ่าสาวในร่างคุณหนูแค่นเสียงเย็นชาทว่าไร้ซึ่งความเกรงกลัวหรือหวาดหวั่นใดๆ

“ข่ายอาคมสามมังกรชิงแก้ว!”

มารยาซึ่งอยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นเบาๆและเลี่ยหยางผู้ซึ่งปรากฏตรงหน้าฉินอวี้โม่ก็ตระหนักได้ว่าเป้าหมายไม่อยู่ตรงหน้าอีกต่อไป

ในทางกลับกัน มังกรขนาดมหึมาสามตัวที่ก่อตัวขึ้นจากพลังมายาก็ปรากฏขึ้นแทนที่และโจมตีตรงมาที่ตัวเขา พลังมหาศาลจากพวกมันทำให้เลี่ยหยางรู้สึกกดดันไม่น้อย

ตู้ม!

เลี่ยหยางมิใช่คนอ่อนแอ เขาเองก็มีพลังถึงขอบเขตเซียนขั้นสี่และแน่นอนว่าย่อมตอบโต้ได้ทันท่วงที

สภาวะพลังจากร่างของเขาเพิ่มสูงขึ้นและม่านป้องกันก็ปรากฏขึ้นขวางมังกรมายาทั้งสาม

จากนั้นกระบี่เล่มงามก็ปรากฏขึ้นและเลี่ยหยางก็ร่ายรำเพลงกระบี่เพื่อปัดเป่ามังกรทั้งสามออกไปโดยที่ข่ายอาคมสามมังกรชิงแก้วก็ถูกเลี่ยหยางทำลายไปโดยตรง

อย่างไรก็ตาม เวลาในช่วงสั้นๆนี้ก็เพียงพอที่ฉินอวี้โม่จะกลับไปอยู่ข้างกายของซูชิงและคนอื่นๆซึ่งเป็นจุดที่นางจะปลอดภัย

ทว่าในตอนที่ซูวั่งชวนกำลังจะเข้าไปช่วย เมื่อเขาเห็นว่าเลี่ยหยางถูกครอบงำอยู่ในข่ายอาคม เขาก็รู้สึกโล่งใจ

ทันทีที่ฉินอวี้โม่ปรากฏกายข้างซูชิง เขาก็ถอยกลับไปตามเดิม

หลังจากทำลายข่ายอาคมได้สำเร็จ สิ่งที่เลี่ยหยางมองเห็นคือสีหน้าไม่พอใจของซูวั่งชวนและคนอื่นๆ

“เลี่ยหยาง เจ้านี่มันหน้าด้านหน้าทนยิ่งนัก เจ้ากล้าลอบจู่โจมคนที่อ่อนแอกว่าเจ้ามาก เจ้าไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยรึ?!”

ซูวั่งชวนเอ่ยขึ้นทันที เมื่อครู่นี้หากฉินอวี้โม่ได้รับบาดเจ็บ ต่อให้ต้องทุ่มเทอย่างสุดกำลัง เขาก็ไม่มีทางปล่อยให้เลี่ยหยางรอดชีวิตไปได้อย่างแน่นอน

เลี่ยหยางตระหนักแล้วว่าไม่มีโอกาสทำร้ายฉินอวี้โม่ได้อีก เขาจึงสบถกับตัวเองเบาๆก่อนถอยกลับไปยืนข้างฉินส่าวชิง

“เลี่ยหยาง เจ้าไม่มีความสามารถพอที่จะทำร้ายข้าได้ ครานี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป ทว่าคราต่อไปหากเจ้ายังคิดจะเข้ามาก่อกวนข้า รอพบกับข่ายอาคมที่แกร่งกล้ากว่านี้นับร้อยเท่าได้เลย เมื่อถึงตอนนั้นเจ้าจะไม่สามารถหลบหนีออกไปได้ง่ายๆเช่นนี้ เจ้าควรรู้จักการเจียมเนื้อเจียมตัวซะบ้าง!”

ฉินอวี้โม่เอ่ยอย่างไม่ไว้หน้า นางคาดการณ์ถึงสถานการณ์เช่นนี้ไว้แล้ว เพราะเหตุนั้นมารยาจึงฉวยโอกาสในช่วงที่ผู้คนคาดไม่ถึงวางข่ายอาคมสามมังกรชิงแก้วไว้รอบสังเวียน เมื่อเลี่ยหยางกล้าโจมตีอย่างไม่ยั้งคิด มันก็จะส่งผลต่อเขาโดยตรง

สีหน้าของเลี่ยหยางบิดเบี้ยวทันทีที่ได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ ทว่าเขาไม่กล้าเอ่ยสิ่งใดตอบโต้ ข่ายอาคมสามมังกรชิงแก้วเมื่อครู่ทำให้เขารู้สึกถึงความกดดันอย่างยิ่ง หากเป็นข่ายอาคมที่ทรงพลังกว่านั้นนับร้อยเท่า เขาไม่มั่นใจเลยว่าจะหลบหนีได้

“ผู้ใช้ข่ายอาคมระดับสูง มันช่างล้ำลึกจริงๆ!”

ฉินส่าวชิงมองฉินอวี้โม่และกล่าวขึ้นเบา ๆ “วันนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไปก่อน ในช่วงหนึ่งร้อยวันข้างหน้านี้ เราจะทำตามคำที่ลั่นวาจาไว้ อย่างไรก็ตาม เมื่อครบกำหนดหนึ่งร้อยวัน ข้าจะจับเจ้าไปที่จวนเจ้าเมืองด้วยตัวเองและสอบสวนหาความจริงอย่างละเอียด!”

จากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีกต่อไป

“น่าขายหน้าชะมัด!”

หลังจากชำเลืองมองเลี่ยหยางและเลี่ยซานอย่างเย็นชา ฉินส่าวชิงก็เหาะตรงไปในทิศทางของเมืองเพลิงมายาทันที

เลี่ยหยางคว้าร่างไร้สติของบุตรชายตนเองและติดตามฉินส่าวชิงไปอย่างรวดเร็ว ทว่าก่อนจากไป เขาไม่ลืมที่จะจ้องหน้าฉินอวี้โม่ด้วยแววตาเคียดแค้นอย่างไม่ปิดบัง

“ช้าก่อน จะรีบไปไหนเล่า?”

ซูชิงเอ่ยขึ้นเบาๆทว่ามุมปากยกเป็นรอยยิ้มชัดเจน เขาไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะทรงพลังถึงเพียงนี้

“จอมยุทธ์อวี้โม่ช่างเก่งกาจจริงๆ!”

ชาวชนเผ่าเมฆาคำรามต่างก็ตะโกนแซ่ซ้องเสียงดังด้วยความตื่นเต้นอย่างที่สุด แม้ว่าก่อนหน้านี้ฉินอวี้โม่จะช่วยชีวิตอาอู่ไว้ซึ่งได้รับความเคารพจากพวกเขาอยู่แล้ว ทว่าเมื่อได้เห็นนางแสดงฝีมืออย่างแท้จริงในวันนี้ พวกเขารู้สึกเคารพฉินอวี้โม่มากยิ่งขึ้นอีก

ฉินอวี้โม่ยิ้มมุมปากเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงโห่ร้องสรรเสริญของผู้คน จากนั้นนางก็สบตากับซูวั่งชวนและเข้าใจความหมายของอีกฝ่ายโดยที่ไม่ต้องเอ่ย

ในอีกหนึ่งร้อยวันข้างหน้า พวกเขาจะต้องเตรียมความพร้อมเป็นอย่างดี

.