ตอนที่ 490 เขาผู้นี้ฆ่าหรือมิฆ่าดี

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 490 เขาผู้นี้ฆ่าหรือมิฆ่าดี

สนามล่าสัตว์หลวงและเรือนหลวง ได้ถูกฟู่เสี่ยวกวนปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเสียจนมิเหลือเค้าโครงเดิม

ทหารที่ลาดตระเวนอยู่ที่ด่านหนานซานจำนวน 1,000 นาย หลังจากได้รับพระราชโองการจากฝ่าบาทว่ามิต้องกักกันผู้เข้าออกเรือนหนานซานอีกต่อไป เนื่องจากฝ่าบาทจะมิทรงเดินทางมาล่าสัตว์ที่นี่อีก และเนื่องจากต่อแต่นี้จะมีผู้คนเข้าออกจำนวนมาก ดังนั้นพวกเขาจึงหมดหน้าที่ไปทันใด

ผู้นำของกองทหารม้าหยางซีได้พักผ่อนกับเขาเสียที อากาศหนาวเหน็บเยี่ยงนี้ หากได้ผิงไฟอยู่ในค่ายและต้มสุราดื่มกันกับเหล่าทหารคงจะดีมิน้อย

รถม้าคันหนึ่งวิ่งตรงมาที่ภูเขาหนานซาน และได้จอดอยู่ที่เชิงเขา

มีสตรี 2 นางเดินลงมาจากรถม้า พวกนางคือถงเหยียนและเสวี่ยเฟยเฟย

นางยืนอยู่ตรงบริเวณเชิงเขา ถงเหยียนแหงนหน้ามองขึ้นไป ท่ามกลางหิมะที่โปรยปรายเยี่ยงนี้ แต่ผู้คนมากมายกำลังตั้งหน้าตั้งตาทำงานกันอย่างขะมักเขม้น

ยังมองมิเห็นอาคารที่ก่อสร้าง แต่ที่เชิงเขามีกระโจมใหญ่ตั้งอยู่ บัดนี้เป็นยามอู่พอดี จึงได้กลิ่นอาหารหอมอบอวลลอยมากับสายลม

“ผู้คนเหล่านี้…พักอาศัยที่กระโจมเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“คาดว่าจะเป็นเยี่ยงนั้น เนื่องจากที่นี่เพิ่งเริ่มก่อสร้าง ยังมิทันได้สร้างที่พักอาศัย”

“…พี่สาว ท่านว่าอากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้ เดิมทีพวกเขาควรจะเข้าไปนั่งผิงไฟอยู่ในเรือน แต่ฟู่เสี่ยวกวนบังคับพวกเขาให้มาทำเรื่องเหล่านี้หรือไม่ ? ”

เสวี่ยเฟยเฟยนิ่งเงียบไปชั่วครู่ “ข้าก็มิทราบเช่นกัน พวกเราไปถามพวกเขาดูเป็นเยี่ยงไร ? ”

ทั้งสองเดินไปยังสถานที่ก่อสร้าง ที่นี่ได้ถูกปรับหน้าดินเรียบร้อยแล้ว พื้นดินที่อัดแน่นมิได้ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ ผู้คนจำนวนมากกำลังนำโม่หินไปอัดให้ดินแน่น

หลู่จาวตี้เป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุ 6 ปีเท่านั้น นางมิสามารถทำงานหนักได้ แท้ที่จริงงานเหล่านี้นางมิอาจทำได้เลย นางกำลังปั้นตุ๊กตาหิมะอยู่ที่ด้านนอกสถานที่ก่อสร้างที่อยู่ห่างออกไปมิไกลเท่าใดนัก

ถงเหยียนและเสวี่ยเฟยเฟยเดินเข้าไปหานาง หลู่จาวตี้มองไปทางพวกนาง ไอหยา… มีนางฟ้าเดินมาถึง 2 นาง !

ถงเหยียนก้มตัวลงนั่งยอง ๆ ข้างหลู่จาวตี้ และได้ปั้นก้อนหิมะขึ้นมาก้อนหนึ่งก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยถามว่า “น้องสาว เจ้ามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”

“ข้าชื่อว่าหลู่จาวตี้”

“น้องสาว เจ้าอายุเท่าใดแล้ว ? ”

“ปีหน้าก็ครบ 7 ปีแล้ว”

“น้องสาว ตุ๊กตาหิมะนี้เหตุใดจึงมีดวงตาเพียงข้างเดียวเล่า ? ”

หลู่จาวตี้ครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ข้ามิรู้ว่าจะฝังอันใดลงไปจึงจะเหมือนกับดวงตาของคุณชาย”

“คุณชาย ? คุณชายคือผู้ใดกัน ? ”

หลู่จาวตี้หันศีรษะไปเหล่มองถงเหยียน “เจ้ามิรู้จักคุณชายเยี่ยงนั้นหรือ คุณชายก็คือผู้ที่สวรรค์ส่งลงมาเพื่อช่วยเหลือพวกเรา คุณชายเป็นเหมือนพระโพธิสัตว์”

ถงเหยียนตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน “เขามีนามว่าเยี่ยงไร ? ”

“แน่นอนว่าคือฟู่เสี่ยวกวน พวกเราเรียกเขาว่า… คุณชายมีดวงตาที่เป็นประกาย ส่องสว่างยิ่งกว่าดวงดาราบนท้องนภาเสียอีก ดังนั้นตุ๊กตาหิมะนี้ข้าจึงมิรู้ว่าจะใช้สิ่งใดทำแทนดวงตาของเขาดี”

ถงเหยียนชะงักลงทันพลัน นางยื่นมือออกไปปัดหิมะที่อยู่บนร่างกายของหลู่จาวตี้แล้วกล่าวว่า “อากาศหนาวเหน็บถึงเพียงนี้… เจ้าควรจะเข้าไปผิงไฟอุ่น ๆ และอ่านหนังสือ”

หลู่จาวตี้เอนศีรษะมองดูแม่นางผู้งดงามผู้นี้ นางยังคงใช้น้ำเสียงที่สดใสกล่าวกับถงเหยียนว่า “คุณชายกล่าวว่า ปีหน้า ในปีหน้าพวกเราทุกคนจะได้อาศัยในบ้านที่อบอุ่น และจะสร้างสำนักศึกษาหนานซานขึ้นมาอีกด้วย คุณชายกล่าวว่าเด็กเยี่ยงข้าก็จะได้เข้าศึกษาที่สำนักศึกษาหนานซานด้วย”

หลู่จาวตี้กล่าวอย่างจริงจัง สีหน้าของนางเชื่อมั่นในตัวฟู่เสี่ยวกวนอย่างแท้จริง ดวงตาของนางปรากฏภาพของบ้านที่อบอุ่นและสำนักศึกษาขึ้นมา

“เจ้ามิกลัวว่าคุณชายจะโกหกพวกเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

หลู่จาวตี้ขมวดคิ้วขึ้นมาทันใด “พี่สาวท่านมิงดงามเท่าฮูหยินทั้งหลาย อีกทั้งยังกล่าววาจามิน่าฟังเท่าพวกนางด้วย คุณชายมิเคยโกหกผู้ใด วาจาที่คุณชายกล่าวออกมาทุกคำล้วนเป็นความจริง ! เจ้าจะไปรู้อันใดกัน ! ”

เมื่อกล่าวจบ หลู่จาวตี้ก็หันหลังแล้วเดินจากไป นางรู้สึกโมโหเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีคนที่กล้าสงสัยในตัวของคุณชาย ในมุมมองของนาง หากมิกลัวว่าจะสู้มิได้ นางคงจะสั่งสอนพวกนางไปสักยกหนึ่งแล้ว

ถงเหยียนยังคงนั่งอยู่ที่พื้น นางมองดูหนูน้อยที่กระโดดโลดเต้นไปทางสถานที่ก่อสร้าง จึงได้ค่อย ๆ ลุกขึ้นมา ในใจของนางเชื่อคำเอ่ยของหลู่จาวตี้เกือบทั้งหมด แต่ที่ว่านางมิงามเท่าฮูหยินนั้นนางมิยอมรับ อีกทั้งยังรู้สึกมิเห็นด้วย

มิรู้ว่าหลู่จาวตี้หมายถึงฮูหยินคนใด หากว่ามีโอกาส อยากจะขอยลโฉมเสียหน่อย

ทั้งสองเดินเข้าไปทางสถานที่ก่อสร้าง อาจเป็นไปได้ว่าหลู่จาวตี้ได้ไปฟ้องพ่อของนางเรื่องที่พี่สาวทั้งสองนางกล่าวร้ายคุณชาย หลู่เสี่ยวตงจึงได้วางงานในมือลงแล้วเดินตรงเข้ามาหาพวกนาง

เขาได้รับหน้าที่จากคุณชายให้รับผิดชอบดูแลสถานที่แห่งนี้ ดูแลการทำงานของที่นี่ในแต่ละวัน เขาให้ความเคารพนับถือคุณชายกับฮูหยินจากใจจริง

เพียงแต่แม่นางสองคนนี้มองดูแล้วมิใช่ชาวบ้านธรรมดา เขามิอยากหาเรื่องเดือดร้อนมาให้คุณชายกับฮูหยิน ดังนั้นเขาจึงได้เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “มิทราบว่าแม่นางทั้งสองเดินทางมาที่นี่ มาหาผู้ใดกัน ? ”

ที่แห่งนี้ล้วนเป็นแหล่งของชาวสลัมที่พักอาศัยอยู่ คนที่เดินทางมาก็ล้วนพาครอบครัวมาด้วยทั้งสิ้น แต่ละวันนอกจากพวกที่ส่งอาหารส่งน้ำแล้ว ก็แทบจะมิมีคนนอกเข้ามายังสถานที่แห่งนี้อีกเลย

ถงเหยียนยกยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า “ข้ามิได้มาหาผู้ใด แต่ได้ยินมาว่าที่นี่กำลังทำการก่อสร้าง ข้าและคุณหนูจึงได้เดินทางมาดูเสียหน่อย…มิทราบว่าท่านมีนามว่าเยี่ยงไร ? ”

“อ่า ข้ามีนามว่าหลู่เสี่ยวตง นางเป็นบุตรสาวของข้า” หลู่จาวตี้ยืนจูงมือพ่อของนางอยู่ด้านหลัง ดวงตาของนางดูมิเป็นมิตรสักเท่าใดนัก

“ข้าคิดว่า นี่ก็ใกล้จะถึงปีใหม่แล้ว คุณชายฟู่ยังให้พวกท่านทำงานกันอยู่ที่นี่… เขารังแกเอาเปรียบพวกท่านเกินไปหรือไม่ ? หากพวกท่านมีผู้ใดมิพอใจสามารถกล่าวกับข้าได้”

หลู่เสี่ยวตงหุบยิ้มลงทันที เขาตอบด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ท่านเป็นคุณหนูในจวนใหญ่ มิได้รับรู้ถึงความลำบากยากแค้นของพวกเราหรอกขอรับ คุณชายลงทุนกับที่นี่เป็นเงินกว่าแสนตำลึง เพื่อจัดการกับปัญหาชีวิตของพวกเรา

หากมิใช่เพราะคุณชาย ในปีนี้อย่าว่าแต่ปีใหม่เลย คนที่จะข้ามปีนี้ไปได้คาดว่าคงจะน้อยเต็มทน แม้ว่าพวกเราจะอาศัยอยู่ในกระโจม แต่ในกระโจมเหล่านั้นมีเตาผิง ในโรงอาหารแม้มีเพียงหมั่นโถวไส้หมูสับและข้าว แต่อาหารเหล่านี้มิเสียเงิน ในทางกลับกันคุณชายได้ให้ค่าตอบแทนพวกเราทุกวัน พวกเราเดินทางมาที่นี่ได้ยี่สิบกว่าวันแล้ว และก็มิมีผู้ใดเดินทางจากไปเช่นกัน มีแต่จะเดินทางมาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ”

หลู่เสี่ยวตงหยุดลงชั่วครู่ ก่อนจะกล่าวต่อว่า “คุณชายเคยกล่าวว่า นี่คือสิ่งที่พวกเราใช้สองมือนี้แลกมาได้ด้วยตนเอง คุณชายยังกล่าวอีกว่า…พวกเราจะมีวันพรุ่งนี้ที่งดงามรออยู่ ท่านคงมิรู้ว่าวันพรุ่งนี้ที่งดงามหมายถึงสิ่งใด”

“คุณชายกล่าวว่า จะมีสำนักศึกษาสำหรับศึกษาหาความรู้ ผู้ใช้แรงงานจะได้รับผลตอบแทน ยามป่วยจะมีโรงหมอ ผู้ชราจะมีคนเลี้ยงดู และทุกคนจะมีที่อยู่อาศัย พวกเราเชื่อมั่นว่าสิ่งที่คุณชายกล่าวมานั้นจะเป็นเรื่องจริง ดังนั้นขอคุณหนูอย่าได้กล่าวร้ายคุณชายเลยขอรับ”

คำกล่าวเหล่านี้ดังก้องอยู่ในหูของถงเหยียนราวกับฟ้าผ่า เขาผู้นี้ช่างมีจิตใจโอบอ้อมอารีอย่างแท้จริง !

เขาเป็นกังวลเดือดร้อนแทนราษฎรในใต้หล้า และค่อยแสวงหาความสุขให้ตนในภายหลัง !

เขามิได้ชื่นชอบในทรัพย์สินเงินทอง หลอกลวงราษฎร ตามที่ท่านนักบุญสาวได้กล่าวไว้ แต่สิ่งที่เขาทำล้วนเพื่อความสุขความมั่นคงของราษฎรทั้งสิ้น !

ถงเหยียนดูคล้ายกับว่าจะเกิดความลังเลขึ้นมา หากว่าฟู่เสี่ยวกวนตายไป ผู้คนมากมายที่นี่ อีกทั้งที่ผิงหลิงและชวูอี้จะทำเยี่ยงไร ? อีกทั้งผู้ที่เคยอพยพเข้ามายังซีซานนั่นอีก ผู้คนนับแสนคนเหล่านี้อีกทั้งจะมากขึ้นในอนาคต พวกเขาจะสามารถมีอนาคตที่งดงามได้เยี่ยงไร ?

คนผู้นี้จะฆ่าหรือมิฆ่าดี ?