การเดินทางขอฉีเฟยอวิ๋นเป็นไปอย่างราบรื่น และกองพลก็มาถึงพื้นที่ภัยพิบัติในเวลาเพียงหกวัน
เจ้าห้าดูดีขึ้นแล้ว แต่แปลกที่เขาชอบกินนมแพะ แต่ไม่ชอบนมวัว
ฉีเฟยอวิ๋นจะเอานมวัวระหว่างทางให้กินทุกวัน แต่เจ้าห้าไม่ชอบกิน และมักจะจ้องมองมาที่ฉีเฟยอวิ๋น ฉีเฟยอวิ๋นจึงถามด้วยความโกรธว่าไม่กินนมวัว ไม่กินนมคน แล้วอยากจะกินอะไร?
ข้างนอกมีเสียงแพะร้องขึ้นมาพอดี เจ้าห้ามองออกไปข้างนอก ฉีเฟยอวิ๋นจึงเปลี่ยนนมวัวเป็นนมแพะ แล้วเจ้าห้าก็ยอมกิน
สองวันที่ผ่านมาร่างกายดีขึ้นมาก เมื่อนอนอยู่คนเดียวก็สามารถพลิกคว่ำได้แล้ว หลังจากที่นอนคว่ำแล้วก็จะเงยหน้าขึ้น
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าร่างกายของเจ้าห้าไม่ดีเท่ากับพี่ชายคนอื่น ๆ และนางก็ไม่กล้าพูดอะไรมากนัก จึงทำได้เพียงเอาใจใส่เจ้าห้าเป็นพิเศษ
เมื่อมาถึงสถานที่ที่มีโรคระบาด ฉีเฟยอวิ๋นก็อธิบายถึงวิธีการป้องกันโรคระบาดให้กับทุกคน และสั่งไม่ให้ทุกคนเข้าไปใกล้ นางจะเข้าไปในพื้นที่ภัยพิบัติด้วยตนเอง
มีคนพูดโน้มน้าวฉีเฟยอวิ๋น แต่นางไม่ฟัง
ฉีเฟยอวิ๋นสามารถขจัดพิษได้ด้วยตนเอง ส่วนโรคระบาดและโรคติดเชื้อบางอย่างนั้นไม่ยังรู้
แต่ฉีเฟยอวิ๋นก็ไปวางใจที่จะให้คนอื่นไป
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็กำลังจะไป เจ้าห้าที่อยู่ในรถม้าร้องออกมา เดิมทีฉีเฟยอวิ๋นบอกให้ลี่ว์หลิ่วดูแลเจ้าห้า แต่เด็กคนนี้ไม่ร่าเริง และลี่ว์หลิ่วก็ไม่สามารถเกลี้ยกล่อมได้
ฉีเฟยอวิ๋นจนปัญญา จึงต้องพาเจ้าห้าไปด้วย สองแม่ลูกพาคนสองสามคนไปยังพื้นที่โรคระบาด
หลังจากที่เข้าไปแล้วก็พบผู้คนจำนวนมากที่มีอาการในระดับที่แตกต่างกันออกไป
ฉีเฟยอวิ๋นส่งเจ้าให้ลี่ว์หลิ่ว และนั่งลงเพื่อตรวดูอาการให้ผู้คน ฉีเฟยอวิ๋นใช้สมาธิในการตรวจสอบและไม่นานก็พบสาเหตุ
“ลี่ว์หลิ่ว เจ้าเอาผงในขวดสีเขียวที่ข้าให้เจ้ามาออกมากิน แล้วให้เจ้าห้ากินด้วยนิดหน่อย”
“เพคะ” ลี่ว์หลิ่วรีบกินในทันที เจ้าห้าไม่ร้องไห้ ให้เขากินเท่าไหร่เขาก็กินเท่านั้น
แต่ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้กิน นางต้องการทดสอบว่าร่างกายของนางจะสามารถต้านทานได้หรือไม่
“คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน กินยาตามที่ข้าให้พวกเจ้าอย่างเข้มงวด พวกเรายังต้องใกล้ชิดกับคนเหล่านี้บ่อย ๆ”
ฉีเฟยอวิ๋นเหลือบมองหมอประจำจวนโจว:“หมอโจว ท่านคิดเห็นอย่างไรกับสถานการณ์โรคระบาดนี้?”
หมอโจวไม่รู้อะไรเลย หากไม่ตายก็เป็นเรื่องดีมากแล้ว หมอโจวกัดฟันและกล่าวว่า:“น่าจะเป็นโรคบิดพ่ะย่ะค่ะ”
“นี่ไม่ใช่โรคบิด แต่เป็นโรคหวัด และเป็นโรคระบาดชนิดหนึ่งที่อยู่ในโรคหวัด เรียกง่าย ๆ ว่าโรคไข้หวัดใหญ่ เป็นโรคติดต่อร้ายแรง หากได้รับความลมร้อนมาก ๆ อัตราการเสียชีวิตและอัตราการติดเชื้อก็จะสูงขึ้น เดี๋ยวข้าจะจ่ายยา เป็นตำรับยาที่ดับร้อนบำรุงปอด ขับเสมหะแก้ไอ ขับพิษลดการอักเสบ และต้องรักษาร่วมกับการฝังเข็มและรมยา
นี่เป็นวิธีการรักษาแบบดั้งเดิม หากสามารถผ่านพ้นไปได้ก็จะไม่เป็นอะไรแล้ว และสามารถควบคุมโรคระบาดได้
อีกอย่างพวกเจ้าต้องรีบติดต่อขุนนางในท้องที่และปิดล้อมที่นี่ในทันที ห้ามมีการเข้าออกโดยเด็ดขาด”
หลังจากที่จัดการทุกอย่างแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ไปหยิบสมุนไพรออกมาจากรถม้า และตั้งหม้อใบใหญ่หลายใบ จากนั้นก็เริ่มต้มยาสมุนไพร และให้ทุกคนที่มาดื่มคนละถ้วย จากนั้นก็ให้อาหารแก่พวกเขา
ไม่นานอวิ๋นจิ่นก็ได้รับข่าว ในตอนกลางคืนฉีเฟยอวิ๋นหลับสนิท มีคนปรากฏตัวข้างนอก
“อวิ๋นจิ่นคารวะนายท่าน แค่ก ๆ……” เสียงของอวิ๋นจิ่นเบามาก ฉีเฟยอวิ๋นลืมตาขึ้นและลงมาจากรถม้า เมื่อเห็นว่าอวิ๋นจิ่นซูบผอมลงมาก ฉีเฟยอวิ๋นก็เดินเข้าไปหาอวิ๋นจิ่น แต่อวิ๋นจิ่นถอยห่างออกไปสองครั้งและเบนหน้าออกไปไอ
“นายท่าน อย่าเข้ามาเจ้าค่ะ ข้าติดโรคระบาด ไม่สามารถเข้าใกล้ได้มากนัก”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกลำบากใจ และดูออกว่าอวิ๋นจิ่นกำลังทดสอบ พวกนางอยู่ห่างห้าเมตร ดังนั้นจึงไม่กลัวที่จะติดเชื้อในระยะนี้
ฉีเฟยอวิ๋นไม่สนใจและเดินไปจับมือของอวิ๋นจิ่น จากนั้นก็ตรวจอาการให้อวิ๋นจิ่น อวิ๋นจิ่นติดโรคระบาดจริง ๆ และอาการของนางก็รุนแรงมาก อาเจียน ท้องร่วง และเริ่มไอเป็นเลือดแล้ว
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกประหลาดใจ การติดเชื้อของอวิ๋นจิ่นนั้นรุนแรงมาก นางเป็นไข้และปอดอักเสบ
“ลี่ว์หลิ่ว รีบไปเตรียมหมาหวง กุ้ยจือ เก๋อเกิน ไฉหู……”
ฉีเฟยอวิ๋นพูดชื่อยาสมุนไพรหลายสิบตัวในลมหายใจเดียว อวิ๋นจิ่นมองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นและกล่าวว่า:“นายท่านไม่ต้องกังวลเจ้าค่ะ อวิ๋นจิ่นไม่เป็นอะไร”
“เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ ข้ารู้ดี หากข้าไม่สนใจเจ้า เจ้าก็คงต้องตาย ความตายดีเช่นนั้นเลยหรือ?หากเจ้าไม่ระวังโรคนี้ให้ดี ต่อไปอาการก็จะรุนแรงขึ้น ปอดอักเสบอาจทำให้คนตายได้”
ในช่วงเวลานี้ ไม่ว่าโรคระบาดชนิดใดก็ตามสามารถคร่าชีวิตผู้คนได้ และไม่ต้องพูดถึงเมื่ออาการกำเริบเลย
อวิ๋นจิ่นตรากตรำทำงานมานานกว่าครึ่งเดือนและไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว ตอนที่คุยกับฉีเฟยอวิ๋น นางก็ยื่นไม่อยู่และล้มลงไป ฉีเฟยอวิ๋นจึงรีบเข้าไปประคองอวิ๋นจิ่นไว้ จากนั้นก็พาอวิ๋นจิ่นเข้าไปในกระโจมและดูแลด้วยตนเอง
สามวันต่อมา อวิ๋นจิ่นก็ไม่เป็นอะไรแล้ว อาการปอดอักเสบดีขึ้นมาก ฉีเฟยอวิ๋นฉีดยาให้อวิ๋นจิ่นไปหลายเข็ม
จากนั้นอวิ๋นจิ่นก็เล่าถึงสถานการณ์ในพื้นที่โรคระบาด และฉีเฟยอวิ๋นเข้าใจสถานการณ์ในพื้นที่โรคระบาดแล้ว
อาอวี่และตงเอ๋อร์ตามหลังมา และพวกเขาก็เป็นไข้หวัดใหญ่ในระดับที่แตกต่างกัน แต่เมื่อเทียบกับอวิ๋นจิ่นแล้ว อาการเบากว่ามาก
ฉีเฟยอวิ๋นเริ่มแจกจ่ายยาให้ผู้คนจำนวนมาก และภายในเจ็ดวันก็สามารถควบคุมอาการของโรคในพื้นที่โรคระบาดได้
ฉีเฟยอวิ๋นเหนื่อยมากและทำงานยุ่งทั้งวันทั้งคืน
เมื่อเข้ามาในรถม้า เจ้าห้าก็นอนอยู่ในอ้อมแขนของนาง และมองใบหน้าของนางด้วยความงุนงง
มีคนมาที่ด้านนอกรถม้า เจ้าห้าจึงหันไปมองด้านนอกรถม้า นัยน์ตาสีดำเข้มของเขาดูมีชีวิตชีวา และส่งเสียงออกมาอย่างร่าเริง
ฉีเฟยอวิ๋นลืมตาขึ้น และอวิ๋นจิ่นก็เดินออกจากในกระโจม
เมื่อเห็นเช่นนั้น อวิ๋นจิ่นก็ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง และกำลังจะอ้าปากพูด แต่ก็ถูกหนานกงเย่ยกมือขึ้นมาห้ามไว้ อวิ๋นจิ่นจึงก้าวถอยหลังไป
หนานกงเย่เปิดม่านบนรถม้าขึ้นและมองเข้าไปในรถม้า ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมามอง ทั้งสองมองหน้ากัน และเมื่อเห็นหนานกงเย่ นางก็ฝืนยิ้ม:“ท่านอ๋องไม่เป็นไรใช่หรือไม่เพคะ?”
ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกหดหู่ใจและเกือบจะร้องไห้ออกมา
หนานกงเย่มองไปที่ฉีเฟยอวิ๋นแล้วล้มลง ฉีเฟยอวิ๋นตกใจ นางรีบวางเจ้าห้าลงและวิ่งออกไป
“ท่านอ๋อง”
เมื่อลงไปจากรถม้าแล้ว ฉีเฟยอวิ๋นก็ช่วยประคองหนานกงเย่ขึ้นมา แต่หนานกงเย่ไม่ตอบสนองใด ๆ ฉีเฟยอวิ๋นจับใบหน้าของหนานกงเย่และเรียกเขา:“ท่านอ๋อง”
หนานกงเย่ไม่ตอบสนอง จากนั้นม้าก็ร้องและล้มลง
ฉีเฟยอวิ๋นจึงมองไป ม้าล้มลงไปนอนบนพื้นและหายใจหอบอยู่ตรงนั้น
อวิ๋นจิ่นเดินเข้าไปอย่างกล้าหาญ นางเห็นกีบเท้าม้าและยกขึ้นมาให้ฉีเฟยหยุน:“นายท่าน”
ฉีเฟยอวิ๋นมองดู กีบเท้าทั้งสี่ของม้าเต็มไปด้วยเลือด ดูเหมือนว่ามันจะวิ่งมาอย่างน่าเวทนา
ฉีเฟยอวิ๋นมองหนานกงเย่ที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง:“เหตุใดพระองค์ถึงต้องรีบร้อนเช่นนี้ หม่อมฉันไม่ได้จะหนีไปไหน?”
ฉีเฟยอวิ๋นอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา
อวิ๋นจิ่นก็ร้องไห้เช่นกันและกล่าวว่า:“พระองค์คงเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องขึ้นกับนายท่าน เพราะโรคระบาดที่นี่ทำให้มีคนตายเป็นจำนวนมาก”
ฉีเฟยอวิ๋นจะไม่รู้ได้อย่างไร เพียงแต่นางรู้สึกสงสารจนพูดไม่ออก
หนานกงเย่ถูกพยุงขึ้นไปบนรถม้า เจ้าหาหันไปมองคนที่อยู่ข้างๆ เขากลิ้งไปกลิ้งมา และพลิกตัวเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของหนานกงเย่ จากนั้นก็หลับตาลง
ฉีเฟยอวิ๋นพูดไม่ออกบอกไม่ถูก เพิ่งจะอายุได้แค่ร้อยวันก็พลิกตัวได้แล้วงั้นหรือ?
เมื่อหนานกงเย่ฟื้นขึ้นมา ฉีเฟยอวิ๋นก็ไม่อยู่แล้ว บุตรชายคนเล็กของเขานอนอยู่ข้าง ๆ สองพ่อลูกมองหน้ากัน หนานกงเย่จูบบุตรชายคนเล็กของเขา
เจ้าห้าขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาเฉียบคมจนทำให้หนานกงเย่ต้องหัวเราะเสียงดัง
ฉีเฟยอวิ๋นกำลังทำแผลให้ม้า และม้าก็จะลุกขึ้น
“นอนเถอะ เขาไม่ได้เป็นอะไร แค่หยอกล้อกับบุตรชายเท่านั้น” แม้ว่านางจะบอกว่าม้าไม่เป็นอะไร แต่นางก็รีบลุกขึ้นไปดูหนานกงเย่ นางเปิดม่านบนรถม้าออก และเห็นว่าหนานกงเย่กำลังโยนบุตรชายขึ้นทิ้ง ฉีเฟยอวิ๋นตกใจและตะโกนด้วยความโมโหว่า:“หนานกงเย่ ท่านรนหาที่ตายหรือ?”