ผ่านเมืองต้าหมิงไป คนบนถนนยิ่งมาก คนที่หนีภัยไปยามสงครามก่อนหน้านี้ล้วนทยอยกลับมา ผนวกกับทหารที่ประจำการสามเมืองแต่เดิมถอยกลับมา ทหารด้านนี้จึงมากกว่าก่อนหน้านี้มากนัก บนถนนใหญ่จะเห็นทหารสวมเกราะเด่นสะดุดตาขี่ม้าเร็วรี่ผ่านไปเป็นระยะๆ
ท่ามกลางคนที่เดินทางไปมานี้ นอกจากประชาชนธรรมดาที่หิ้วหาบข้าวของแล้ว ยังมีคนที่สวมเสื้อผ้าหรูหราขี่ม้าตัวโตสำเนียงต่างถิ่นอีกไม่น้อย
“ทำไมคนต่างถิ่นมากปานนี้?” มีชาวบ้านเอ่ยถามอย่างไม่เข้าใจ “ดูแล้วก็ไม่เหมือนหนีภัยนะ”
อีกอย่างใครหนีมาที่นี่ของพวกเขา แดนเหนือชายแดน กองทัพใหญ่ชาวจินรวมพลอยู่ แม้บอกว่าเจรจาสงบศึกแล้วไม่ทำสงครามแล้ว แต่ก็ยังน่ากลัวมากอยู่ดี
“หนีภัยอะไร” มีคนเดินเท้าส่ายศีรษะ “มีคนหนีภัยที่ไหนแต่งตัวเช่นนี้ พวกนี้ล้วนเป็นพวกพ่อค้า”
ขอเพียงเป็นสถานที่ซึ่งมีคนย่อมมีการค้า นี่ไม่มีสิ่งใดแปลก เพียงแต่มณฑลเหอเป่ยตงกับเหอเป่ยซีภายใต้การปกครองของเฉิงกั๋วกงสิบกว่าปีนี้ควบคุมพ่อค้าเข้มงวดยิ่งนัก
แน่นอนแดนเหนือทำการค้าได้ แต่เฉิงกั๋วกงขึ้นทะเบียนพวกเขาแยกต่างหากควบคุมเข้มงวด ทั้งยังกำหนดจุดค้าขายแน่นอน เคลื่อนไหวตามใจระหว่างเมืองมณฑลต้องแจ้ง ส่วนป้อมปราการชายแดนยิ่งไม่อนุญาตให้เข้าใกล้
“ตอนนี้ไม่เหมือนกันแล้ว” มีคนเอ่ยเสียงเบา “ชิงเหอปั๋วบอกว่าแดนเหนือทำสงครามทุกข์ยากมาหลายปีต้องให้ชาวบ้านมั่งคั่งร่ำรวย เช่นนี้ถึงทหารแข็งแกร่งอาชาพ่วงพีได้ ดังนั้นพ่อค้าทั้งหลายจึงล้วนรีบมา”
ชาวบ้านทั้งหลายคล้ายเข้าใจแต่ก็คล้ายไม่เข้าใจ
“ที่นี่ของพวกเรามีอะไรให้ทำการค้าได้รึ” ทุกคนส่ายศีรษะ “แล้วยังอันตรายเช่นนี้ ไม่กลัวขาดทุนไร้สิ่งใดกลับไปเสียบ้าง”
“ใครจะรู้ อย่างไรพ่อค้าทั้งหลายไล่ตามผลประโยชน์เก่งที่สุด ในเมื่อมีเงินให้แย่งก็ไม่กลัวสิ่งใด” คนเดินทางผายมือเอ่ย พูดพลางก็พยักพเยิดศีรษะไปข้างหน้า “ดูด่านด้านนั้นต่อแถวรออยู่เท่าไร”
แม้บอกว่าอนุญาตให้พ่อค้าเคลื่อนไหวตามใจ แต่ด่านก็ยังคงเข้มงวดยิ่งนัก คนไม่น้อยล้วนถูกปฏิเสธไล่ไป
“ใต้เท้าซุน พวกเราเพียงต้องการไปทำการค้า ทำไมไม่ให้ผ่านเล่า?” ผู้คนที่ถูกปฏิเสธขมวดคิ้วหน้าเป็นทุกข์สอบถาม
แม่ทัพที่ถูกเรียกว่าใต้เท้าซุนสีหน้าเย็นชา
“ไม่มีเหตุผล” เขาเอ่ย
ดียิ่ง แม่ทัพคนนี้ดูปราดเดียวก็เป็นแม่ทัพเก่า ได้รับอิทธิพลจากวิธีการใช้อำนาจบาตรใหญ่แบบนั้นของเฉิงกั๋วกงมาอย่างลึกซึ้ง
ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เฉิงกั๋วกงปกครองแล้ว นอกจากนั้นเฉิงกั๋วกงก็คิดกบฏหลบไปซ่อนแล้วด้วย ยังวางอำนาจอะไรอีก พ่อค้าทั้งหลายที่ถูกขวางไว้นอกด่านไม่ได้สลายตัวไปทันที แต่โหวกเหวกโวยวายอยู่ด้านนอก
ม่านขนสัตว์หนาหนักทิ้งตัวลงมา เสียงโวยวายด้านนอกถูกกั้นออกไปทันที
“ดูสิ ม่านนี่ไม่เหมือนกัน” บุรุษคิ้วเรียวหน้ายาวอายุราวห้าสิบปีคนหนึ่งคลึงผ้าม่านแล้วเอ่ยด้วยสำเนียงแดนใต้จัด “ของดีจริงๆ”
แม่ทัพคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในห้องหัวเราะพรืดแล้ว
“ม่านขาดผืนหนึ่งนับเป็นของดีอะไร” เขาเอ่ยพลางดื่มชาคำโตดังอึ้ก ยกเท้าวางไว้บนโต๊ะเตี้ย เกราะบนร่างส่งเสียงเกรียวกราว การเคลื่อนไหวหยาบเถื่อนนี่ส่งความน่ากลัวออกมา
“ใต้เท้าซ่ง อย่าดูถูกม่านขาดนี่เชียว เอาไปถึงทางใต้ของพวกเรา ผืนหนึ่งหาเงินได้ตั้งหลายสิบอีแปะ” บุรุษเอ่ยเสียงแผ่วเบากระซิบ
แม่ทัพซ่งหัวเราะฮ่าฮ่าอีกครั้ง
“สิบอีแปะเจ้าก็เห็นอยู่ในสายตาด้วยรึ?” เขาหัวเราะเอ่ย
“ทำการค้าน่ะ ไม่แบ่งเงินมากน้อย ขอแค่เป็นเงินล้วนเห็นอยู่ในสายตาทั้งสิ้น” บุรุษอมยิ้มเอ่ย นั่งลงฝั่งตรงข้ามของแม่ทัพซ่ง “ดังนั้นใต้เท้าซ่ง แดนเหนืออันแร้นแค้นแห่งนี้ในสายตาพวกท่าน ในสายตาพวกเราทุกหนทุกแห่งล้วนเป็นเงิน”
แม่ทัพซ่งลูบหนวดส่งเสียงเหอะๆ สองที
“ข้าเป็นทหารคนหนึ่งไม่เข้าใจเรื่องเหล่านี้ของพวกเจ้า” เขาเอ่ยขึ้น จากนั้นหรี่ตาลงในดวงตาระยิบระยับ “ข้ารู้เพียงว่าสถานที่ซึ่งพวกเจ้าจะไปไม่เหมาะ เป่าโจว สยงโจว ป้าโจวสามเมืองใกล้ๆ ไม่มีม่านขาดสักเท่าไร หรือพวกเจ้าจะไปทำการค้ากับชาวจินเล่า?”
ทำการค้ากับชาวจินที่แดนเหนือจะถูกมองว่าเป็นสายลับ จับได้มีโทษหนักตัดศีรษะทันที
บุรุษไม่ได้ถูกคำข่มขู่นี้ทำให้หวาดกลัวหน้าถอดสี ยังคงนั่งนิ่งสงบ
“ใต้เท้า คำนี้ข้ารับไม่ไหวจริงๆ” เขาหัวเราะเอ่ย “ใต้เท้าทั้งหลายต้านทานชาวจินไม่หวั่นกลัวความตาย แม้พวกเรารักเงินตรา แต่เทียบกับความเป็นความตายแล้ว เงินนับเป็นอันใด ใต้เท้า พวกท่านอยู่ต่อหน้าชาวจินกระทั่งความเป็นความตายยังไม่กลัว พวกเราย่อมไม่มีทางทำการค้ากับชาวจินเพื่อเงินไม่กี่อีแปะเด็ดขาด”
แม่ทัพซ่งแสดงออกว่าพึงพอใจมากกับคำยกยอ ขยับขาที่พาดอยู่บนโต๊ะเปลี่ยนท่าทีหนึ่ง
“รู้ก็ดี” เขาเอ่ย “อย่าแตะเรื่องที่ไม่ควรแตะเพื่อเงิน”
บุรุษอมยิ้มขานรับ เอนกายเล็กน้อยเอาผ้าเช็ดหน้าออกมาปัดฝุ่นดินที่ไม่มีอยู่บนรองเท้าบู้ทให้แม่ทัพซ่ง
“รองเท้าบู้ทนี่ของใต้เท้าสวมมานานพอตัวแล้วจริงๆ” เขาถอนหายใจเอ่ย
แม่ทัพซ่งขานอ้อ
“ไหนเลยมีงบทหารมากปานนั้นใช้กับเครื่องแบบ ได้กินข้าวอิ่ม อาวุธไม่ขาดถึงสำคัญที่สุด” เขาเอ่ย
บุรุษพยักหน้าหลายหนขานว่าใช่
“ร้านของเราค้าขายเครื่องหนัง สิ่งอื่นไม่มี รองเท้าหนังกับเสื้อหนังสัตว์เหล่านี้มากนัก” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง “ฤดูหนาวใกล้มาเยือน หวังว่าใต้เท้ากับทหารทั้งหลายจะได้สวมใส่อบอุ่นบ้าง ก็ไม่มาก มีแค่สองคันรถ”
เขาพูดพลางชี้ไปด้านนอก
ทะลุผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งมองเห็นรถสองคนที่จอดอยู่ในลานและของที่กองสูงใช้ผ้าปิดคลุมไว้อย่างแน่นหนาได้
แม่ทัพซ่งหรี่ตาลง
“เอาสิ ถ้าเช่นนั้นข้าก็ขอบคุณเจ้าแทนนายทหารทั้งหลายแล้ว” เขาเอ่ย ยกมือปุบก็ดึงเอกสารแผ่นหนึ่งออกมาจากในรองเท้าบู้ทสะบัดทีหนึ่ง “จำไว้ทำการค้าตรงไปตรงมา”
บุรุษยินดียิ่งยื่นมือรับไปอย่างนอบน้อม ก้มต่ำคำนับ
“ใต้เท้าโปรดวางใจ” เขาเอ่ยอย่างจริงใจ “พวกเราเข้าใจ ไม่มีชีวิตที่สงบมั่นคง พวกเราก็ไม่มีการค้าให้ทำ หาเงินไม่ได้เช่นกัน”
บุรุษถอยออกไปอย่างนอบน้อม แม่ทัพขยับก็ไม่ขยับ ไม่นานข้างนอกก็มีขุนนางพลเรือนคนหนึ่งเข้ามา กระซิบข้างหูแม่ทัพสองประโยค คล้ายพูดเรื่องน่ายินดีอันใด ตนเองกลั้นไม่อยู่หัวเราะพรืดก่อนแล้ว
แม่ทัพก็หัวเราะเช่นกัน เบิกตาอีก
“สำรวมหน่อย ท่าทางเหมือนไม่มีการศึกษา” เขาเอ่ย
ขุนนางผู้น้อยรีบเก็บรอยยิ้ม แต่จากนั้นก็ส่งเสียงพรืดๆ ออกมาอีก
แม่ทัพก็ไม่กล่าวโทษเขา ขาที่พาดอยู่เขย่าเป็นจังหวะ
นอกประตูเสียงฝีเท้าสับสนพักหนึ่ง พร้อมกับเสียงห้าม
“ใต้เท้าซุน ท่านเข้าไปไม่ได้”
“ใต้เท้าซุน ใต้เท้าซ่งพักผ่อนอยู่นะขอรับ”
ได้ยินเสียงนี่ ความสำราญใจบนหน้าใต้เท้าซ่งฉับพลันสลายไป
ขุนนางผู้น้อยรีบเอ่ย
“ใต้เท้า ผู้น้อยไปจัดการเขาเอง”
ใต้เท้าซ่งทีหนึ่งถีบโต๊ะออก ก้าวยาวเดินออกมา แม่ทัพคนหนึ่งผลักนายทหารที่ขวางออกไป ยืนอยู่ในลาน เห็นใต้เท้าซ่งเดินออกมาเขาก็หยุดเท้า
“ใต้เท้าซุน มีเรื่องใดหรือ?” ใต้เท้าซ่งเอ่ยถามอย่างไม่นำพา
ใต้เท้าซุนมองเขา
“ทำไมปล่อยพ่อค้าพวกนี้เดินทางไปชายแดนโดยพลการ?” เขาเอ่ยขึ้น
“อะไรคือปล่อยโดยพลการ?” ใต้เท้าซ่งเอ่ยเสียงเย็น “วันนี้แดนเหนือสงบมั่นคง ผู้อื่นทำการค้าคนย่อมเดินทางไปทุกหนทุกแห่ง อาศัยอะไรไม่ปล่อย?”
“วันนี้ชาวจินรุกคืบเข้ามาในแดนเหนือของเรา จำต้องตรวจสอบเข้มงวดป้องกันแน่นหนาไม่ให้สายลับแทรกซึม” ใต้เท้าซุนเอ่ย
ใต้เท้าซ่งส่ายศีรษะ
“ข้าว่าซุนน้อย เจ้าคิดเช่นนี้ไม่ถูกต้อง ผู้อื่นเพียงทำการค้า ทำไมกลายเป็นสายลับแล้วเล่า?” เขาเอ่ย “เจ้าลองคิดดูสิ กลายเป็นสายลับให้ชาวจินถาโถมสู่แดนเหนือ พวกเขามีประโยชน์อันใด นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายหรือ พ่อค้าเหล่านี้ก็ไม่ได้โง่”
ใต้เท้าซุนมองเขาสีหน้าเคร่งขรึม
“ท่านประเมินพ่อค้าเหล่านี้ต่ำเกินไป เพื่อเงินพวกเขาสิ่งใดล้วนไม่สนใจ ขอเพียงมีผลประโยชน์มากพอ พวกเขาก็กล้ารนหาที่ตาย” เขาเอ่ย “ใต้เท้าซ่ง ท่านเพิ่งมายังไม่รู้ชัด นี่เป็นบทเรียนที่พวกเราใช้เลือดแลกมา…”
ใต้เท้าซ่งสีหน้าฉับพลันเปลี่ยนไป
“ข้าเพิ่งมา? พูดเหมือนข้าไม่เคยทำสงครามไม่เคยสังหารศัตรู สิ่งใดล้วนไม่เข้าใจ” ฉับพลันเขาก็โกรธจัด ยื่นมือชี้แม่ทัพซุน “คนแซ่ซุนข้าบอกเจ้า ตอนนั้นที่ข้าสังหารโจรจินเจ้ายังกินนมอยู่เลย เจ้าสิเข้าใจอะไร”
ใต้เท้าซุนสีหน้าแข็งทื่อ ฉับพลันเดินไม่กี่ก้าวไปหยุดอยู่หน้ารถสองคันในลาน ขณะที่ผู้คนยังไม่ทันตอบสนองก็ก้าวเข้ามาทึ้งผ้าคลุมออก
ใต้เท้าซ่งกับขุนนางผู้น้อยอุทานตกใจทีหนึ่ง
ผ้าคลุมเปิดออกเผยเสื้อหนังสัตว์กับรองเท้าบู้ทหนังที่กองสุมอยู่บนรถ
“เจ้าทำอะไร!” ขุนนางผู้น้อยตะโกน กระโดดเข้ามาหลายก้าว “นี่เป็นของที่จะให้พี่น้องทั้งหลายใช้ผ่านหน้าหนาว ใต้เท้าคิดถึงพี่น้องทั้งหลายถึงตั้งใจขอมาจากพ่อค้าพวกนั้น…”
คำพูดของเขายังไม่ทันเอ่ยจบ แม่ทัพซุนก็ยกเท้าถีบบนรถ
เรี่ยวแรงของเขามากอย่างที่สุด รถที่ดูแล้วเต็มแน่นถึงกับถูกถีบเอนไปด้านข้าง พร้อมกับเสียงร้องตกใจของขุนนางผู้น้อย เสียงโครมทีหนึ่งรถก็พลิก รองเท้าหนังเสื้อหนังสัตว์ร่วงพรืดบนพื้น ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้สอดแทรกด้วยของสีขาวแวววาว ซึ่งทำให้คนในลานล้วนตาลายไปวูบหนึ่ง
นั่นมัน…เงินแท่ง
ท่ามกลางรองเท้าบู้ทหนังและเสื้อหนังสัตว์ที่ร่วงเกลื่อนอยู่เต็มไปด้วยก้อนเงินและแท่งเงิน
ในเรือนเงียบกริบ
“ใต้เท้าซ่ง ข้าไม่เข้าใจว่านี่หมายความว่าอย่างไร?” แม่ทัพซุนมองใต้เท้าซ่ง เอ่ยอย่างเย็นชา “หรือใต้เท้ายังขอเงินจากพ่อค้ามาเป็นเบี้ยหวัดของพี่น้องทั้งหลายด้วยรึ?”
สีหน้าใต้เท้าซ่งเดี๋ยวขาวเดี๋ยวแดง ฉับพลันคิ้วตั้ง
“คนแซ่ซุน เจ้าทำงานของเจ้าไปให้ดี ยุ่งไม่เข้าเรื่องให้มันน้อยๆ หน่อย” เขาตวาด
“ซ่งจื้อเจี๋ย เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่เจ้ากำลังทำอันใด? นี่เจ้ากำลังช่วยคนเลวทำเรื่องชั่ว นี่เจ้ากำลังทำลายรากฐานของแดนเหนือ…” แม่ทัพซุนก็ตวาดบ้าง สีหน้าโกรธเกรี้ยว ยื่นมือชี้แม่ทัพซ่ง
“ข้าช่วยคนเลวทำเรื่องชั่ว?” ใต้เท้าซ่งสีหน้าเหี้ยมขึ้นมา ยกมือสะบัด “กุมตัวไว้!”
นายทหารทั้งหลายที่นิ่งงันในลานได้สติขึ้นมา ไม่ลังเลสักนิดโถมเข้าไปกดใต้เท้าซุนไว้
“เจ้าคิดจะทำอะไร?” ใต้เท้าซุนตวาดเสียงเกรี้ยวกราด
“ข้าคิดจะทำอะไร? ข้าก็อยากถามเจ้าว่าคิดจะทำอะไร?” ใต้เท้าซ่งสีหน้าเย็นเยียบ “เจ้าพาคนปิดด่านแน่นหนาแมลงวันยังผ่านไม่ได้ ก่อเรื่องจนเสียงโอดครวญกระจายไปทั่ว เจ้าจะลอบส่งข่าวให้พวกเฉิงกั๋วกงพ่อลูกให้พวกเขาหลบเลี่ยงการจับกุมที่นี่ใช่หรือไม่?”
ใต้เท้าซุนโกรธจนหน้าแดงหมดแล้ว
“บ้าบอจริงๆ บ้าบอจริงๆ” เขาตวาด พลางดิ้นรน
ใต้เท้าซ่งกลับยังไม่เลิกราก้าวเข้ามาก้าวหนึ่ง
“พูด เฉิงกั๋วกงติดต่อเจ้าใช่หรือไม่? เขาให้เจ้าทำเช่นนี้ใช่หรือไม่?” เขาตวาดเอ่ย ดวงตาทอประกายระยิบระยับ “ซุนจั้น เจ้าเป็นคนที่ติดตามเฉิงกั๋วกงมาสิบปี…”
“ข้าไม่ใช่คนที่ติดตามใครมาสิบปี ข้าคือคนที่ทำศึกเพื่อต้าโจวมาสิบปี เขาเป็นแม่ทัพข้าเชื่อฟังเขา หากเขาเป็นกบฏข้าจับเขาไม่เว้น ซ่งจื้อเจี๋ย นี่เจ้ากำลังใส่ร้ายป้ายสี!” แม่ทัพซุนตวาดเสียงเกรี้ยวกราด
ใต้เท้าซ่งก้มมองเขาจากที่สูง
“ใส่ร้ายป้ายสีหรือไม่ ตรวจสอบดูก็รู้ชัดแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเย็นชา สะบัดมือทีหนึ่ง “พาไป”
นายทหารทั้งหลายไม่สนการดิ้นรนของใต้เท้าซุนประหนึ่งหมาป่าประหนึ่งพยัคฆ์อุดปากเขาไว้คุมตัวไปแล้ว
“ในที่สุดก็สงบแล้ว” ขุนนางผู้น้อยยิ้มประจบใต้เท้าซ่ง “อย่างไรก็เป็นใต้เท้าเด็ดขาดฉับไว”
ใต้เท้าซ่งแค่นเสียงเหอะ
“พวกเราเป็นทหารคุยเหตุผลด้วยกำปั้น” เขาเอ่ย “วันนี้กำปั้นใครใหญ่ คนที่มองไม่ชัดก็สมควรเคราะห์ร้าย”
พูดจบก็มองเงินที่ร่วงกระจายบนพื้น ยกมือขึ้น
“เก็บพวกนี้เสีย ส่งให้ชิงเหอปั๋ว”
คิดถึงอะไรได้ก็ชะงักนิดหนึ่งอีกหน
“จำไว้ว่าเก็บส่วนหนึ่งไว้ให้พวกเราใช้ตอนปีใหม่ด้วย ที่ควรกดขี่ก็กดขี่ ที่ควรให้รางวัลก็ยังต้องให้รางวัล”
“ใต้เท้าฉลาดเฉลียว!” ขุนนางผู้น้อยคำนับขานรับอย่างปิติยินดี
……………………………………….
……………………………………….
ด่านถูกทิ้งไว้เบื้องหลังร่างไกลโพ้น ถนนด้านหน้าราบเรียบกว้างขวางเหมาะแก่ม้าโผทะยาน แต่คนที่ขับรถกลับไม่ได้เร่งม้าควบขี่เร็วรี่ ทว่าหันศีรษะกลับไปมอง
“ข้ายอมผ่านมาไม่ได้” เขาเอ่ยขึ้น
คนขับรถคนนี้หน้าตาแก่ชรา สวมหมวกหนาปิดบังเส้นผมกระเซอะกระเซิง แลดูซกมกยิ่ง แต่เสียงกลับอ่อนโยนสะอาด
“พ่อ ข้ารู้ความหมายของท่าน” บุรุษหนวดที่ขี่ม้าอยู่ด้านข้างก้าวเข้ามาเอ่ยเสียเข้ม “พวกเราผ่านมาได้เช่นนี้ พ่อค้าคนอื่นก็ผ่านมาเช่นนี้ได้ พวกเขาจ่ายเงินมากปานนั้นไป ย่อมไม่มีทางโยนทิ้งเปล่า ต้องตักตวงคืนกลับมาแน่นอน”
ส่วนจะตักตวงอย่างไร เบื้องหน้าเงินทองผลประโยชน์ คนบ้าคลั่งได้ทั้งยังไม่มีขีดจำกัด
คนรถมองเบื้องหลังด้วยแววตาหม่นหมองครู่หนึ่ง แต่ไม่ได้ถอนใจอันใดอีก มองไปทางบุรุษหนวด
“คุณหนูจวินไม่มีข่าวเลย” เขาเอ่ยถาม “บางทีอาจไม่เป็นไร”
บุรุษหนวดยิ้มแล้ว
“พ่อ ท่านไม่รู้จักเจ้าลูกกระต่ายนั่น” เขาเอ่ยขึ้น “หากนางปลอดภัยไม่เป็นไร เขาจะต้องให้ข้ารู้ จะได้โอ้อวดมีความสุขบนความทุกข์ผู้อื่น หากนางไม่สบายนิดหนึ่ง เจ้าหนูนี่จะต้องปิดบัง เขาน่ะไม่อยากให้ข้าไปทำตัวเป็นวีรบุรุษช่วยหญิงงาม”
“บางทีตอนนี้เขาคงรู้ว่าเจ้าก็ไร้หนทางทำตัวเป็นวีรบุรุษ ถ้าไปกลับจะเพิ่มความวุ่นวาย” คนรถเอ่ยเสียงอ่อนโยน
บุรุษหนวดพรูลมหายใจ สะบัดแส้ในมือ
“สถานที่ซึ่งวีรบุรุษองอาจห้าวหาญต่างกัน” เขาเอ่ย “พวกเราก็ไปทำตัวเป็นวีรบุรุษในสถานที่ซึ่งควรไปเถอะ”
พูดจบพลันควบม้าเร็วรี่
คนรถไม่ได้เอ่ยวาจาอีก ยกมือสะบัดเบาๆ ม้าวิ่งกุบกับ ธงที่ปักบนรถรับลมสะบัดพรึบพรับ ขบวนคนด้านหน้าด้านหลังเคลื่อนตาม ตะโกนคำขวัญเหมือนเช่นขบวนพ่อค้าทั้งหมด วิ่งมุ่งหน้าไปอย่างครึกครื้น