แท้จริงแล้ว นี่เป็นเรื่องที่เขารู้สึกสับสนอยู่ในใจมาโดยตลอด เขาจึงไม่รีบลงมือกับซูจิ่นซี ทั้งยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เขาตอบตกลง ยอมเข้ามาเจรจากับนาง
วรยุทธ์ของบุตรชาย จงเนี่ยเป็นผู้ถ่ายทอดด้วยตนเอง บุตรชายมีความสามารถมากเพียงไร เขาย่อมรู้ดี
ผู้เยี่ยมยุทธ์ทั่วไปไม่สามารถเอาชนะบุตรชายของเขาได้แน่นอน เด็กหนุ่มผอมบางที่ยืนอยู่เบื้องหน้านี้ แม้จะทะนงตนไปบ้าง ทว่าเป็นไปไม่ได้ที่จะสังหารบุตรชายของเขาภายในหนึ่งกระบวนท่า ตามที่จิงจ้าวหยิ่นและคนที่โรงเตี๊ยมบอก
อย่างไรก็ตาม จงเนี่ยเป็นคนเจ้าแผนการ เขาไม่มีทางเผยความคิดออกมาทางใบหน้าให้ผู้คนสังเกตได้โดยง่าย
แม้จงเนี่ยจะเป็นคนเจ้าเล่ห์ ทว่าซูจิ่นซีสามารถจับสังเกตได้ นางสามารถคาดเดาความคิดภายในใจของเขาได้จากการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในแววตา
ซูจิ่นซีเห็นจงเนี่ยนิ่งเงียบอยู่นานและไม่พูดอันใด นางจึงเอ่ยว่า “ข้าทราบถึงความเจ็บปวดในการสูญเสียบุตรชายของท่านแม่ทัพใหญ่ และเข้าใจดีว่าท่านแม่ทัพใหญ่รีบร้อนตามหาฆาตกร เพื่อต้องการแก้แค้นให้คุณชายใหญ่ ทั้งยังเข้าใจอีกว่าข้าเป็นผู้ต้องสงสัยคนสำคัญ ทว่าท่านแม่ทัพใหญ่ ท่านฟังคำอธิบายของข้าได้หรือไม่? ”
เมื่อเห็นจงเนี่ยหันมามอง ซูจิ่นซีจึงพูดต่อว่า “ข้ารู้วิชาแพทย์ เมื่อได้เห็นคุณชายใหญ่ในเวลานั้น มีความเป็นไปได้มากว่าคุณชายใหญ่อาจถูกคนวางยาพิษ ทำให้ไม่สามารถควบคุมตนเองและเกิดธาตุไฟเข้าแทรก สุดท้ายจึงเสียชีวิตลง”
“พูดจาไร้สาระ! ”
จงเนี่ยโกรธขึ้นมาทันที เขาคิดว่าเรื่องนี้เป็นการโต้แย้งที่ไม่มีมูล
ซูจิ่นซีนิ่งเงียบไม่แสดงออก ทำเพียงก้มหน้าลงเล็กน้อย
ความโกรธของจงเนี่ยค่อยๆ ลดลง แววตาเปล่งประกายอย่างครุ่นคิด
เมื่อครู่ ตอนที่ซูจิ่นซีบอกว่าบุตรชายของตนเสียชีวิตเพราะถูกคนวางยาพิษ จนทำให้เกิดธาตุไฟเข้าแทรก เขารีบปฏิเสธด้วยความรู้สึกโกรธอย่างรุนแรง นั่นเป็นเพราะเขาเข้าใจวรยุทธ์ของตระกูลตนเองดี
ทุกการเคลื่อนไหว ทุกกระบวนท่า ล้วนเป็นวิธีการฝึกฝนตามกระบวนการโดยธรรมชาติของธาตุทั้งห้า นอกจากนี้ เขายังกำชับลูกๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่า การฝึกวรยุทธ์ควรฝึกตามลำดับขั้นตอน อย่าใจร้อนเป็นอันขาด ดังนั้นโอกาสที่จะเกิดธาตุไฟเข้าแทรกจึงมีน้อยมาก
ทว่าเมื่อครุ่นคิดอย่างละเอียด ภายใต้สถานการณ์ที่ถูกวางยาพิษ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
อีกทั้ง… ตอนที่เขามาถึงยังได้เห็นสภาพศพของบุตรชายตนเอง แม้สภาพศพจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดเจน ทว่าเขาสามารถมองเห็นรอยสีเขียวคล้ำเล็กน้อยบริเวณเบ้าตาและลำคอ
ตอนนั้นเขาคิดว่าเป็นสภาพปกติหลังจากเสียชีวิต แต่ตอนนี้เมื่อลองทบทวนดูอีกครั้ง สภาพศพเหมือนคนถูกวางยาพิษเช่นกัน
หรือว่า… คำพูดของเจ้าเด็กคนนี้จะเป็นความจริง เทียนอี้ถูกวางยาพิษจริงๆ ?
เช่นนั้น… ผู้ใดเป็นคนวางยาพิษ?
เขาเป็นขุนนางมาหลายปี อาศัยฐานะที่เป็นพระญาติ และอาศัยความสัมพันธ์ของน้องสาวที่เป็นพระสนมคนโปรดในวังหลวง เพื่อไต่เต้าขึ้นมา จนตอนนี้เขากลายเป็นสามกลุ่มอำนาจหลักของราชสำนักแคว้นหนานหลี ตลอดเวลาที่ผ่านมา เขาคงทำให้ใครหลายคนขุ่นเคืองไม่น้อย
หากพูดว่ามีคนฉวยโอกาสแก้แค้นวางยาพิษบุตรของตน ก็มีความเป็นไปได้สูง
แต่ผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ผู้ที่วางยาพิษนั้นเป็นผู้ใด?
มหาอุปราช?
หรือว่า… ฉีอ๋อง???
ซูจิ่นซีเห็นความคิดของจงเนี่ยที่แสดงออกมาอย่างไม่ตั้งใจ จึงรู้ว่าคำพูดของตนชักจูงความคิดของเขาได้สำเร็จ นางแอบรู้สึกยินดี ทว่ายังคงมีท่าทีเคร่งขรึม ทำเพียงยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้างอย่างเชื่อฟัง
อู๋จุนมองแววตาซูจิ่นซีด้วยความชื่นชม
นึกไม่ถึงว่าสตรีนางนี้ยังมีความสามารถด้านนี้อีกด้วย คำพูดของนางเพียงสองสามประโยคก็สามารถลบล้างความผิดในการฆ่าจงเทียนอี้ได้อย่างขาวสะอาด ทั้งนางยังชักจูงจงเนี่ยได้สำเร็จ โดยเลือกใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์อันตึงเครียดของสามอำนาจหลักแห่งแคว้นหนานหลี
ร้ายกาจ ร้ายกาจจริงๆ
อู๋จุนแอบชื่นชมอยู่ในใจ พลางหันไปขยิบตาให้ซูจิ่นซี
“ในตอนนั้น หากไม่ใช่เพราะคุณชายใหญ่จงทะเลาะกับพวกเราทั้งสองจนถึงขั้นลงไม้ลงมือ และทำให้พิษกำเริบอย่างรวดเร็ว บางทีอาจมีวิธีช่วยชีวิต จะว่าไปแล้ว เรื่องนี้ก็เกี่ยวพันกับพวกเราเช่นกัน แม้ข้าไม่ได้เป็นคนสังหารเขา ทว่าข้าเป็นต้นเหตุที่ทำให้เขาต้องเสียชีวิต เมื่อนึกเรื่องนี้ทีไรก็รู้สึกละอายใจยิ่งนัก
ดังนั้น ข้าทั้งสองจึงเต็มใจและจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาโรคประหลาดของกุ้ยเฟย หวังว่าท่านแม่ทัพใหญ่จะยกโทษให้ข้าทั้งสอง”
ซูจิ่นซีพูดด้วยท่าทีโศกเศร้าและขอความเห็นใจ โดยเฉพาะตอนที่เอ่ยถึงการเสียชีวิตของจงเทียนอี้ คำพูดของนางเต็มไปด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น
จงเนี่ยหันศีรษะไปมองซูจิ่นซีอย่างสังเกต “นี่เจ้าต้องการเจรจาต่อรองกับข้าใช่หรือไม่? ”
ซูจิ่นซีแข้งขาอ่อนระทวย นางล้มลงกับพื้น “ข้า… ข้าเพียงต้องการรักษาชีวิตของตนเอง ท่าน… ท่านแม่ทัพใหญ่โปรดไว้ชีวิตด้วยเถิด! ”
แววตาของจงเนี่ยเต็มไปด้วยอำนาจบารมี เขานิ่งเงียบอย่างครุ่นคิด การแสดงออกบนใบหน้ายากคาดเดา
การเจรจาต่อรองในครั้งนี้ แม้จะเกินความคาดหมายของเขาไปมาก ทว่าเมื่อทบทวนอย่างละเอียด สุดท้ายผู้ที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดก็ยังเป็นเขา
เหมือนที่ซูจิ่นซีพูดเมื่อตอนแรกเริ่ม สิ่งที่ทำให้เขาเป็นกังวลยิ่งกว่าเรื่องที่บุตรชายของตนเสียชีวิต คือพระอาการประชวรของกุ้ยเฟย
หากโรคประหลาดของกุ้ยเฟยไร้ยารักษา อีกไม่นานนางคงสิ้นพระชนม์ และเขาจะต้องสูญเสียการสนับสนุนหลักในราชสำนัก เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะมีสิ่งใดมางัดข้อกับมหาอุปราช และฉีอ๋องได้อีก?
ดังนั้นเมื่อคิดดูแล้ว เจ้าเด็กหนุ่มที่อยู่เบื้องหน้านี้ช่างฉลาดหลักแหลมยิ่งนัก
ทว่าจะเฉลียวฉลาดเพียงใดกัน? สุดท้ายแล้วก็เป็นพวกต่ำต้อยรักตัวกลัวตายเท่านั้น
จงเนี่ยมองซูจิ่นซีที่ทรุดนั่งลงบนพื้นและพยายามร้องขอชีวิตอย่างขี้ขลาด แววตาของเขาพลันปรากฏความดูแคลน
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “พยายามรักษาพระอาการประชวรของกุ้ยเฟยให้เต็มที่ หากรักษาจนหายดี นอกจากจะได้รับรางวัลตามปิดประกาศของทางราชสำนักแล้ว ข้ายังจะตกรางวัลให้พวกเจ้าอย่างงาม หากรักษาไม่หาย… ”
ประโยคในตอนท้าย จงเนี่ยไม่ได้พูดออกมา ทว่าน้ำเสียงของเขากลับเต็มไปด้วยไอสังหารที่เกินบรรยาย
เมื่อจงเนี่ยเดินออกประตูไป อู๋จุนก็กระโดดมายังข้างกายของซูจิ่นซีทันที เขากำลังจะเอ่ยปากพูด ทว่าซูจิ่นซีกลับยกมือปิดปากอู๋จุนไว้ พลางส่ายศีรษะให้เขา
ผ่านไปครู่หนึ่ง ซูจิ่นซีฟังจากอาคมกำไลปี่อั้น นางรอจนเสียงฝีเท้าของจงเนี่ยที่อยู่ด้านนอกเดินห่างไกลออกไป จึงค่อยๆ คลายมือลง
“ท่านแม่ทัพใหญ่จงผู้นี้ เป็นผู้ที่มีความคิดความอ่านลึกซึ้งจริงๆ เมื่อครู่เขาเพิ่งเดินออกประตู ทว่าเขาไม่ได้เดินออกไปในทันที”
หลังจากพูดจบ ซูจิ่นซีก็นอนแผ่หลาบนพื้นด้วยความโล่งอก
กล่าวได้ว่า เมื่อครู่เป็นการทำสงครามจิตวิทยาที่ดุเดือดระหว่างนางและจงเนี่ย
ซูจิ่นซีต้องระมัดระวังราวกับเดินอยู่บนแผ่นน้ำแข็งผืนบางตลอดเวลา นางต้องพิจารณาทุกคำพูดอย่างรอบคอบและรวดเร็ว
ต้องทราบว่า หากเมื่อครู่นางพูดบางอย่างผิดพลาดหรือผิดปกติไปแม้เพียงครึ่งประโยค อาจทำให้จงเนี่ยสงสัยได้ และสิ่งที่รอพวกเขาอยู่ คงเป็นการต่อสู้นองเลือดฉากหนึ่งแน่นอน
อย่างไรก็ตาม บัดนี้ความคิดของอู๋จุนไม่ได้จดจ่อกับเรื่องเหล่านี้
เขาลูบไล้ริมฝีปากที่ถูกซูจิ่นซีสัมผัส หางตาพลันเผยให้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์
“น่าเสียดายที่เมื่อครู่นี้เป็นมือของแม่นางพิษน้อย หากเป็นริมฝีปากคงจะดี พี่จุนต้องดีใจจนนอนไม่หลับไปหลายวันเป็นแน่ เช่นนั้น แม่นางพิษน้อยลองจุมพิตพี่จุนสักครั้งเป็นไร? ”
ซูจิ่นซีเหลือบมองอู๋จุนด้วยความรังเกียจ นางผลักเขาออกไปอย่างสุดกำลัง ก่อนจะยืนขึ้นและเดินไปทางตั่งผ้าไหม
อู๋จุนที่ใบหน้าปราศจากความละอาย เดินตามซูจิ่นซีไปนั่งบนตั่งผ้าไหมเช่นกัน
“ใช่แล้ว ยาพิษที่เจ้าพูดกับตาเฒ่าจงเนี่ย มันคือเรื่องอันใดกันแน่? ”
ต้องทราบว่า คนอย่างจงเนี่ยใช่ว่าจะถูกหลอกได้โดยง่าย หากจงเทียนอี้ไม่ได้ถูกพิษจริงๆ เขาจะเชื่อคำพูดของซูจิ่นซีได้อย่างไร?
ซูจิ่นซีไม่ได้เอ่ยตอบอู๋จุน ทว่านางพลิกฝ่ามือ ใช้นิ้วหนีบเข็มเงินและแทงไปที่คิ้วของอู๋จุนอย่างรวดเร็ว