บทที่ 203 ความจริงเกี่ยวกับโม่หยูถัง
หลังจากหลิงตู้ฉิง เยี่ยมเยียนเรือนทุกหลังของลูก ๆ เสร็จ เขาหันหน้าตรงไปทางเรือนของเหลียงเฟ่ยเอ๋อต่อ
“สามี ท่านคิดถึงข้างั้นเหรอ” เหลียงเฟ่ยเอ๋อพูดด้วยอารมณ์เบิกบาน “รอข้าเดี๋ยวนะ ข้าพึ่งจะต้มโจ๊กเสร็จ เดี๋ยวข้าไปเตรียมมาให้ท่านลองชิมดู”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้าด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและนั่งลงรอนางที่โต๊ะอาหาร
ผ่านไปครู่หนึ่ง เหลียงเฟ่ยเอ๋อได้กลับมาพร้อมกับโจ๊กชามใหญ่ นางวางชามลงด้านหน้าหลิงตู้ฉิงและตักโจ๊กป้อนเข้าปากเขา พลางถามขึ้น “เป็นยังไงบ้าง อร่อยไหม?”
“อื้ม อร่อยดีมาก ๆ” หลิงตู้ฉิงพยักหน้า
เหลียงเฟ่ยเอ๋อ เมื่อเห็นหลิงตู้ฉิงพอใจในฝีมือนาง นางถึงกับยิ้มไม่หุบและป้อนโจ๊กให้เขาจนหมดชาม จากนั้นนางพูดขึ้น “สามี พรุ่งนี้ข้าอยากจะขออนุญาตท่านกลับไปเจอพ่อกับแม่และน้อง ๆ ของข้าสักหน่อย ตั้งแต่ข้ามาอยู่ที่นี่ก็เกือบจะปีแล้วข้ายังไม่ได้กลับไปหาพวกเขาบ้างเลย ท่านจะว่าอะไรไหม ข้ารู้สึกคิดถึงพวกเขามาหลายวันแล้ว”
หลิงตู้ฉิงขมวดคิ้วและกล่าวตอบ “ด้วยสภาพร่างกายของเจ้าหลังจากที่เริ่มบ่มเพาะตามเคล็ดวิชาที่ข้าให้ไปแล้ว หากเจ้ากลับไป ปู่ของเจ้าและบรรดาผู้คนที่มาจากสำนักยอดเขาหยกจักรพรรดิจะต้องรู้แน่ ๆ ว่าเจ้ามีร่างกายแก่นแท้ปฐพี และนี่ยังรวมไปถึงหลูซ่างเก๋ออีกคนที่รู้ว่าเจ้ามีร่างกายแก่นแท้ปฐพี ฉะนั้นหากเจ้าต้องการกลับไปข้าจะบอกให้พ่อบ้านโม่และเฟิงตามไปคุ้มกันเจ้าด้วยเผื่อเจ้าเกิดปัญหาขึ้นมา”
“ขอบคุณนะสามี!” เหลียงเฟ่ยเอ๋อพูดด้วยความดีใจ “ท่านนี่ใจดีจริง ๆ เลย เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าจะรีบไปหาพ่อแม่ข้าเสร็จแล้วข้าจะรีบกลับทันทีเลย ส่วนคนอื่น ๆ รวมถึงปู่ข้า ข้าจะไม่ไปหาพวกเขาหรอกท่านไม่ต้องห่วง”
หลิงตู้ฉิงพยักหน้า “อืม แต่อันที่จริงเจ้าไม่ต้องกังวลอะไรมาก ต่อให้พวกของปู่เจ้ากล้ามาแตะต้องเจ้า ข้าจะจัดการพวกเขาทั้งหมดเอง”
เหลียงเฟ่ยเอ๋อพยักหน้า และมองหน้าหลิงตู้ฉิงด้วยสายตาเสน่หาพลางพูดว่า “สามี ในเมื่อท่านก็มาหาข้าแล้ว…ข้าคิดว่าเราควรไปพักผ่อนกันที่เตียงสักครู่หน่อยดีไหม…”
ถึงแม้พวกเขาจะเคยมีอะไรกันหลายหนแล้ว แต่เหลียงเฟ่ยเอ๋อก็ไม่เคยที่จะเบื่อมีอะไรกับหลิงตู้ฉิงเลย และตอนนี้ในเมื่อพวกเขามีโอกาสอยู่ด้วยกันสองต่อสอง นางจึงไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดลอยไป
วันถัดมา เสี่ยวเยว่เฟิงและโม่หยูถังทั้งคู่ต่างติดตามเหลียงเอ่ยเอ๋อไปยังวังหลวงตามที่หลิงตู้ฉิงสั่ง
ส่วนทางด้านหลิงตู้ฉิง วันนี้เขาไม่ได้ให้บรรดาลูก ๆ ของเขาไปที่ศาลาศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เนื่องจากเขากำลังเฝ้ารอดูท่าทีของหลูซ่างเก๋อที่รู้ว่าเหลีงเฟ่ยเอ๋อมีร่างกายแก่นแท้ปฐพี
เขาเฝ้ารอให้หลูซ่างเก๋อลงมือกับเหลียงเฟ่ยเอ๋อ และเมื่อถึงเวลาที่เจ้ากวางตัวนั้นตกหลุมพลางที่เขาขุดไว้ ทั้งบ้านของเขาจะได้กินเนื้อกวางวิเศษอันแสนโอชะทันที
ในขณะที่หลิงตู้ฉิงกำลังรอให้ความวุ่นวายเกิดขึ้น ซือโถวเหวินหยวนก็ได้เข้ามาหา
“นายท่าน ข้าพยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่ข้าแลกเปลี่ยนได้เพียงแค่ดอกบัวชำระจิตอายุสามพันปีมาให้ท่าน ท่านคิดว่ามันพอจะเอาใช้งานได้ไหม? แต่ว่าดอกบัวดอกนี้มันยังมีชีวิตอยู่ มันพึ่งถูกเก็บมาได้ไม่นานนี้เอง”
หลังจากที่รับดอกบัวมาและสำรวจมันอยู่สักพัก หลิงตู้ฉิงพยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะมันใช้ได้ ส่วนเรื่องอายุเจ้าไม่ต้องกังวล เดี๋ยวข้าจะไปให้ใครบางคนเพิ่มอายุของมันให้ถึงหมื่นปีเอง”
เมื่อพูดจบ หลิงตู้ฉิงจึงนำดอกบัวชำระจิตไปปักไว้ในบ่อน้ำของเรือนมี่ไล
หลิงตู้ฉิงไม่จำเป็นต้องสั่งนางให้ดูแลมันเป็นพิเศษเนื่องจากในระหว่างที่นางบ่มเพาะเต๋าจตุฤดูของนาง บรรดาสมุนไพรและพืชรอบ ๆ บริเวณเรือนของนางเองจะได้รับผลประโยชน์เป็นการเร่งอายุพวกมันตามไปด้วยเช่นกัน
ทางด้านซือโถวเหวินหยวน เมื่อได้ยินหลิงตู้ฉิงพูดว่าจะต้องเพิ่มอายุให้กับดอกบัวก่อน เขารู้สึกข้องใจกับคำพูดนี้เป็นอย่างมาก ตอนนี้อายุขัยของเขาก็ใกล้จะหมด แล้วดอกบัวตอนนี้พึ่งมีอายุแต่ 3,000 ปี และกว่าจะนำมาใช้งานได้มันต้องมีอายุ 10,000 ปี ความต่างของมันตั้งเ 7,000 ปีแล้วเขาจะมีชีวิตอยู่รอมันได้ยังไง?
หลังจากปักดอกบัวลงไปในบ่อเสร็จแล้ว หลิงตู้ฉิงหันมาพูดกับซือโถวเหวินหยวนว่า “ต่อไปนี้เจ้าจงมาอยู่อาศัยในคฤหาสน์ของข้า หากข้ามีอะไรให้เจ้าช่วยข้าจะส่งคนไปเรียกเจ้าเอง ส่วนช่วงเวลาที่เจ้าว่าง เจ้าก็ค่อยไปซ้อมประมือกับว่านถิง”
“รับทราบ” ซือโถวเหวินหยวนโค้งตัว
ในขณะที่ซือโถวเหวินหยวนกำลังจะหันหลังกลับไปเพื่อไปหาหลิงว่านถิง จู่ ๆ กระแสพลังวิญญาณสองสายได้ปะทุขึ้นมายังทิศทางที่วังหลวงตั้งอยู่
ซือโถวเหวินหยวนหยุดฝีเท้าทันที และหลิงตู้ฉิงเองก็พูดขึ้น “ดูเหมือนว่าจะมีคนอยากตายเพิ่มขึ้นอีกสินะ เอาล่ะเจ้ามากับข้าก่อน เราจะไปที่วังหลวงกันเดี๋ยวนี้!”
พูดจบ หลิงตู้ฉิงส่งสัญญาณให้กงหนิวลากรถม้าเข้ามาหา จากนั้นเขาและซือโถวเหวินหยวนก็ขึ้นรถม้าและมุ่งตรงไปยังวังหลวงทันที
บรรยากาศภายในวังหลวงตอนนี้กำลังตึงเครียดถึงขีดสุด
ตั้งแต่ที่โม่หยูถังได้เปิดเผยระดับการบ่มเพาะของเขาให้ผู้คนรับรู้ เหลียงซานเองก็ให้ความเกรงใจกับหลิงตู้ฉิงมาโดยตลอด เนื่องจากความแข็งแกร่งของโม่หยูถังมันน่ากลัวเกินไป จนเขาไม่กล้าที่จะไปยั่วยุ
แต่ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ความคิดของเขาได้เปลี่ยนไปทั้งหมด เนื่องจากการกลับมาของผู้ใต้บัญชาที่เขาไว้ใจมากที่สุด จางหมิง
ย้อนกลับไปเมื่อ 5 วันที่แล้ว จางหมิงได้กลับมาถึงอาณาจักรจันทรา และได้เข้าพบกับเหลียงซาน
“จางหมิง เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสืบมาได้ความว่ายังไงบ้าง เจ้าหายหน้าไปนานแสดงว่าเจ้าต้องได้เรื่องอะไรมาบ้างใช่ไหม?” เหลียงซานถามด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
จางหมิงยิ้มและตอบกลับ “ฝ่าบาท ถ้าหากข้าไม่ได้ความคืบหน้าอะไร ข้าคงไม่กล้ากลับมาหาท่านแน่นอน หลังจากที่ข้าได้รับคำสั่งของพระองค์เพื่อให้ข้าออกไปสืบข่าวเกี่ยวกับหลิงตู้ฉิงที่นอกอาณาเขตทะเลชางหมาง ซึ่งมันน่าแปลกมากที่ไม่มีใครรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับเขาเลย มันดูเหมือนว่าเขาเป็นหลานของหลิงเจิ้งสงจริง ๆ ส่วนพ่อแม่ของเขา ไม่มีใครเคยเห็นพวกเขามาก่อน”
“แต่ด้วยความโชคดีที่เรามีข้อมูลของโม่หยูถัง จึงทำให้กระหม่อมหาเบาะแสเพิ่มเติมที่เป็นประโยชน์มาได้บ้าง”
“โม่หยูถัง นั้นแน่นอนว่าเขาเป็นผู้ที่มาจากสำนักเก้าอสูร แถมเขายังเคยเป็นศิษย์หลักระดับหัวกะทิเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว แต่ว่าหลังจากการต่อประลองกันระหว่างโม่หยูถังและนายน้อยแห่งหมู่บ้านราตรีทมิฬ ซึ่งผลการประลองที่ออกมาโม่หยูถังผู้พ่ายแพ้ถูกทำให้กลายเป็นคนพิการ และหลังจากเหตุการณ์นั้นเขาก็ได้หายตัวไปไม่มีใครทราบข่าวอีกเลย จนมาถึงในปัจจุบันนี้ที่จู่ ๆ เขาก็มาโผล่ที่อาณาจักรของเรา”
“เจ้าแน่ใจงั้นเหรอว่าโม่หยูถังเป็นคนพิการจริง ๆ เจ้ารู้รึเปล่าว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ โม่หยูถังพึ่งแสดงพลังอันน่ากลัวของเขาออกมาให้ผู้คนเห็นกันเป็นจำนวนมาก” เหลียงซานถามขึ้นด้วยสีหน้าสงสัย
จางหมิงตอบกลับ “ฝ่าบาท ข่าวการแสดงพลังของโม่หยูถัง ข้าเองก็ได้ยินแล้วเช่นกัน ถึงแม้ข้าจะไม่รู้เช่นกันว่าเขาใช้พลังของเขาได้ยังไง แต่ข้าเชื่อว่าข่าวของข้าที่ได้รับมาจากองค์เหนือหัวอ้าวเทียนจะต้องไม่เป็นของปลอมแน่นอน ยังไงซะองค์เหนือหัวก็เป็นอาจารย์ของพระองค์ เขาไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องขัดขวางแผนการของอาณาจักรเราแน่นอน”
“และข้าคิดว่าต่อให้โม่หยูถังใช้พลังของเขาได้จริง ๆ เขาก็คงไม่สามารถใช้มันได้อย่างเต็มที่ หรือต่อให้ใช้ได้มันจะต้องส่งผลเสียกับร่างกายเขาแน่นอน ไม่อย่างนั้นหากเขาไม่ได้กลายเป็นคนพิการจริง ๆ เขาคงไม่มาปรากฎเอาป่านนี้โดยกลายเป็นพ่อบ้านให้กับหลิงตู้ฉิง”
เหลียงซานพยักหน้าพลางครุ่นคิดอยู่สักพักและพูดว่า “ในเมื่อโม่หยูถังมีประวัติที่เหลวแหลกเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นเราก็คงไม่จำเป็นต้องกลัวหลิงตู้ฉิงสักเท่าไหร่”
จางหมิงหัวเราะ “ถูกแล้วฝ่าบาท ท่านอย่าลืมสิว่ากระหม่อมเองก็เป็นผู้เชี่ยวชาญขอบเขตครึ่งสวรรค์เช่นกัน และสำนักของเราก็ไม่ได้ด้อยกว่าสำนักเก้าเทพอสูรเลยแม้แต่น้อย แถมกระหม่อมยังมีอาวุธระดับราชวงศ์ขั้นสูงอยู่ในมือ ฉะนั้นต่อไปนี้ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องไปกังวลอะไรกับเขาอีกแล้ว”
เหลียงซานพยักหน้าและกล่าวด้วยความเบิกบาน “ข้าเองก็อุตส่าห์เครียดมาตั้งนาน ในที่สุดหลังจากเจ้ากลับมาข้าก็ได้รู้เรื่องของมันบ้างสักที คราวนี้ล่ะข้าล่ะอยากรู้จริง ๆ ว่าไอ้หลานเขยข้ามันจะกล้ากำแหงอีกไหม!”
เหลียงซานตอนนี้รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ด้วยฐานะที่เขาเป็นจักรพรรดิ ความรู้สึกที่ตัวเองด้อยกว่าหลิงตู้ฉิงมันรบกวนจิตใจของเขาอยู่ตลอดเวลา
และเมื่อตอนนี้เขาพอจะเดาได้แล้วว่าประวัติของหลิงตู้ฉิงไม่น่าจะมีอะไร เขาจึงต้องการที่จะขจัดบ่อเกิดของความรำคาญใจนี้ออกไป
ส่วนสำหรับสถานะที่หลิงตู้ฉิงเป็นผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์ เหลียงซานนั้นไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
ในสายตาของผู้อื่น ผู้เชี่ยวชาญอักขระเวทย์อาจจะเป็นตัวตนที่น่าเกรงขาม แต่หากเป็นมุมมองในสายตาของเขาที่มาจากสำนักยอดเขาหยกจักรพรรดิ ตัวตนเช่นนั้นมันก็แค่ผู้เชี่ยวชาญที่มีวิธีการใช้พลังที่พิเศษออกไปก็แค่นั้น
ฉะนั้นคนที่สร้างความกดดันให้เขาได้ตอนนี้จึงมีเพียงคนเดียวก็คือ โม่หยูถัง
ในขณะที่เหลียงซานกำลังครุ่นคิดแผนการว่าจะทำอะไรต่อ เขาก็ได้ยินรายงานว่าเหลียงเฟ่ยเอ๋อได้กลับมาที่วังหลวง
เหลียงซาน จึงรีบส่งให้คนไปตามเหลียงเฟ่ยเอ๋อมาพบเขาทันที
ในห้วงความคิดของเหลียงซาน เหลียงเฟ่ยเอ๋อที่ไปอยู่ในคฤหาสน์สราญรมย์มานาน นางควรจะต้องรู้ข้อมูลความลับของหลิงตู้ฉิงมาบ้างไม่มากก็น้อย เช่นการป้องกันของคฤหาสน์สราญรมย์มีอะไรบ้าง? สมุนไพรและโอสถต่าง ๆ มีเก็บไว้มากแค่ไหน? ข้อมูลเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องสำคัญที่เขาต้องการจะรู้
แต่น่าเสียดายที่เหลียงซานนั้นยังไม่รู้ ว่าการกลับมาครั้งนี้ของเหลียงเฟ่ยเอ๋อรอบนี้นั้นนางไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว